หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 750
บทที่ 750
หลันซานคิดคำนวณในใจอย่างรวดเร็ว
เงินขาวสิบหมื่นตำลึงแลกกับบุตรชายไม่ต้องรับโทษโบยกระบองร้อยไม้ได้ เขาก็ยอมกัดฟันตอบตกลงแล้ว ไม่เช่นนั้นบุตรชายตายไป จะเอาเงินมากมายพวกนี้ไปทำอะไร
“ว่าอย่างไร ใต้เท้าหลันไม่เต็มใจหรือ” ฮ่องเต้หมิงคังเหลือบเปลือกตาขึ้น
“เต็มใจๆ กระหม่อมเต็มใจอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นใต้เท้าหลันตั้งใจจะไถ่โทษโบยกระบองสักกี่ทีดี” ฮ่องเต้หมิงคังไต่ถามด้วยสีหน้านิ่งสนิท
ฮึ…ถึงอย่างไรเราจะแอบกำชับเว่ยอู๋เสียเอาไว้ ถ้าไม่ไถ่โทษทั้งหมด ไม่ว่าโบยร้อยไม้หรือห้าสิบไม้ ผลลัพธ์ล้วนเหมือนกัน
เราต้องให้เจ้าเดรัจฉานน้อยผู้นี้ได้ลิ้มรสชาติเลือดตกยางออกว่าเป็นอย่างไร แล้วไม้กระบองหนักขนาดไหน
หนังตาของหลันซานกระตุกริกๆ ไม่หยุด
ฮ่องเต้ถามเช่นนี้ต้องไม่หวังดีแน่ เขาจะกล้าพูดว่าขอไถ่โทษโบยกระบองไม่กี่ทีได้หรือไม่เล่า
บัดนี้เขาได้รู้แล้วว่าของพระราชทานเดือนสิบสองเอาเงินทองของตระกูลใดมาแจกจ่าย ช่างน่าเศร้าใจนักที่ตอนอยู่ในห้องทรงพระอักษรวันนั้นเขาคาดคะเนถูกเพียงครึ่งเดียว ส่วนผลลัพธ์คาดเดาผิดไป!
หลันซานยิ่งคิดยิ่งชอกช้ำใจ เห็นฮ่องเต้หมิงคังจ้องมองอยู่ด้วยสายตาเรียบสนิท เขากล่าวทั้งน้ำตาคลอว่า “ย่อมจะขอไถ่โทษทั้งหมดเป็นธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาของฮ่องเต้หมิงคังมีแววพึงใจผุดขึ้นวูบหนึ่ง เขาพยักหน้ากับตนเอง
อืม ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น ความมีไหวพริบของหลันซานนี้ยังเป็นที่พึงใจของเราอย่างมาก
“เงินขาวสิบหมื่นตำลึงถ้วน ขาดไปอีแปะเดียวก็ไม่ได้! เอาล่ะ พาบุตรชายเจ้ากลับไปเถอะ แล้วรีบส่งเงินมาโดยไวด้วย”
หลันซานยกภูเขาออกจากอก ร่ำไห้น้ำหูน้ำตาไหลพลางกล่าวขอบพระทัย จากนั้นฉุดตัวบุตรชายเดินออกไป
ฝ่ายหลันซงเฉวียนนั้นลอบคับแค้นใจ บันดาลให้แผ่นหลังของเขาดูแข็งเกร็งอยู่บ้าง
ฮ่องเต้หมิงคังมองตามแผ่นหลังของเขาพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างรังเกียจเดียดฉันท์
มาตรว่าหลันซานจะดี แต่บุตรชายเขาผู้นี้ไม่ค่อยจะได้ความ เห็นแล้วก็ระคายใจ
