หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 758
บทที่ 758
ฉือชั่นจูงเฉียวเจาไปที่มุมหนึ่งถึงปล่อยมือออก ดวงตาทั้งคู่ที่จ้องมองนางแดงก่ำดุจเปลวไฟแทบแผดเผาคนให้มอดไหม้ได้
“เจ้ามาทำอะไร” ฉือชั่นเน้นเสียงพูดทีละคำ
เขาไม่รอเฉียวเจาเอ่ยตอบก็แค่นเสียงเยาะ “ไทเฮาบอกให้เจ้ามาใช่หรือไม่”
เฉียวเจามองเขานิ่งๆ แล้วทอดถอนใจ “ใช่ ข้า…”
ฉือชั่นตัดบทนางทันใด “ดังนั้นเจ้าจะมาขับเด็กในครรภ์ของท่านแม่ข้าออกหรือ หลีซาน เจ้าช่างเก่งกาจเสียจริงนะ”
เฉียวเจายืนอยู่ข้างต้นกุ้ย มีกลิ่นสุราบนตัวชายหนุ่มโอบล้อมรอบกาย นางถอยหลัง เรียวคิ้วโก่งมุ่นน้อยๆ “พี่ฉือ”
“อย่าเรียกข้าเช่นนี้ ข้าไม่อาจเอื้อม” ฉือชั่นกล่าววาจานี้แล้วหางตาแดงมากขึ้นในพริบตา เขาเบนสายตาออกทันใด
“พี่ฉือ…”
ฉือชั่นแค่นเสียงฮึ มุมปากแฝงรอยยิ้มเยาะหยัน “ใช่หรือไม่ว่าใครก็ตามที่ก้าวเข้ามาในแวดวงนี้ จากเดิมที่เป็นไข่มุกก็ต้องกลายเป็นลูกปัดกระเบื้องกันหมด”
เฉียวเจาขยับมุมปากทว่าสุดท้ายไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ฉือชั่นตัวเซเล็กน้อยก่อนหมุนกายจากไป
ถ้าฉือชั่นคิดอย่างนี้ ใช่ว่าจะมิใช่เรื่องดี
นางหวังว่าในใจเขาจะไม่เหลือเงาของนางแม้สักเศษเสี้ยว วันหน้าตบแต่งสตรีที่ดีผู้หนึ่งเป็นภรรยา มีชีวิตที่สดใสรื่นเริง
ทันใดนั้นพละกำลังระลอกหนึ่งพุ่งโถมมา ข้อมือของนางก็ถูกยึดไว้แน่น
เฉียวเจาจำต้องหยุดเดิน ช้อนตาขึ้นมองบุรุษที่เมาสุราไม่น้อย
ไม่พึงพูดจาวิสาสะกับพวกคนเมาสุราเป็นความจริง
“หลีซาน ห้ามเจ้าไป…” ฉือชั่นที่เมามายอยู่ลืมเลือนไปว่าสตรีตรงหน้าออกเรือนแล้ว น้ำเสียงของเขาแฝงรอยน้อยใจแกมขุ่นเคืองอยู่ในที “ไทเฮาให้เจ้าขับเด็กในครรภ์คนอื่น เจ้าก็มา เช่นนั้นวันหน้าให้เจ้าสังหารคน เจ้าก็ไปเหมือนกันใช่หรือไม่”
หลีซานที่เขารู้จักไม่ใช่คนพรรค์นี้
ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีคนที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนมากมายพอแล้ว ถึงผักกาดขาวสดใหม่ที่เขาเก็บกลับมากับมือจะไปโตในสวนของผู้อื่นก็ช่างเถอะ แต่กลายเป็นดอกกะหล่ำโดนหนอนไชเช่นนี้เขาทนไม่ได้
“ขับเด็กในครรภ์ออกเป็นการสังหารคนเช่นกัน” เฉียวเจากล่าวเสียงเรียบ
รอยยิ้มของฉือชั่นกระด้างขึ้น “แต่เจ้ายังคงมาอยู่ดี”
“ใช่ ก็ไทเฮาทรงให้ข้ามา” เฉียวเจาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฉือชั่นนิ่งขึงไป เขายกมือขึ้นนวดๆ ขมับ
หัวสมองเขาสับสนยุ่งเหยิงอยู่บ้าง ทั้งที่ได้ยินถ้อยคำของคนตรงหน้าได้ชัดถนัดหูแต่ราวกับฟังไม่เข้าใจเลย
“ไหลสี่กงกงยังรออยู่ ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ” เฉียวเจาหมุนกายผละไป
ฉือชั่นทำตาปริบๆ มองดูนางเดินห่างออกไป เขาก้าวขาตามไปแต่ถูกสกัดไว้นอกประตูเรือนองค์หญิงใหญ่
“คุณชายฉือ ท่านไปทำให้ตนเองสร่างเมาดีกว่านะ” ไหลสี่เอ่ยเตือนคำหนึ่งก่อนรีบเร่งเดินเข้าไป
ฉือชั่นยื่นมือไปยันประตูลานเรือน
นางข้าหลวงตงอวี๋พูดกล่อมเสียงเบาๆ “คุณชาย ท่านต้องคำนึงถึงองค์หญิงใหญ่บ้าง จะก่อความวุ่นวายจนคนรู้กันไปทั่วไม่ได้นะเจ้าคะ”
“ท่านแม่จะคลอดบุตรไม่ใช่หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่รู้กันไปทั่วในไม่ช้าก็เร็วหรือไร” ถึงแม้ฉือชั่นเมาสุราอยู่ แต่เขากลับจดจำคำพูดนี้ของมารดาได้แม่นยำ
