หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 748
บทที่ 748
หิมะตกตลอดวันอีกครา คฤหาสน์อันโอ่อ่าของกวนจวินโหวมีหิมะขาวโพลนปกคลุมจนทั่ว หิมะที่กองถมกันอยู่สองข้างทางเดินศิลาเขียวหนามากกว่าสองฉื่อแล้ว
“พี่หลี ท่านดูสิ ตุ๊กตาหิมะที่ข้าปั้นขึ้นสวยไหมเจ้าคะ”
เฉียวหว่านปั้นตุ๊กตาหิมะสูงเท่าครึ่งตัวคนในสวนดอกไม้ ใช้ลูกปัดหินโมราสีดำทำเป็นตาของตุ๊กตา ส่วนจมูกเป็นหูหลัวปัว* ยาวๆ หัวหนึ่ง
เฉียวเจายังไม่ทันตอบ ปิงลวี่ก็ตบมือพูดยิ้มๆ “สวยเจ้าค่ะ สวยกว่าที่เฉินกวงปั้นตั้งเยอะ”
เฉินกวงที่หนีบไม้กวาดไว้ในวงแขนยกสองมือถูกันไปมาแอบกลอกตาขึ้น
ช่างเถิด ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกสาวใช้ที่ไม่รู้จักของดี
พอคิดถึงตรงนี้ สารถีที่ถูกต้อนมาเป็นแรงงานก็ควงไม้กวาดเริ่มกวาดหิมะ
ปิงลวี่กอบหิมะบนพื้นปั้นเป็นก้อนกลมๆ เดินย่องไปข้างหลังเฉินกวงแล้วเอามันยัดใส่ลงคอเสื้อเขา
เฉินกวงสะดุ้งสุดตัว เขาโยนไม้กวาดทิ้ง พลางล้วงหิมะออกมาพลางหันกายไปพูดโวยวายด้วยหน้าตาง้ำงอ “ปิงลวี่ เจ้าทำอะไรของเจ้า”
ปิงลวี่หัวร่อคิกคักวิ่งไปหลบหลังเฉียวเจา
เฉินกวงพูดฟ้องด้วยสีหน้าอ่อนใจ “ฮูหยิน ท่านดูปิงลวี่สิ ซุกซนแก่นแก้วเกินไปแล้วนะขอรับ”
เฉียวเจายิ้มตาพริ้มพยักหน้า “ใช่ ไม่เข้าท่าจริงๆ ปิงลวี่…”
“ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ”
“ไปคุกเข่าบนพื้นหิมะ”
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่ขานตอบเสียงกังวานใส นางถลึงตาใส่เฉินกวงก่อนชักเท้าออกเดินไป
“นี่ๆ เจ้าอย่าเพิ่งไป…” เฉินกวงเห็นนางไม่แยแสตนสักนิด เดินไล่ตามไปได้สองก้าวก็หยุดฝีเท้าหันมาทำหน้าประจบประแจง เอ่ยขอร้องเฉียวเจา
“ฮูหยิน ท่านอย่าทำโทษปิงลวี่เลยขอรับ”
“แบบนี้จะได้อย่างไร แม่เด็กน้อยผู้นี้นับว่ายิ่งไม่รู้จักขอบเขต กล้าเอาก้อนหิมะยัดใส่คอเสื้อคนอื่น ไม่ทำโทษไม่ได้” เฉียวเจาปั้นหน้าเคร่งขรึมกล่าวขึ้น
“โธ่ คุณหนูสาม ข้าเป็นเจ้าทุกข์ยังไม่ถือสา ท่านอย่าทำโทษนางเลยนะเถอะขอรับ” พอเห็นปิงลวี่กำลังจะคุกเข่าลงบนพื้นหิมะแล้ว เฉินกวงอารามร้อนใจ ถึงกับเรียกขานนางด้วยคำเรียกเดิม
“ก็ได้ เห็นแก่ที่เจ้าขอความเมตตาให้นาง ข้าจะฝืนใจละเว้นนางในครั้งนี้”
เฉินกวงระบายลมหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง รีบกุลีกุจอวิ่งไปเอาหน้ากับปิงลวี่ “ปิงลวี่ ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว”
นางแค่นเสียงฮึเบาๆ ปรายตามองเขาแวบหนึ่งก่อนกลับไปหาผู้เป็นนาย
“ข้าประคองท่านเข้าเรือนเถอะเจ้าค่ะ ข้างนอกหนาว”
“ไม่ต้อง เจ้าเล่นเป็นเพื่อนหว่านวานเถอะ ข้าจะดู” เฉียวเจาบอกให้นางไปเล่นต่อ
ไม่ถึงชั่วครู่สาวใช้น้อยก็ชวนเฉียวหว่านเล่นปาหิมะกัน สุดท้ายเฉินกวงก็เข้าร่วมวงด้วย ทิ้งรอยเท้าเล็กๆ ใหญ่ๆ เป็นทางยาวบนพื้นหิมะท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน
เฉียวเจายืนอยู่ข้างต้นดอกกุ้ยที่ห่มคลุมด้วยอาภรณ์สีเงินเหลือบมองสีท้องฟ้า
เสียงฝีเท้าคุ้นหูดังลอยมา ฝ่ามืออุ่นจัดก็วางทาบลงบนบ่านางพร้อมกับเสียงทุ้มกังวานของบุรุษดังขึ้น “อยู่ข้างนอกนานแค่ไหนแล้ว”
“ได้สักครู่หนึ่งเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวตอบตามสัตย์จริง