ว่าไปแล้วหลันซานก็ย่างวัยเจ็ดสิบแล้ว ติดตามเขามาเนิ่นนานหลายปี ดีชั่วก็มีความผูกพันกันอยู่หลายส่วน หากไม่ถึงคราวจำเป็น เขาไม่อยากให้ขุนนางเก่าแก่ต้องเสียใจ ถ้าไม่อย่างนั้นคงยึดทรัพย์ของตระกูลหลันเสียเลย วันหลังก็ไม่กลัดกลุ้มกับเรื่องของพระราชทานเดือนสิบสองอีกต่อไป
“เว่ยอู๋เสีย เก็บกวาดในนี้ให้เรียบร้อยด้วย” ฮ่องเต้หมิงคังสั่งกำชับเสียงราบเรียบแล้วลุกขึ้นเดินออกไป
อืม เรื่องของพระราชทานเดือนสิบสองคลี่คลายไปได้ จิตใจก็ปลอดโปร่งเบาสบายแล้ว ไปฝึกวิปัสสนาดีกว่า
เว่ยอู๋เสียรีบเรียกคนเข้ามาเก็บกวาด
ขันทีน้อยสองคนคุกเข่าถือผ้าเนื้อนุ่มเช็ดรอยเลือดกำเดาของหลันซงเฉวียนที่ไหลหยดลงบนพื้น
เว่ยอู๋เสียมุ่นคิ้วเตะหนึ่งในนั้นที่อยู่ใกล้เขาที่สุดทีหนึ่ง
“ใครบอกให้เจ้าเช็ด!”
“เอ๊ะ?” ขันทีน้อยกะพริบตาปริบๆ
“แงะอิฐทองก้อนที่มีคราบเลือดติดอยู่ออก เปลี่ยนใหม่!”
ขันทีน้อยสองคนมองหน้ากันไปมา
ยังต้องเปลี่ยนอิฐก้อนใหม่?
“พวกเบาปัญญา เร่งมือเข้าสิ” เว่ยอู๋เสียสะบัดแขนเสื้อออกไป เขาแค่นเยาะอยู่ในใจ
ถ้ามิใช่เขาได้รั้งตำแหน่งขันทีตรวจฎีกาควบหัวหน้ากองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวา เจ้าพวกเบาปัญญาสองคนนี้ยังต้องถูพื้นอยู่เลย อิฐทองที่เลอะเลือดกำเดาของคนอื่นยังใช้ต่อได้อีกหรือ ฮ่องเต้ไม่เอาอิฐทองตีหัวพวกเขาตายสิแปลก
หลังเว่ยอู๋เสียไปแล้ว ขันทีน้อยสองคนออกแรงแงะอิฐทองยกใหญ่ หนึ่งในนั้นกล่าวทอดถอนใจ “เกิดอะไรขึ้นกับห้องทรงพระอักษรนี้นะ พักก่อนต้องปูอิฐทองใหม่ทั้งแผงเพราะมีรูหนู นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไรเองก็จะเปลี่ยนอีกแล้ว”
“พอได้แล้ว รีบทำงานเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลากินอาหารหรอก”
หลันซานกับบุตรชายกลับถึงจวนแล้วตรงไปที่ห้องหนังสือ
ห้องหนังสือของหลันซานมีโถงกั้นตรงกลาง จะพูดคุยเรื่องที่เป็นความลับอยู่ด้านในก็ไม่ต้องกลัวใครได้ยิน
พอก้าวผ่านโถงกั้นเข้าไปด้านในห้อง หลันซงเฉวียนก็ถีบโต๊ะจนล้มลงทันที ของต่างๆ เช่นพู่กัน แท่นฝนหมึกบนนั้นหล่นกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
“ทำแบบนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา ดูวีรกรรมที่เจ้าก่อไว้สิ!” หลันซานกล่าวด้วยเสียงชิงชัง
เจ้าลูกทรพีผู้นี้ เงินขาวสิบหมื่นตำลึงนั่นยังไม่ทันได้ส่งออกไป นี่ก็ทำลายข้าวของอีกแล้ว!
