หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 749
บทที่ 749
“เต่านิลแห่งลั่วสุ่ยแรกเบิกนิมิตมงคล หยินนับเก้า หยางนับเก้า เก้าเก้ารวมได้แปดสิบเอ็ด บรรลุสู่วิถีแห่งเต๋า เป็นหนึ่งเดียวกับองค์วิสุทธิเทพ ด้วยแรงศรัทธาอันศักดิ์สิทธิ์…” ฮ่องเต้หมิงคังยิ่งอ่านยิ่งตาเป็นประกาย เขาถึงขั้นตบโต๊ะอย่างห้ามใจไม่อยู่ “เขียนได้ดี! เว่ยอู๋เสีย มานี่ มาชมดูพร้อมกับเรา”
ฮ่องเต้หมิงคังตะโกนเรียกเว่ยอู๋เสียมาแบ่งปันความรู้สึกยินดีปรีดาแล้วค่อยอ่านต่อไป “หงส์ชาดแห่งฉีซานถวายสิริมงคลคู่ ตัวผู้ร้องหกเสียง ตัวเมียร้องหกเสียง หกหกสามสิบหกเสียง เสียงดังกึกก้องท้องนภา สวรรค์ขานรับว่าฮ่องเต้หมิงคัง ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี…”
พออ่านถึงตรงนี้ เสียงของฮ่องเต้หมิงคังพลันขาดหายไป เขารู้สึกว่ามีตรงไหนทะแม่งๆ
เขาไล่สายตากลับไปอ่านซ้ำอีกครา “หงส์ชาดแห่งฉีซานถวายสิริมงคลคู่ ตัวผู้ร้องหกเสียง ตัวเมียร้องหกเสียง หกหกสามสิบหกเสียง เสียงดังกึกก้องท้องนภา สุนัข* ขานรับว่าฮ่องเต้หมิงคัง ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี…”
ฮ่องเต้หมิงคังเพ่งตามองอักษรคำว่า ‘สุนัข’ ด้วยสีหน้าบูดบึ้งเต็มที
เขาว่าแล้วเชียวว่ามีตรงไหนทะแม่งๆ ตอนแรกดูผาดๆ เลยอ่านตัวนี้เป็นคำว่า ‘สวรรค์’
“สุนัขขานรับว่าฮ่องเต้หมิงคัง…”
ตัวอักษรคำว่า ‘สุนัข’ บนกระดาษชิงเถิงละม้ายสุนัขดุร้ายหมอบอยู่ตรงหน้า แลบลิ้นมองเขาอย่างเยาะหยัน
ฮ่องเต้หมิงคังเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ พูดตวาดจนเสียงแปร่งแปลกไปจากปกติ “เว่ยอู๋เสีย! เรียกให้หลันซานกับบุตรชายไสหัวมาที่นี่”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋เสียแทบจะเผ่นออกจากห้องทรงพระอักษร เขายืนอยู่นอกตำหนักที่ปกคลุมด้วยภูษาสีเงินแล้วลอบพรูลมหายใจออกเฮือกหนึ่ง
ดูทีว่าหลันซานกับบุตรชายต้องเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่แล้ว
ณ จวนสกุลหลัน หลังได้ฟังเว่ยอู๋เสียถ่ายทอดกระแสรับสั่ง หลันซานเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านเว่ย ฮ่องเต้ทรงเรียกพวกข้าพ่อลูกเข้าวังตอนนี้ ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใดหรือ”
“ไยใต้เท้าหลันถามเช่นนี้ ข้ามิกล้าหยั่งเดาพระทัยส่งเดชหรอก” เว่ยอู๋เสียโยกโย้บ่ายเบี่ยง เขาใคร่ครวญอยู่ว่าถ้าหลันซานมอบตั๋วเงินเป็นสินน้ำใจให้ เขาก็จะแย้มพรายสักเล็กน้อย
