หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 747
บทที่ 747
ความลับของสร้อยลูกประคำ
เฉียวเจาจ้องมองสร้อยข้อมือเส้นนั้นโดยไม่ละสายตา
สร้อยลูกประคำที่นำความเดือดร้อนครั้งใหญ่หลวงมาให้นางเส้นนี้มีความลับใดซ่อนอยู่กันแน่นะ นางเคยขบคิดหาคำตอบมาหลายครั้งแต่กลับคว้าน้ำเหลว
“เจาเจา เจ้าดูลายเส้นพวกนี้” เซ่าหมิงยวนชี้ที่ลูกประคำเม็ดหนึ่งในนั้น
เฉียวเจายกสร้อยลูกประคำไม้กฤษณาขึ้นมาดู
ลูกประคำสีเข้มแต่ละเม็ดกลมเกลี้ยงเป็นมันเงาเรียงรายกันเป็นระเบียบงดงาม
เฉียวเจาเดินไปที่ริมหน้าต่างเอามันส่องกับแสงแดดที่แทงลอดเข้ามาพลางมองอย่างพินิจอีกครั้ง สายตาของนางพลันนิ่งขึงไป
ถ้าเซ่าหมิงยวนไม่บอก ลายเส้นที่ตอนแรกดูเป็นลวดลายตามธรรมชาติเหล่านั้นยังคงถูกมองข้ามไป ทว่าขณะนี้พอพิศดูอย่างละเอียดกลับค้นพบจุดผิดปกติได้รางๆ แล้ว
“ลายเส้นพวกนี้ผ่านการลงสี…”
“ถูกต้อง ไม่เพียงแค่ลงสี ช่างฝีมือแกะสลักผู้นั้นใช้เครื่องมือพิเศษขยายสร้อยลูกประคำให้เป็นภาพใหญ่ขึ้นเพื่อดู จึงมองเห็นสิ่งที่น่าสนใจมากมาย เจาเจา เจ้าดูนี่” เซ่าหมิงยวนคลี่ม้วนภาพวาดภาพหนึ่งกางออกช้าๆ
บนม้วนกระดาษเป็นภาพวาดทิวทัศน์ และเขียนตัวอักษรไว้สี่คำว่า ‘พันเขาเก้าซ้อน’
“นี่คือ…” เฉียวเจาหลับตาลง ในห้วงสมองนางมีภาพความทรงจำกระจัดกระจายผุดขึ้นนับไม่ถ้วน สุดท้ายก็หยุดนิ่งที่ภาพภาพหนึ่ง นางลืมตาขึ้นสบตากับเซ่าหมิงยวน “หลิ่งหนาน?”
นางมิได้รู้จักคุ้นเคยกับทิวทัศน์ธรรมชาติทุกแห่งของต้าเหลียง แต่หนึ่งปีเศษมานี้กลับได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับหลิ่งหนานไม่น้อย ด้วยเหตุนี้พอเห็นคำว่า ‘พันเขาเก้าซ้อน’ ก็นึกออกได้อย่างรวดเร็วว่าหมายถึงที่ใด
ที่นั่นเป็นน้ำตกแห่งหนึ่งในอำเภอฉงหลวนของเมืองหลิ่งหนาน คำเรียกนี้มีที่มาจากขนาดที่ใหญ่โตตระการตาของมัน
ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววชมเชย เขากล่าวยิ้มๆ “เจาเจา เจ้ารู้หรือไม่ว่าอักษรสี่ตัวนี้พบอยู่บนลูกประคำสี่เม็ดนี้ ตรงนี้…ตรงท้ายลายเส้นรางๆ เส้นนี้ที่เป็นจุดๆ สีดำ พอขยายใหญ่ก็คือคำว่า ‘ซ้อน’ ”
ลูกประคำสี่เม็ดที่เขาชี้ให้ดูไม่ได้อยู่ติดกัน แต่แยกกระจายกันอย่างไร้รูปแบบ แล้วจุดสีดำที่ว่านั่นก็มีขนาดแค่ปลายเข็ม
เฉียวเจานิ่งเงียบไป
ท่านปู่กล่าวไว้ไม่ผิด ใต้หล้านี้เหนือคนยังมียอดคน เหนือภูเขายังมีภูเขาสูงกว่าเสมอ มีคนพิสดารมากมายสามารถกระทำเรื่องที่คนธรรมดาไม่อาจเข้าใจได้
“เช่นนั้นภาพทิวทัศน์ภาพนี้รวมกับคำว่า ‘พันเขาเก้าซ้อน’ แล้วมีความหมายว่าอะไรกันนะ” เฉียวเจากล่าวพึมพำ