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้เขียนเป็นคำว่า ‘สุนัข’ จริงๆ นะขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าบอกมาว่านี่เป็นลายมือของเจ้าใช่หรือไม่กันแน่”
สองพ่อลูกย่อมต้องเอาสารถวายพระพรที่ชวนให้คับอกคับใจฉบับนั้นกลับมาด้วยแน่นอน
หลันซงเฉวียนเพ่งมองม้วนคำอวยพรอยู่นานสองนานถึงกล่าวรำพึงขึ้น “ท่านพ่อ เรื่องนี้พิลึกพิลั่นอยู่สักหน่อย ข้ามั่นใจว่าตอนนั้นเขียนคำว่า ‘สวรรค์’ อีกอย่างข้าเขียนเสร็จแล้วต้องตรวจทานแน่ ตัวอักษรคำว่า ‘สุนัข’ ขัดตาเยี่ยงนี้ ข้าจะไม่สังเกตเห็นได้หรือขอรับ”
หลันซานยกมือเขกหัวบุตรชายทีหนึ่ง “ขัดตาหรือ เขียนผิดขีดหนึ่งจะตรวจทานกี่รอบก็ไม่สังเกตเห็น เรื่องพรรค์นี้ใช่ว่าจะไม่มี บางทีในใจเจ้าลึกๆ อาจรู้สึกว่าอักษรตัวนี้ถูกตาก็เป็นได้”
หลันซงเฉวียนเหยียดมุมปาก ถ้อยคำที่ท่านพ่อกล่าวนี้กลับถูกต้อง ฮ่องเต้โฉดผู้นั้นมักบังคับให้พวกเขาบัดเดี๋ยวเขียนคำสรรเสริญสดุดี บัดเดี๋ยวแต่งคำอวยพรอยู่บ่อยๆ เป็นเช่นนี้มานานหลายปีแล้วยังไม่อนุญาตให้เขียนซ้ำ ไม่ต่างอันใดกับการบีบคั้นให้คนตายเลยทีเดียว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลันซงเฉวียนใจหายวาบ หรือจะเป็นอย่างนี้จริงๆ เขาเผลอตัวเขียนผิดถึงไม่สังเกตเห็น
หลันซงเฉวียนขยุ้มผมอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า
พิลึกพิลั่นนัก นี่มันพิลึกพิลั่นเกินไปแล้ว!
“เจ้ารีบไปล้างรอยเลือดบนหน้าออกให้สะอาด อย่าทำให้ท่านแม่เจ้าตกใจ” ถึงแม้หลันซานเห็นว่าไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง แต่เขาไม่คิดว่าบุตรชายจะจำไม่ได้แม้แต่ลายมือของตน ได้แต่สะทกสะท้อนใจว่ายามคนดวงตกมักเกิดเรื่องน่าพิศวงขึ้น
หลันซงเฉวียนไม่ขยับกาย “ท่านพ่อ เรื่องในวันนี้ พวกเราต้องนำมาตรึกตรองอย่างจริงจังแล้วนะขอรับ”
“เรื่องสารถวายพระพร?”
“มิใช่ เรื่องท่าทีของฮ่องเต้น่ะขอรับ”
หลันซานขมวดคิ้วทรุดตัวลงนั่ง
เขาแก่ชราลงแล้ว สมองไม่ฉับไวเช่นในกาลก่อน หลายปีมานี้ยามพบกับปัญหาล้วนเป็นบุตรชายที่ตัดสินใจ
“ท่านพ่อ ข้ารู้สึกว่าฝ่าบาทไม่โปรดปรานพวกเราพ่อลูกดังเช่นแต่ก่อน”
“นี่ยังต้องให้เจ้าพูดด้วยหรือ” หลันซานกลอกตาขึ้น
หลันซานสูงวัยมากแล้ว พูดได้ว่าขุนนางทั่วทั้งราชสำนักไม่มีคนที่อายุมากกว่าเขาอีก รอบดวงตาเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น พอเขาเปิดเปลือกตาขึ้นก็เผยให้เห็นลูกตาอันขุ่นมัว
หลันซงเฉวียนเห็นแล้วลอบถอนใจเฮือก ท่านพ่อชราภาพเกินไปแล้วจริงๆ
“ท่านพ่อ ท่านเคยใคร่ครวญหรือไม่วันหน้าสมควรทำประการใด”
“วันหน้า…” แววตาของหลันซานไหววูบหนึ่ง
“ข้าว่าฮ่องเต้ไม่ชอบหน้าข้านัก รอเมื่อท่านเกษียณราชการ ดีไม่ดีอาจทรงยึดทรัพย์สินของตระกูลข้าก็เป็นได้”
หลันซานถลึงตา “พูดอะไรส่งเดช เจ้ายังมิได้แยกเรือน!”
