หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 743
บทที่ 743
เตียงไม้พะยูงสี่เสาสลักลวดลายลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองโยกไหววูบหนึ่งไปตามการเคลื่อนไหวของเขา พาให้ม่านแขวนผ้าโปร่งสีแดงเข้มทิ้งตัวลงบดบังไม่ให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านใน
เซ่าหมิงยวนขยับเข้าไปขึ้นคร่อมเด็กสาว อ้าปากกัดสายเสื้อเอี๊ยมสีแดงลูกท้อตรงหัวไหล่ขาวผ่องแล้วดึงให้หลุดออก
เฉียวเจายกสองมือขึ้นยันเรือนกายหนักอึ้งที่ทาบทับลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัวไว้ นางอดโมโหไม่ได้
ข้าคิดผิดเสียแล้ว
ข้านึกมาโดยตลอดว่าบุรุษผู้นี้เป็นเจ้าลาจอมซื่อ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหมาป่าตัวหนึ่ง จะถอดเสื้อผ้าก็เอาเถอะ แต่นี่เขาถึงกับใช้ฟันดึงออกหรือนี่!
“เซ่าหมิงยวน ท่านอย่าทำบ้าๆ สิ…”
หนนี้ชายหนุ่มไม่สนใจเสียงกระเง้ากระงอดของนาง ตั้งหน้าตั้งตาพรมจูบไปทั่วประหนึ่งสายฝนพรำอย่างเร่าร้อน
เขาเริ่มจุมพิตจากโคนผมไล่ลงมาที่เรียวคิ้วได้รูปกับสันจมูกโด่งงาม ตอนริมฝีปากชายหนุ่มประทับลงบนกลีบปากนุ่มชุ่มชื้น เขาหยุดนิ่งไปชั่วพริบตาหนึ่ง จากนั้นสอดลิ้นเข้าไปซอกซอนในโพรงปากนางอย่างอุกอาจ
เสียงสะเก็ดไฟแตกเปรี๊ยะคราหนึ่งจากเทียนไขสีแดงนอกม่าน แสงสว่างก็สลัวลงทันใด ม่านผ้าโปร่งสีแดงยังคงปลิวไหวไปมาโดยไร้แรงลม
เซ่าหมิงยวนพลิกกายออกด้านข้างหอบหายใจหนักๆ อย่างหมดท่า
เฉียวเจาลืมตาขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
เขาก้มหน้าจูบเปลือกตานาง กล่าวเสียงพร่าว่า “เด็กดี ข้าจะสวมเสื้อให้เจ้านะ”
ชายหนุ่มควบคุมตนเองไว้สุดกำลัง หยิบเสื้อตัวในที่ยับยู่ยี่มาคลุมตัวเฉียวเจา แต่นางยึดมือเขาไว้ เอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงแหบพร่าอยู่บ้างดุจเดียวกัน “เป็นอะไรไปหรือ”
นางมิใช่สาวน้อยจริงๆ ถึงแม้ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา แต่ภายในร่างเด็กสาวที่ยังไม่ใคร่ประสีประสานี้กลับเป็นวิญญาณของหญิงสาวเต็มตัววัยยี่สิบเศษแล้ว
กับบุรุษซึ่งบัดนี้ต่างมอบใจให้แก่กันและแต่งงานกันถึงสองครั้งสองครา ในราตรีนี้นางยินยอมพร้อมใจร่วมหอลงโรงเป็นคู่สามีภรรยากับเขาอย่างแท้จริง
เซ่าหมิงยวนดึงผ้าห่มแพรมาห่มตัวนางอย่างมิดชิด เอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “เจ้ายังไม่ปักปิ่นเลยนะ รอไปก่อนเถอะ”
มีสวรรค์เท่านั้นถึงรู้ว่าตอนที่เขาปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการเมื่อครู่นี้ เสียงตักเตือนของหมอเทวดาหลี่ลอยวนเวียนอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา
ท่านบอกว่าร่างใหม่นี้ของเจาเจาผอมบางอ่อนแอมาแต่กำเนิด ถ้าตั้งครรภ์ก่อนอายุสิบแปดจะเป็นอันตราย
เพียงคิดถึงเรื่องนี้ ต่อให้เป็นอารมณ์ปรารถนารุนแรงจนขาดสติก็ล้วนสลายหายวับไปสิ้น เหลือเพียงความกระวนกระวายและสงสารเอ็นดู
พอเห็นเฉียวเจาไม่เปล่งเสียงพูด เซ่าหมิงยวนพิศดูสีหน้านางอย่างละเอียด เห็นนางมุ่นคิ้วคล้ายไม่สบอารมณ์อยู่สักหน่อย เขาจึงรีบกล่าวรับรองขึ้นว่า “เจ้าวางใจได้ ร่างกายข้าไม่มีปัญหานะ”
เฉียวเจาทำหน้าง้ำงอทันที เจ้าคนโง่งมผู้นี้พูดอธิบายอะไรส่งเดช ข้าเป็นคนที่อดใจรอไม่ไหวพรรค์นั้นรึ
“ข้ารู้แล้ว นอนเถอะ” แค่ท่าทางของเขาเมื่อครู่นี้ ถ้ามีปัญหาสิแปลก
เซ่าหมิงยวนนอนลงด้านข้างนางแล้วตะแคงตัวกอดเอวนางไว้ “เจาเจา เจ้าชอบดื่มนมแพะหรือไม่”
แม่นางเฉียวเลิกคิ้วขึ้น
หือ? นี่จะติว่าหน้าอกของข้าเล็ก?