“องค์หญิงตรัสไปด้วยอารมณ์เพคะ”
“พูดด้วยอารมณ์หรือ” ฉือชั่นขบคิดความหมายของคำนี้แล้วไม่รู้สึกโกรธแต่กลับยิ้ม “ไทเฮาทรงไม่ยอมรับเด็กผู้นี้ ท่านแม่ข้าก็ไม่คิดจะเก็บไว้ ส่วนหลีซานช่วยส่งเสริมให้ทุกคนสมหวัง เช่นนี้ข้าก็เป็นสุนัขหัวเน่าสินะ”
ตงอวี๋ไม่อาจพูดตอบเขาได้
ฉือชั่นแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง “เถาเซิง พยุงข้ากลับห้อง”
“ขอรับ” เถาเซิงขานรับทันควัน ได้กลับห้องเสียที คุณชายเมาสุราหนนี้ทำให้ข้าอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอด
พอตัวของฉือชั่นโงนเงนไปมา เถาเซิงรีบประคองเขาไว้ “คุณชาย ระวังสะดุดขอรับ”
ตงอวี๋มองนายบ่าวสองคนห่างไปไกลแล้วถึงเข้าไปในเรือนอย่างวางใจ
“คิดไม่ถึงว่าเสด็จแม่จะส่งเจ้ามา” องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเอนกายนอนอยู่บนตั่งคนงาม ทั้งที่อากาศหนาวจนน้ำไหลหยดเป็นน้ำแข็ง แต่ในห้องกลับอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ นางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีแดงอ่อนตัวเดียวอวดเรือนร่างอวบอิ่มเย้ายวนใจ
ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ตรงข้างกายบีบนวดน่องให้นาง
“ไทเฮาให้ข้ามาตรวจพระอาการเพคะ”
“ตรวจสิ” องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเหยียดแขนออกไปอย่างเกียจคร้าน ข้อมือขาวเนียนละเอียดไม่คล้ายสตรีออกเรือนแล้วในวัยนี้ สายตาที่มองไปทางเฉียวเจาของนางฉายรอยเย้ยหยันอย่างชัดเจน
เฉียวเจาเห็นอยู่กับตา นางอดนึกขันไม่ได้
อิทธิพลของบิดามารดามักจะถ่ายทอดซึมซาบสู่บุตรโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ต่อให้ฉือชั่นตัดพ้อต่อว่าองค์หญิงใหญ่ฉางหรงอย่างไร ทว่าในบางเสี้ยวขณะสีหน้าแววตาของสองแม่ลูกคู่นี้กลับเหมือนกันไม่มีผิด
เฉียวเจายื่นมือจับชีพจรของนางเป็นเวลาราวครึ่งถ้วยชาแล้วดึงมือคืน
“เป็นอย่างไรหรือ” น้ำเสียงขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงแฝงรอยล้อเลียนมากขึ้นทุกที
สายตาของเฉียวเจามองไปที่บุรุษซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงทำเสียงฮึเบาๆ “เขาไม่กล้าเอาไปพูดข้างนอกหรอก”
คนที่กล้าขัดใจนางโดนฆ่าตายไปนานแล้ว
ชายหนุ่มก้มหน้าต่ำลงอีก
“ปกติสตรีที่อายุมากกว่าสามสิบห้าปีตั้งครรภ์ก็เป็นอันตรายอยู่แล้ว อีกทั้งพระวรกายเคยได้รับความกระทบกระเทือนมาก่อน พระครรภ์นี้จึงมีอันตรายยิ่งขึ้น หากเสี่ยงขับเด็กออกเกรงว่าจะเป็นภัยถึงชีวิตเพคะ”
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงหัวร่อเบาๆ “คำพูดของเจ้าแตกต่างอันใดกับแพทย์หลวงเล่า”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “เพคะ เพราะนี่คือลักษณะชีพจรขององค์หญิง ผู้ใดตรวจล้วนต้องกล่าวเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้หม่อมฉันไม่กล้าสั่งยาสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนกับแพทย์หลวงเพคะ”
ไทเฮาให้นางมาตรวจอาการนางย่อมปฏิเสธไม่ได้แน่นอน แต่ไม่มีผู้ใดกำหนดไว้ว่านางต้องรักษาให้หายดีได้ทุกโรคนี่