หลันซงเฉวียนอ้าปากแล้วหุบปาก
สมองของท่านพ่อหมดความเฉียบคมแล้วจริงๆ นี่เขาพยายามจะพูดอย่างอ้อมค้อมว่า ตอนท่านพ่อเกษียณราชการ ฮ่องเต้อาจยังไม่ลงมือ แต่ถ้าท่านสิ้นบุญไปแล้วเล่า…
อย่าลืมว่าตอนนี้ฮ่องเต้โฉดผู้นั้นก็บีบให้ตระกูลเขาเอาเงินสิบหมื่นตำลึงไถ่โทษโบยกระบองร้อยไม้แล้ว!
หลันซงเฉวียนยิ่งคิดยิ่งโมโห เขากล่าวพึมพำด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม “หากมู่อ๋องได้สืบบัลลังก์โดยเร็วก็คงดี”
“หุบปาก!” หลันซานตะคอกคำหนึ่ง คำกล่าวของบุตรชายทำให้เขาตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นโซมกาย
หวังให้มู่อ๋องได้สืบบัลลังก์ นั่นมิใช่หวังให้ฮ่องเต้รีบ...
หลันซงเฉวียนทิ้งตัวลงนั่ง พูดด้วยสีหน้าไม่ยี่หระแต่อย่างใด “กันไว้ดีกว่าแก้นะขอรับ ข้าแค่พูดเท่านั้นจะเป็นไรไป ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครได้ยิน”
“ฝ่าบาททรงดีต่อพวกเราพ่อลูกไม่น้อย…”
“ทรงดีกับท่านพ่อต่างหาก มิใช่กับข้า ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องวุ่นวายใจ อันที่จริงต่อให้ไม่เกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น พวกเราก็สมควรตริตรองให้ดีๆ แล้วนะขอรับ”
“เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
หลันซงเฉวียนโน้มตัวไปหาบิดา “บัดนี้รุ่ยอ๋องมีพระธิดาแล้ว และยังมีอนุอีกสามคนกำลังทยอยให้กำเนิดบุตร ถึงเวลาต้องได้พระโอรสแน่ ดังนั้นตาชั่งในพระทัยฮ่องเต้คงเอนเอียงไปทางรุ่ยอ๋องแล้ว”
เมื่อครั้งที่หลันซงเฉวียนอยู่ในวัยหนุ่มคึกคะนองเคยกลั่นแกล้งรุ่ยอ๋องมาก่อน ซึ่งเรื่องนี้มีคนในเมืองหลวงรู้กันไม่น้อย ด้วยเหตุนี้เองสองพ่อลูกจึงยืนอยู่ข้างมู่อ๋องโดยไม่เปลี่ยนแปลงเรื่อยมา
หากรุ่ยอ๋องได้สืบทอดบัลลังก์จริงๆ พวกเขาสองพ่อลูกย่อมต้องตกที่นั่งลำบาก
หลันซานถอนหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง “เรื่องนี้ต้องพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ”
ไม่ว่าหลันซานกับบุตรชายจะปิดประตูหารือกันลับๆ อยู่ในห้องหนังสืออย่างไร เงินไถ่โทษสิบหมื่นตำลึงก็ถูกแจกจ่ายออกไปเป็นของพระราชทานเดือนสิบสองอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะเดียวเหล่าขุนนางทั้งหลายล้วนหน้าชื่นตาบานไปตามๆ กัน