หลันซงเฉวียนหัวเราะเสียงหนึ่ง “ท่านพ่อ นี่ยังต้องถามอีกหรือขอรับ ต้องเป็นเพราะฝ่าบาททรงเห็นว่าสารถวายพระพรที่ข้าเขียนโดดเด่นเหนือใคร ถึงได้เรียกพวกเราไปเข้าเฝ้า”
“ท่านเว่ย เกี่ยวข้องกับสารถวายพระพรของบุตรชายข้าจริงๆ หรือ” หลันซานมีความสุขุมเหนือกว่าบุตรชายที่เป็นคนอารมณ์ร้อนมากนัก เขาซักถามอย่างไม่วางใจ
เว่ยอู๋เสียแย้มยิ้มด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ใต้เท้าหลัน เรื่องนี้ข้าไม่ทราบจริงๆ ท่านอย่าสร้างความลำบากใจให้ข้าเลย ทว่าก่อนหน้าที่ฮ่องเต้ทรงเรียกพวกท่านทั้งสองเข้าวังกำลังทอดพระเนตรสารถวายพระพรอยู่ในห้องทรงพระอักษร”
หลันซงเฉวียนกระหยิ่มยิ้มย่อง “ท่านพ่อ ข้าก็บอกแล้ว ไม่มีอย่างอื่นนอกจากเรื่องนี้แล้วขอรับ”
เรียวคิ้วสีขาวประปรายที่ขมวดมุ่นของหลันซานถึงคลายออกในตอนนี้ เขากล่าวเสียงสั่นพร่า “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ จะปล่อยให้ฝ่าบาททรงรอคอยมิได้”
เว่ยอู๋เสียออกเดินนำหน้า เขาชำเลืองหางตามองหลันซงเฉวียนพลางยิ้มเยาะในใจ
ตัดหนทางหาเงินหาทองของผู้อื่นเปรียบได้ดั่งสังหารบิดามารดา ในเมื่อหลันซงเฉวียนเป็นต้นเหตุให้เขาอดได้เงินไปถุงหนึ่ง เขาก็จะนั่งรอดูอีกฝ่ายเคราะห์ร้ายแล้วกัน
หลันซานกับบุตรชายก้าวเข้าสู่ห้องทรงพระอักษรอย่างคุ้นเคยที่ทาง แต่ทันทีที่เท้าย่างผ่านประตูห้อง หนังศีรษะของชายชราก็ชาวาบ เขาชะงักฝีเท้ากึก
เท่าที่เขารู้จักฮ่องเต้มานานหลายปี บรรยากาศในห้องบ่งบอกว่าขณะนี้ฮ่องเต้กำลังอารมณ์เสียมาก
ด้านหลันซงเฉวียนกลับไม่รู้สึกเลยแม้สักกระผีก เขากล่าวแสดงคารวะเสียงดังทรงพลัง “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่เจ้าเป็นคนเขียนหรือ” ฮ่องเต้หมิงคังโบกสารถวายพระพรในมือไปมาตรงหน้าเขา
เมื่อลายมือคุ้นตาสะท้อนเข้าคลองจักษุ หลันซงเฉวียนรีบพยักหน้า “กระหม่อมเป็นคนเขียนเองพ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำอวยพรของครั้งนี้เป็นผลงานที่เขาภาคภูมิใจที่สุดในบรรดาคำอวยพรที่เขาแต่งขึ้นในรอบหลายปีนี้ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะตกรางวัลให้เขาอย่างไร
“บัดซบ!” ฮ่องเต้หมิงคังปาสารถวายพระพรใส่หน้าเขา
หลันซงเฉวียนกำลังรอฟังคำชมเชยอยู่จึงไม่ทันได้ตั้งตัวสักนิด สารถวายพระพรฉบับนั้นก็ลอยมากระแทกใส่สันจมูกเขาอย่างตรงเผงแม่นยำ พาให้เลือดกำเดาไหลพรวดออกมาทันใด
พอเห็นโลหิตหยาดหยดลงบนพื้นอิฐทอง ไฟโทสะของฮ่องเต้หมิงคังลุกโชนโหมแรงขึ้น เขาตะเบ็งเสียงเรียก “ทหาร เข้ามาลากตัวเจ้าคนบัดซบหลันซงเฉวียนที่บังอาจหมิ่นเกียรติเราผู้เป็นโอรสสวรรค์ออกไปประหารชีวิต!”