เซ่าหมิงยวนยื่นมือไปลูบตรงหัวคิ้วของนาง “อย่าเปลืองสมองเลย ข้าส่งคนไปที่นั่นแล้ว เชื่อว่าพอได้เห็นสถานที่จริงก็ต้องค้นพบเบาะแสได้บ้าง อย่างไรก็ดีกว่าคิดจนหัวแตก”
เรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นของหญิงสาวคลายออก “จริงของท่าน ข้าไม่คิดแล้ว”
เซ่าหมิงยวนกล่าวยิ้มๆ “หิวแล้ว”
“เรือนครัวทำเนื้อกระต่ายตุ๋นไว้ ข้าเรียกอาจูยกมาให้ท่าน” เฉียวเจาหมุนกายจะเดินไปข้างนอก แต่ถูกเขากอดไว้จากทางข้างหลัง
“ถิงเฉวียน?” นางเปล่งเสียงเรียก
ฝ่ามือใหญ่คู่นั้นกอบกุมทรวงอกของนางไว้
“นี่เป็นตอนกลางวัน…”
ชายหนุ่มวางปลายคางเกยเรือนผมนุ่มสลวยของนาง พูดเสียงทอดถอนใจเบาๆ “เจาเจา เจ้ารีบโตไวๆ เถอะ ข้าทรมานเหลือเกิน”
เสียงพูดของเด็กสาวเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน “ถึงเดือนหนึ่ง ข้าก็ปักปิ่นแล้ว”
หลีเจาเกิดวันที่ยี่สิบห้าเดือนหนึ่ง ผ่านปีนี้ไปก็ย่างวัยสิบห้าเต็มแล้ว
“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว กินโจ๊กกันเถอะ” เฉียวเจาขืนตัวออกจากอ้อมกอดของเซ่าหมิงยวน นางจับผมให้เข้าที่แล้วตะเบ็งเสียงบอกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อาจู ยกโจ๊กเข้ามา”
ดูทีว่านางต้องเตรียมยาต้มที่ช่วยให้จิตใจสงบลดกำหนัดได้ให้คนบางคนจึงจะดี
วันสิ้นปีมาถึงอย่างรวดเร็ว
มาตรว่าฮ่องเต้หมิงคังสุดแสนจะไม่เต็มใจ ยังคงต้องเสด็จออกจากการจำศีล
เขามิใช่กษัตริย์เลอะเลือนถือใจตนเป็นใหญ่สักหน่อย จะอย่างไรก็ต้องออกมาฉลองวันตรุษ
วันสิ้นปี…คนที่ติดหนี้ติดสินล้วนต้องใช้คืนในเวลานี้ ฮ่องเต้เช่นเขานี้ก็มิใช่ข้อยกเว้น
เพลานี้ฮ่องเต้หมิงคังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร รับฟังคณะสภาขุนนางกับเสนาบดีหกกรมแย่งกันร่ำร้องโอดครวญถึงความลำบากยากจนแล้วเส้นเอ็นตรงขมับเต้นตุบๆ ไม่หยุด
“ปีนี้หิมะตกหนักติดต่อกัน ส่งผลให้มีหลายสิบอำเภอประสบภัยธรรมชาติ ราษฎรอดอยากหนาวตายจำนวนมาก ถึงแม้กรมอากรของพวกกระหม่อมจะเปิดคลังแจกจ่ายธัญพืชช่วยบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเต็มที่ แต่ก็เช่นคำกล่าวที่ว่าแม่ศรีเรือนแม้เก่งกาจ หากไม่มีข้าวสารก็ยากจะปรุงอาหารพ่ะย่ะค่ะ”
“เสนาบดีซุนพูดอะไรกันนี่ หรือว่ากรมโยธาของพวกข้ามีข้าวสารกรอกหม้อ บ้านเรือนที่โดนหิมะทับพังไปพวกนั้นไม่จำเป็นต้องซ่อมแซมหรือ ไม่ต้องกล่าวถึงอื่นใด แม้แต่ตำหนักอวี้เหวินที่พังเสียหายในพระราชวังยังอยู่ในสภาพเดิมเลยนะ” เสนาบดีกรมโยธากล่าวอย่างไม่ยอมน้อยหน้า