มิใช่ว่าไม่ยอมทำ แต่ทำไม่ได้ ถึงเป็นไทเฮาผู้ทรงอำนาจราชศักดิ์ของราชวงศ์นี้จะว่าอะไรนางได้เล่า
อีกอย่างบัดนี้นางไม่ใช่บุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ ที่ต่ำต้อยเฉกมดปลวก แต่เป็นภรรยาของกวนจวินโหว ตราบเท่าที่นางแสดงท่าทีให้เกียรติไทเฮาอย่างเต็มที่ ในเมื่อนางสุดปัญญาแล้ว หรือไทเฮาจะบีบบังคับนางอย่างนั้นหรือ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้ากลับไปเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว”
เฉียวเจามององค์หญิงใหญ่ฉางหรงอย่างพินิจปราดหนึ่งถึงลุกขึ้นกล่าวอำลา ระหว่างที่เดินกลับไปนางกลับอดตรึกตรองอยู่ในใจไม่ได้
ตอนนางบอกกับองค์หญิงใหญ่ฉางหรงว่าสุดปัญญาจะทำอะไรได้ ถึงกับรู้สึกว่าองค์หญิงดูโล่งอกในพริบตา นี่หมายความว่าจริงๆ แล้วองค์หญิงอยากเก็บบุตรผู้นี้ไว้หรือ
เมื่อคิดได้เช่นนี้เฉียวเจารู้สึกปลอดโปร่งใจขึ้นมากด้วยเหตุผลกลใดก็สุดรู้
“ท่านโหว…” จู่ๆ ไหลสี่ก็ส่งเสียงเรียกขึ้นส่งผลให้ความคิดของเฉียวเจาสะดุดลง
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” พอเห็นเซ่าหมิงยวน เฉียวเจาทำหน้าชื่นตาบานอย่างสุดระงับ
เขาจับมือนางต่อหน้าต่อตาไหลสี่ด้วยสีหน้าเป็นปกติ “รับเจ้ากลับเรือน”
“ข้ายังต้องกลับไปทูลรายงานไทเฮา”
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ ชำเลืองมองไหลสี่แวบหนึ่ง “เช่นนั้นข้ารอเจ้า”
ไหลสี่คิดในใจ กวนจวินโหวผู้ยิ่งใหญ่มีเวลาว่างถึงเพียงนี้เชียวหรือ เดือนหนึ่งไม่ออกไปพบปะสังสรรค์กับผู้คน กลับรออยู่หน้าประตูวังรับภรรยากลับเรือน
เมื่อถึงตำหนักฉือหนิงไหลสี่ชิงบอกเรื่องนี้เอง หยางไทเฮาหันไปมองเฉียวเจาด้วยสีหน้าแววตาเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
กวนจวินโหวให้ความสำคัญต่อภรรยาของตนมากกว่าที่นางคิดไว้
ครั้นได้ฟังผลการตรวจอาการขององค์หญิงใหญ่ ดวงตาของหยางไทเฮาทอแววผิดหวังระคนไม่ยอมจำนนอย่างเห็นได้ชัด นางเพ่งมองเฉียวเจาพลางกล่าว “หลีฮูหยินเป็นถึงลูกศิษย์ของหมอเทวดาหลี่…”
เฉียวเจายิ้มอย่างถ่อมตน “แม้นหม่อมฉันโชคดีได้รับการชี้แนะจากหมอเทวดา แต่เมื่อเทียบกับท่านผู้อาวุโสแล้ว หม่อมฉันเปรียบดั่งหิ่งห้อย มีหรือจะแข่งกับแสงจันทร์ได้เพคะ”
ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่านางมิใช่หมอเทวดา แต่เป็นเพียง ‘ลูกศิษย์’ ของหมอเทวดา
วาจารัดกุมไร้ช่องโหว่ กิริยาท่าทางไม่โอหังไม่เจียมตนแต่ไม่ขาดความเคารพนอบน้อม ทั้งยังมีกวนจวินโหวนามกระเดื่องทั่วหล้ารอคอยอยู่ด้านนอก เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าไทเฮาจนใจอยู่มากเหมือนกัน ต่อให้นางทำใจยอมรับไม่ได้สักนิดก็จำต้องปล่อยเฉียวเจากลับไป
เมื่อเห็นเฉียวเจาออกจากประตูวัง เซ่าหมิงยวนเดินเข้าไปหา ทั้งสองสบตากันยิ้มๆ แล้วจูงมือกันขึ้นรถม้า
“ข้าดื่มสุรากับสือซีแล้วกลับไปก็ได้ยินว่าไทเฮาเรียกตัวเจ้าเข้าวัง พระองค์มิได้สร้างความลำบากใจให้เจ้ากระมัง”
ชายหนุ่มไม่เสียเวลาผลัดอาภรณ์ด้วยซ้ำ ภายในตัวรถม้าจึงมีกลิ่นสุราจางๆ ลอยอวลอยู่
“วางใจเถอะ ด้านวาจาคารม คนอื่นสร้างความลำบากใจให้ข้าไม่ได้ สำหรับเรื่องอื่นๆ ก็คงไม่มาสร้างความลำบากใจให้ข้าเช่นกัน”