เขานึกว่านางไม่ชอบ จึงพูดต่อทันที “นมแพะมีกลิ่นสาบอยู่บ้าง นมวัวเป็นอย่างไร”
“เพราะอะไรต้องดื่มนมวัว” เฉียวเจาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นปกติ
ถ้าเป็นคำตอบอย่างที่นางคิดไว้ นางจะถีบเจ้าคนบัดซบผู้นี้ลงจากเตียงไปเลย
เพราะอยู่ใกล้ชิดกันเกินไป เซ่าหมิงยวนจึงเอามือถูๆ หน้าตนเองอย่างทรมานใจ แต่ก็นึกเลื่อมใสในการควบคุมตนเองของตนอยู่ในใจด้วย เขากล่าวตอบว่า “คนที่ดื่มนมวัวเป็นประจำจะตัวสูงแข็งแรง อย่างพวกชาวเป่ยฉีก็ชอบดื่มนมวัว ดังนั้นไม่ว่าหญิงหรือชายก็เลยตัวโตสูงใหญ่กันหมด”
ตัวโตสูงใหญ่…
ตัวโต…
สูงใหญ่…
เฉียวเจาหรี่ตามองบุรุษข้างกาย “นี่หมายความว่าท่านพี่ชมชอบแบบนั้นหรือ”
พอเซ่าหมิงยวนได้ยินคำว่า ‘ท่านพี่’ แล้วตะลึงงันไปก่อนจะคว้ามือนางไว้หมับ พูดด้วยน้ำเสียงข่มกลั้น “เจาเจา เจ้าเรียกข้าว่า ‘ท่านพี่’ อีกครั้งสิ”
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าที่แท้คำว่า ‘ท่านพี่’ ไพเราะกว่าชื่อของเขาตั้งมาก
ชายหนุ่มจ้องมองด้วยสายตาแรงกล้าเกินไป เฉียวเจาจะเรียกออกจากปากที่ไหนกัน นางอดเบนสายตาออกไม่ได้
เซ่าหมิงยวนกลับไม่ลดละ “เจาเจา เจ้าเรียกอีกทีนะ ข้าอยากฟัง”
“ท่านพูดเรื่องที่ทำให้ข้าดีใจได้ ข้าก็จะเรียก” ได้ยินเขาอ้อนวอนอย่างนี้ เฉียวเจาก็ใจอ่อนแล้วเลยหาทางลงให้ตนเอง
เซ่าหมิงยวนคิดๆ แล้วกล่าวขึ้น “พรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นเช้า”
ในจวนกวนจวินโหวไม่มีผู้อาวุโส เมื่อก่อนเขาใหญ่ที่สุด แต่ตอนนี้เจาเจาใหญ่ที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าไปยกน้ำชาคารวะบิดามารดาของสามีเช่นเดียวกับลูกสะใภ้ตระกูลอื่น ทั้งคู่สามารถนอนต่ออีกครู่หนึ่งได้ตามสบาย หลังเซ่นไหว้บรรพชนแล้วค่อยไปเยี่ยมคารวะที่จวนจิ้งอันโหว
“เจาเจา เรื่องนี้คู่ควรให้ดีใจกระมัง”
เฉียวเจาคลี่ยิ้มหวาน “คู่ควรให้ดีใจจริงๆ ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่”
ชีวิตที่เปรียบดั่งนกในกรงทองเกือบสามปีในจวนจิ้งอันโหว สำหรับนางแล้วเป็นความฝันที่แม้แต่ท้องฟ้ายังเป็นสีเทาช่วงหนึ่ง เมื่อได้ลิ้มรสชาติของความอิสรเสรีแล้ว นางก็ไม่เต็มใจอยู่ภายใต้ความควบคุมของใครอีกสืบไป
สำหรับลูกสะใภ้ผู้หนึ่ง มีหรือไม่มีบิดามารดาของสามีอยู่เหนือหัวนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว
คล้ายอ่านความคิดของนางได้ เซ่าหมิงยวนตระกองกอดนางแน่นขึ้น “เจาเจา เจ้าวางใจได้ หลังจากนี้เจ้าเป็นใหญ่ที่สุดในจวนโหวของเรา ข้าก็เชื่อฟังเจ้าด้วย ดังนั้นเจ้าอยากทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
เฉียวเจากอดตอบเขาทีหนึ่ง นางกล่าวเสียงเบาๆ “ถิงเฉวียน ข้าดีใจมาก”
เซ่าหมิงยวนตัวแข็งเกร็งทันใด เขาผละถอยแล้วลุกขึ้นสวมเสื้อด้วยรอยยิ้มฝืดๆ “ข้าไปชำระกายอีกที”