หลันซงเฉวียนซึ่งมีเลือดเปรอะหน้าตะลึงงันไป “ฝ่าบาท นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน กระหม่อมกระทำความผิดเรื่องอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
หลันซานเงื้อเท้าถีบบุตรชายจนเซถลาล้มลงเบื้องหน้าฮ่องเต้หมิงคัง เขากล่าวด้วยน้ำตานองหน้า “ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วย ทรงไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ! โปรดตรัสบอกกระหม่อมทีว่าเจ้าลูกทรพีกระทำความผิดใดกันแน่”
“เจ้าดูเอาเอง!” แม้นฮ่องเต้หมิงคังกำลังโกรธจัด ทว่าลึกๆ ในใจกลับมิได้มีความคิดจะเอาชีวิตของหลันซงเฉวียน
หลันซานเก็บสารถวายพระพรบนพื้นขึ้นมาด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ เขาค่อยๆ คลี่เปิดออกอ่านถ้อยความในนั้นจบแล้วหน้าถอดสีไปถนัดตา เขาล้มลงนั่งกับพื้นพลางพูดเสียงหลง “นี่…นี่เป็นไปไม่ได้ เจ้าลูกทรพีจะเขียนอย่างนี้ได้เช่นไรกัน…”
หลันซงเฉวียนจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาถลันเข้ามากล่าวว่า “ขอข้าดูที!”
ในเวลานี้หลันซานก็ไม่นำพาแล้วว่าจะเสียมารยาทต่อเบื้องพระพักตร์ เอ่ยถามเสียงกร้าว “ตอนเจ้าเขียนสารถวายพระพร สติฟั่นเฟือนไปแล้วใช่หรือไม่”
หลันซงเฉวียนอ่านเร็วๆ จนจบ สายตาเขาตรึงนิ่งอยู่ที่ตัวอักษรคำว่า ‘สุนัข’ ราวกับตอกตะปูไว้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นงุนงง “นี่เป็นไปไม่ได้!”
ฮ่องเต้หมิงคังแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง “ทำไมรึ เจ้าจะบอกเราว่านี่มิใช่เจ้าเขียนหรือ”
“ฝ่าบาท นี่มิใช่กระหม่อมเขียนอย่างเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ” หลันซงเฉวียนพูดเสียงดัง
ฮ่องเต้หมิงคังเหลือบเปลือกตาขึ้น “ต่อให้เราจำลายมือเจ้าไม่ได้ บิดาเจ้าก็จำไม่ได้ด้วยหรือ สมุหราชเลขาธิการหลัน ท่านบอกมา ตัวอักษรนี้เป็นลายมือของบุตรชายท่านใช่หรือไม่กันแน่”
หลันซานตอบคำถามนี้ไม่ออก
หลันซงเฉวียนร้อนรนแล้ว “ท่านพ่อ นี่ไม่ใช่ข้าเขียนจริงๆ นะ ข้าจะกระทำผิดพลาดแบบนี้ได้อย่างไร”
ฮ่องเต้หมิงคังทำเสียงฮึอย่างเฉยเมย “ใต้เท้าหลัน เจ้าบอกเราสิ ตกลงว่านี่เป็นลายมือของบุตรชายท่านใช่หรือไม่”
หลันซานเพ่งพินิจอักษรสีแดงบนกระดาษชิงเถิงโดยไม่กะพริบตา เขาอยากมองหาจุดที่แตกต่างกันให้ได้เป็นอันมาก ทว่าท้ายที่สุดเขาได้แต่เค้นเสียงกล่าวอย่างทดท้อใจ “เป็นลายมือของเขาพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านพ่อ!” หลันซงเฉวียนร้อนรนยกใหญ่ เขาหันไปโขกศีรษะให้ฮ่องเต้หมิงคัง “ฝ่าบาท กระหม่อมยังมิได้เสียสติ แล้วจะเขียนสารถวายพระพรพรรค์นี้ออกมาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“หึๆ ใครๆ ล้วนกล่าวว่ากลางวันคิดกลางคืนฝัน บางทีเจ้าอาจจะด่าทอเราในใจแบบนี้มานานแล้ว เลยเขียนความในใจออกมาโดยไม่ทันระวัง”
จะพูดแก้ตัวกับเรา? เราไม่เคยรับฟังมาแต่ไหนแต่ไร!