โค่วสิงเจ๋อเสนาบดีกรมอาญาถอนใจเฮือกๆ “เพราะภัยหิมะตกหนัก ส่งผลให้เมืองหลวงมีคนเร่ร่อนมากขึ้น คนที่ก่อคดีกระทำความผิดก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่จัดให้คนเร่ร่อนพวกนี้อยู่เป็นหลักแหล่ง ก็ไม่อาจแก้ปัญหานี้ที่ต้นตอได้”
จะจัดที่ทางให้คนเร่ร่อนอย่างไรนั้น แน่นอนว่าต้องใช้เงิน!
จังหวะนี้เองเสนาบดีกรมปกครองกล่าวแทรกขึ้น “ปัญหาคนเร่ร่อนจำเป็นต้องใช้เงินทอง แล้วขุนนางน้อยใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้หรือ กรมอากรของพวกท่านยังติดค้างของพระราชทานเดือนสิบสองปีที่แล้วของเหล่าขุนนางอยู่นะ ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องชดเชยของเก่า กระทั่งของพระราชทานเดือนสิบสองปีนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แววเลย”
ที่เรียกว่าของพระราชทานเดือนสิบสองนั้นคือบำเหน็จรางวัลที่แจกจ่ายให้แก่ทุกๆ ที่ว่าการก่อนวันหยุดราชการตอนปลายปีในนามของโอรสสวรรค์ ส่วนนี้จะเพิ่มหรือลดไปตามแต่จำนวนเงินมากน้อยในท้องพระคลัง ซึ่งต่างจากเบี้ยหวัดที่ได้รับเท่าๆ กันทุกเดือน
สำหรับเหล่าขุนนางต้าเหลียงแล้ว ของพระราชทานเดือนสิบสองมีแต่ลดไม่มีเพิ่มมาหลายปี จนมาถึงปีก่อนก็งดไปเลย บอกว่าจะแจกจ่ายให้พร้อมกับส่วนของปีนี้ ใครจะรู้ว่าหลังรอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอก็ยังไม่ได้รับสักอีแปะเดียว
เสนาบดีกรมปกครองคิดถึงผู้ใต้บังคับบัญชาที่เช็ดน้ำตาโอดกาเหว่าพวกนั้นแล้วอยากกุมขมับ ถึงขั้นมีลูกน้องเขาคนหนึ่งพูดระบายความอัดอั้นใจกับสหายขุนนางตอนเมาสุราว่าตนต้องทำงานเป็นคนคัดหนังสือควบคู่กันมาตลอดฤดูหนาว ขืนเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คงได้แต่ไปนั่งประท้วงอยู่หน้าประตูจวนเสนาบดีแล้ว
เมื่อได้ฟังคำกล่าวตำหนิของเสนาบดีกรมปกครอง เสนาบดีกรมอากรก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากถ่มน้ำลายรดใส่ใบหน้าเหี่ยวยับย่นของอีกฝ่ายใจจะขาด
กรมอากรของเขาไม่แจกจ่ายของพระราชทานเดือนสิบสอง? พวกเขาอยากให้เป็นเช่นนี้หรือ
ปีที่แล้วตอนฮ่องเต้ทรงจุดธูปในพิธีบำเพ็ญตบะแล้วไม่ทันระวังทำไฟไหม้ตำหนักที่ประทับ แล้วจะให้ฮ่องเต้ไปนอนข้างถนนหรืออย่างไร แน่นอนว่าต้องเจียดเงินไปซ่อมแซม! ตอนนี้ในท้องพระคลังว่างเปล่าไม่มีแม้แต่หนูสักตัว จะให้พวกเขาเอาอะไรมาแจกจ่าย
นี่เข้าตำราที่ว่าคนไม่ดูแลเรือนไม่รู้ว่าข้าวสารฟืนไฟแพงจริงๆ
“พวกเจ้าหุบปากให้หมด!” ฮ่องเต้หมิงคังตวาดเสียงห้วนด้วยสีหน้าบึ้งตึง
เขาเพิ่งออกจากการจำศีล เจ้าพวกเลี้ยงเสียข้าวสุกเหล่านี้ก็แบมือขอเงินแล้ว
ถ้าอะไรๆ ก็ต้องให้เขาผู้เป็นฮ่องเต้จัดการทุกอย่าง แล้วยังจะเก็บคนพวกนี้ไว้ทำอะไร ไม่มีเงินก็ไม่รู้จักคิดหาหนทางกันรึ!