ชายหนุ่มรีบรัดเชือกผูกเสื้อ จากนั้นเดินไปถึงฉากกั้นก็หมุนกายมา “ห้องครัวเล็กต้มโจ๊กไว้ ประเดี๋ยวให้คนตักมาให้เจ้านะ”
เฉียวเจากลั้นยิ้มเอ่ยขึ้น “ท่านรีบไปเถอะ ข้าจะรอท่านกลับมากินด้วยกัน”
ในคืนวันแต่งงานจะจัดเตรียมอาหารมื้อดึกไว้ให้คู่บ่าวสาว เป็นความหมายถึงการข้ามผ่านราตรีอันหวานซึ้งร่วมกัน นางยังนึกว่าอาหารมื้อนี้ต้องรอไปถึงหลังเที่ยงคืนแล้ว…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉียวเจาก็หน้าร้อนซู่ ดึงความคิดที่เตลิดไปไกลกลับมาแล้วรีบสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อย
โจ๊กรังนกส่งควันฉุยเพิ่งถูกยกเข้ามา เซ่าหมิงยวนก็ชำระกายเสร็จกลับมา บนหน้าเขามีหยดน้ำที่ยังเช็ดออกไม่หมดติดอยู่
อาจูไม่กล้าเงยหน้า รีบฉากหลบออกไปทันที
“ท่านรีบร้อนอะไรนักหนา” เฉียวเจาพูดดุเขา
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “ข้าหิวแล้ว”
ทั้งสองกินอาหารด้วยกันเสร็จแล้วล้างหน้าบ้วนปากง่ายๆ จากนั้นนอนกอดกันเข้าสู่ห้วงนิทรา
แน่นอนว่าเฉียวเจาได้นอนหลับจริงๆ ส่วนว่าคนบางคนที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยคล้ำใต้ตาในวันถัดมาจะหลับสนิทหรือไม่ก็มิอาจรู้ได้
เมื่อสองสามีภรรยาแต่งกายพร้อมพรักก็เคียงคู่กันไปที่จวนจิ้งอันโหว
จวนจิ้งอันโหวตกแต่งประดับประดาด้วยผ้าแพรแดงเช่นกัน คนรับใช้ที่สวมเสื้อผ้าไหมใหม่เอี่ยมยืนรออยู่นอกประตูใหญ่ตั้งแต่เช้า พอเห็นคู่แต่งงานใหม่มาถึงก็กระวีกระวาดออกไปคารวะทักทาย
“คารวะท่านโหว คารวะฮูหยิน”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้ารับแล้วประคองเฉียวเจาเดินเข้าจวนไป
เฉินกวงที่ติดตามอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานโยนก้อนเงินเล็กๆ ก้อนหนึ่งไปในอ้อมแขนของคนรับใช้ที่ออกมาต้อนรับเป็นการตกรางวัลให้
“ขอบคุณท่านกวงขอรับ”
เฉินกวงตัวเซเกือบล้มลง
‘ท่านกวง’ บ้าบออะไรกัน
หลังตวัดตามองเห็นปิงลวี่ทางด้านหน้าเหลียวมามองแล้วแอบยิ้ม เฉินกวงก็ทำหน้าตึง “อย่าเรียกสุ่มสี่สุ่มห้า”
คนรับใช้พยักหน้าถี่รัว “ท่านเฉินๆ”
เฉินกวงพยักหน้าอย่างพึงใจ
อืม…คำเรียกขานนี้ฟังรื่นหูกว่าคำเมื่อครู่นี้ตั้งมาก
องครักษ์น้อยยืดอกย่างเท้าเข้าประตูไป
ในที่สุดข้าก็ไม่ต้องเป็นสารถีให้คุณหนูสามอีกต่อไป เพราะข้าได้เลื่อนขั้นเป็นสารถีของท่านแม่ทัพกับฮูหยินแล้ว!
“คารวะท่านโหว คารวะฮูหยิน”
ตลอดทางที่เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาเดินไปทางด้านใน บ่าวไพร่ที่พบเจอคนทั้งสองพากันคารวะทักทาย ผิดแผกเป็นอันมากกับท่าทีต่อคุณชายรองในกาลก่อนที่จะแฝงรอยแชเชือนไว้จางๆ เมื่อครั้งฮูหยินของจิ้งอันโหวเป็นผู้ดูแลปกครองจวน
ยามเหลียวมองไปรอบๆ สถานที่ที่คุ้นเคยแต่แปลกตาไป เฉียวเจาสะกดอารมณ์ที่สับสนปนเปไว้ รักษาสีหน้าให้สงบนิ่ง
ในเวลานี้สุ้มเสียงของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งดังลอยมา “พี่รอง”