เซ่าหมิงยวนยกมือลูบแก้มนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เย็นเฉียบเลย กลับเข้าเรือนเถอะ”
เฉียวเจายืนนิ่งไม่ขยับ “หมู่นี้พี่ใหญ่ออกเช้ากลับค่ำบ่อยๆ ทั้งที่ใกล้ขึ้นปีใหม่แล้วเหตุใดกลับมีงานยุ่ง”
เซ่าหมิงยวนจับมือนางมาสอดเข้าแขนเสื้อ “รองสมุหราชเลขาธิการสวี่ขอตัวพี่เฉียวโม่ไปช่วยงานที่สภาขุนนางมิใช่หรือ พอถึงปลายปีก่อนที่ทุกๆ ที่ว่าการจะหยุดพัก สภาขุนนางมีงานต้องสะสางมาก”
งานของสภาขุนนางนั้นมีไม่น้อยจริงๆ เมื่อถึงช่วงวันตรุษของทุกปี งานที่ต้องใช้กำลังคนมากที่สุดก็คืออ่านตรวจสารถวายพระพรที่ขุนนางน้อยใหญ่ส่งมา
สารถวายพระพรที่เป็นคำสรรเสริญสดุดีเหล่านี้ ฮ่องเต้หมิงคังต้องอ่านทุกๆ ฉบับ นี่เป็นเวลาที่ฮ่องเต้ ‘เอาใจใส่ในงานราชกิจ’ มากที่สุดในรอบปี
เพลานี้เฉียวโม่อยู่กลางกองกระดาษสูงท่วมศีรษะ ช่วยกันกับสหายขุนนางหลายคนจัดเรียงให้เป็นระเบียบ
กรมปกครอง กรมอากร กรมพิธีการ...พวกเขาต้องจัดแบ่งเป็นกรมกองและเรียงตามลำดับตำแหน่งให้เรียบร้อยแล้วนำขึ้นถวายให้ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร
ว่ากันว่าทรงอ่านอย่างเอาจริงเอาจังมากพอดู อีกทั้งยามครึ้มพระทัยขึ้นมายังอ่านออกเสียงดังๆ อีกด้วย
เมื่อฮ่องเต้อ่านอย่างละเอียด คนเป็นขุนนางก็จะสะเพร่าไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องอ่านสารถวายพระพรจำนวนนับร้อยนับพันไปทีละฉบับจนหมด เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีถ้อยคำที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพถึงจะถือว่าผ่าน จากนั้นนำแผ่นคำอวยพรพวกนี้ม้วนเป็นแท่งกลมผูกด้ายแดงแล้ววางไว้ด้านหนึ่ง
“กินข้าวได้แล้ว ไปเถอะ กินอาหารแล้วค่อยทำต่อ” ขุนนางผู้หนึ่งบิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นยืน
คนอื่นๆ ลุกขึ้นยืนตาม มีคนหนึ่งกล่าวขันๆ “อ่านพวกนี้มากไปแล้วแทบจะกินอาหารไม่ลงเลยทีเดียว”
“เอาล่ะ อย่ามัวพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ระวังพวกใต้เท้าจะได้ยินเข้า”
เฉียวโม่ตามทุกคนออกไปกินอาหารด้วยสีหน้าเป็นปกติ หลังกินเสร็จแล้วคนพวกนั้นงีบพักผ่อนกันตามปกติ เขาสบช่องไม่มีคนสังเกตเห็นย้อนกลับไปที่ห้อง
บนชั้นวางมีสารถวายพระพรผูกด้ายแดงวางเรียงกันเป็นแถวๆ เฉียวโม่ดึงออกมาฉบับหนึ่งด้วยความว่องไวแล้วคลี่กางออกอย่างเบาไม้เบามือ
อักษรตัวบรรจงสละสลวยทรงพลัง ทำให้ไม่อาจไม่ร้องชมคำหนึ่งว่ามีฝีมือเชิงอักษรวิจิตรโดดเด่น
แน่นอนว่าเฉียวโม่ไม่มีแก่ใจชื่นชมจุดนี้ เขาหยิบกระดาษชิงเถิง* ขนาดเท่ากันออกมา จับพู่กันจุ่มหมึกแดงขึ้นแล้วลงมือเขียนอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักเขาก็วางพู่กันลง เอาแผ่นคำอวยพรสองแผ่นมาดูเทียบกันอย่างจริงจังจนแน่ใจตั้งแต่อักษรตัวแรกจนตัวสุดท้ายแทบจะไม่แตกต่างกันถึงเผยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ
สารถวายพระพรสองฉบับนี้ผิดกันแค่อักษรตัวเดียว ถึงหยิบให้เจ้าของดู เขาก็เชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายแยกแยะไม่ออก
รอจนหมึกแห้งสนิท เฉียวโม่ใช้ด้ายแดงผูกสารถวายพระพรที่ปลอมแปลงขึ้นเสร็จแล้วเอาฉบับเดิมเก็บไว้ในแขนเสื้อ จากนั้นออกจากห้องไปเงียบๆ
เมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อย เฉียวโม่ถึงโล่งอกไปได้เปลาะหนึ่ง ส่วนที่เหลือคือรอดูปฏิกิริยาของฮ่องเต้หมิงคังหลังอ่านสารถวายพระพรฉบับนี้
ส่วนว่าฮ่องเต้หมิงคังจะได้อ่านสารถวายพระพรฉบับนั้นหรือไม่ เขามีความมั่นใจเต็มสิบส่วน เหตุผลมิใช่อื่นใด เพราะหลันซงเฉวียนบุตรชายสมุหราชเลขาธิการหลันซานเป็นผู้เขียนสารถวายพระพรฉบับนั้น ในฐานะเป็นคนสำคัญอันดับต้นๆ ในพระทัยฮ่องเต้หมิงคังผู้ชมชอบอ่านคำอวยพร พระองค์ต้องอ่านของหลันซงเฉวียนอย่างแน่นอน
เฉียวโม่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบสีแดงที่เลอะติดปลายนิ้วออก ตอนกลับถึงจวนโหว เขาเอาแผ่นกระดาษม้วนจริงโยนลงอ่างไฟเผาจนเป็นเถ้าธุลีถึงระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง
นับแต่เข้าไปช่วยงานสัพเพเหระในสภาขุนนาง เขาขยันขันแข็งเป็นพิเศษ ทั้งค้นหาบันทึกที่ผู้อื่นไม่เต็มใจค้นหา ทั้งคัดเขียนหนังสือราชการที่คนอื่นไม่เต็มใจคัดเขียน จุดมุ่งหมายมีเพียงหนึ่งเดียวคือคุ้นเคยกับลายมือของบรรดาขุนนางในราชสำนัก
จนบัดนี้เขาอาจไม่กล้าพูดว่าสามารถลอกเลียนลายมือของขุนนางในเมืองหลวงทุกคนได้ แต่พวกขุนนางคนสำคัญๆ โดยเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับพรรคพวกของหลันซาน เขาล้วนลอกเลียนลายมือได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ แล้วลายมือของคนที่เขาเลียนแบบได้เหมือนที่สุดก็คือหลันซานกับบุตรชาย
“คุณชาย ฮูหยินเชิญท่านไปกินอาหารที่โถงรับแขกขอรับ”
เมื่อคนรับใช้เข้ามาบอกความ เฉียวโม่ก็ลุกขึ้นปัดๆ เสื้อคลุมบนตัวทั้งที่ไม่มีฝุ่นเกาะอยู่ ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ที่ผ่านมาเป็นน้องสาวของเขาที่ต้องวิ่งวุ่นเหน็ดเหนื่อยเพื่อตระกูล ตอนนี้ถึงคราวที่คนเป็นพี่ชายอย่างเขาต้องออกแรงบ้างแล้ว
ม้วนคำอวยพรเหล่านั้นถูกนำไปวางถวายไว้บนโต๊ะทรงพระอักษรของฮ่องเต้หมิงคังในเวลารวดเร็ว
หลังออกจากการจำศีลหนนี้ นอกจากพวกตาเฒ่าหลายคนที่มาโอดครวญว่ายากจนแล้วไม่มีเรื่องอัปมงคลอะไรเกิดขึ้น ส่งผลให้ฮ่องเต้หมิงคังอารมณ์ดีไม่เลว เขาหยิบสารถวายพระพรซึ่งวางไว้ในจุดที่เด่นสะดุดตาที่สุดขึ้นมาอ่าน ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วอ่านฉบับถัดไป
อืม…จะว่าไปแล้ว ถ้อยความที่สมุหราชเลขาธิการหลันซานกับรองสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋าเขียนเหล่านี้มักจะถูกใจเราที่สุด ไม่รู้ว่าปีนี้จะมีที่เหนือกว่าหรือไม่นะ
ชั่วครู่ต่อมาฮ่องเต้หมิงคังหยิบสารถวายพระพรของหลันซงเฉวียนมาอ่าน
ปราดแรกที่เห็นลายมือของหลันซงเฉวียน เขาอดพยักหน้าไม่ได้
อืม…ยังไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น บุตรชายของหลันซานผู้นี้มีฝีมือเขียนอักษรดีเยี่ยม เห็นแล้วชวนให้เจริญตาเจริญใจจริงๆ
แน่นอนว่าขุนนางที่มีฝีมือเขียนอักษรได้ดีมีนับไม่ถ้วน นี่ไม่นับเป็นความสามารถสูงส่งอันใด จุดสำคัญยังคงต้องดูว่าการเขียนสารถวายพระพรเป็นเช่นไร
เมื่ออ่านถ้อยความซ้ำอีกครา ฮ่องเต้หมิงคังก็ตาเป็นประกาย อดเปล่งเสียงอ่านงึมงำๆ ไม่ได้