คิดหาหาทาง? ฮ่องเต้หมิงคังชะงักกึก ไล่สายตามองหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไปทีละคนอย่างช้าๆ
ดูเหมือนจะมิใช่ไร้หนทาง ตาเฒ่าพวกนี้แต่ละคนมาโอดครวญกับเขาว่ายากจน ทั้งที่จริงๆ แล้วตระกูลใดบ้างที่ไม่มีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ สุดท้ายกลายเป็นว่าฮ่องเต้เช่นเขาต่างหากที่ยากจนที่สุดในตอนนี้!
ก็แค่ไม่ระวังทำไฟไหม้ตำหนักเลยต้องใช้เงินนิดๆ หน่อยๆ เองมิใช่รึ ตาเฒ่าบัดซบพวกนี้ก็ยกเรื่องที่ไม่ได้แจกจ่ายของพระราชทานเดือนสิบสองของปีที่แล้วมาพูดไล่เลียงตอกย้ำเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่เลิกรา
หึๆ เขาเป็นคนที่ยอมให้ข่มขู่ได้หรือ
อืม…พักนี้เราต้องตั้งใจจับตาดูไว้ว่าคนใดกระทำความผิดก็ยึดทรัพย์สินคนผู้นั้นเข้าสู่ท้องพระคลังเป็นอันสิ้นเรื่อง
บรรดาขุนนางพลันรู้สึกเย็นวาบๆ ตรงท้ายทอย
เกิดอะไรขึ้น หรือว่าหน้าต่างปิดไม่สนิท ลมหนาวจากด้านนอกเลยพัดเข้ามากระมัง
หลันซานซึ่งไม่เปล่งวาจาสักคำโดยตลอดเหลือบเปลือกตาขึ้น มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้น
เห็นทีว่าของพระราชทานเดือนสิบสองของปีหน้าคงหมดปัญหาแล้ว แค่ไม่รู้ว่าจะเอาเงินทองของตระกูลใดมาแจกจ่าย ทว่าถึงอย่างไรไม่ใช่ของตระกูลเขาเท่านั้นเป็นพอ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ รอยยิ้มที่มุมปากหลันซานก็ขยายกว้างขึ้น
ดวงตาของฮ่องเต้หมิงคังทอประกายวูบหนึ่ง เขาหยุดสายตาที่ใบหน้าหลันซาน
ชายชราสะดุ้งโหยงในใจ รีบก้มหน้าคางจรดอก
“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปเถอะ” ฮ่องเต้กล่าวเสียงเรียบ
“ขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ในห้องทรงพระอักษรเงียบเชียบลงในพริบตา ฮ่องเต้หมิงคังใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ
อืม…ตกลงว่าจะโยนเหรียญเสี่ยงทายดี หรือรอดูต่อไปว่าจะมีใครทำความผิดหรือไม่ดีนะ