คนที่เข้าใจความคิดของฮ่องเต้หมิงคังที่สุดยังคงเป็นหลันซาน เขาเห็นบุตรชายยังจะพูดต่ออีก รีบกระตุกมืออีกฝ่ายสุดแรงทีหนึ่ง จากนั้นวางสองมือยันกับพื้นขออภัยโทษ “ฝ่าบาท เจ้าลูกทรพีของกระหม่อมไม่กล้ามีความคิดเฉกนี้เป็นอันขาด โปรดทรงเห็นแก่ที่กระหม่อมมีบุตรชายผู้นี้ผู้เดียว ไว้ชีวิตเขาสักครั้งเถอะ”
ฮ่องเต้หมิงคังนิ่งเฉยมองดูหลันซานโขกศีรษะดังตุ้บๆ หลายที ชั่วอึดใจเดียวเรือนผมบางหร็อมแหร็มก็หลุดรุ่ยร่าย เขาถึงเอ่ยปากขึ้นในที่สุด “ในเมื่อใต้เท้าหลันขอความเมตตาให้บุตรชายทั้งที เช่นนั้นโทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นยากหนีพ้น ก็ลงโทษโบยเขาร้อยทีเถอะ”
หลันซานได้ยินแล้วเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ถ้าโดนโบยกระบองร้อยไม้จริงๆ ถึงบุตรชายเขาไม่ตายก็ต้องพิการแล้ว แบบนี้ไม่ได้เป็นอันขาด!
“ฝ่าบาท ลูกทรพีของกระหม่อมเป็นพวกหนังหนา ถ้าเกิดทำให้ไม้กระบองประจำพระองค์หักไปก็จะไม่เป็นการดี…”
หลันซานพูดวิงวอนขอร้องอย่างน่าสงสาร ฮ่องเต้หมิงคังหรี่ตาฟัง สุดท้ายถึงลืมตาขึ้นช้าๆ “ใต้เท้าหลันทุ่มเทแรงกายแรงใจมานานหลายปี เราก็มิใช่คนแล้งน้ำใจ เพียงแต่กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ เราจะพูดกลับไปกลับมาตามใจชอบได้อย่างไร เอาอย่างนี้เถอะ โทษโบยกระบองยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ใต้เท้าหลันสามารถใช้เงินมาไถ่โทษได้”
“ใช้เงินไถ่โทษ?” หลันซานถามอย่างงุนงง
ข้าแก่ชรามากแล้ว ใครก็ได้ช่วยบอกข้าทีว่านี่ฮ่องเต้หมายความว่าอะไร
“ใช่ เอาเงินมาไถ่โทษ เงินขาวหนึ่งพันตำลึงไถ่โทษโบยกระบองได้หนึ่งไม้” ฮ่องเต้หมิงคังกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เงินขาวหนึ่งพันตำลึงต่อโทษโบยหนึ่งที โบยหนึ่งร้อยทีก็เป็นเงินสิบหมื่น อืม ดีชั่วของพระราชทานเดือนสิบสองปีนี้ก็แจกจ่ายได้แล้ว