หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 76
องค์หญิงเจินเจินยืนเชิดหน้าอยู่ริมถนน พินิจดูเด็กสาวที่เดินมาพลางรำพึงในใจ
ก็ไม่เท่าไรนี่นา สวมอาภรณ์สีสันอย่างกับต้นหอมก็ไม่ปาน!
ปิงลวี่วิ่งทะยานไปหา “คุณหนู ท่านออกมาได้เสียที”
“เที่ยวเสร็จแล้วหรือ” เฉียวเจาคัดลอกพระธรรมอยู่ครึ่งค่อนวันจนเมื่อยมืออยู่บ้าง นางถามพร้อมกับนวดมือเบาๆ ไปด้วย
ปิงลวี่ขยิบตา พูดเสียงกระซิบ “คุณหนู ดูเหมือนแม่นางโฉมงามตรงริมถนนผู้นั้นรอท่านอยู่เจ้าค่ะ”
เฉียวเจาได้ยินแล้วก็เบือนสายตามองไป
เด็กสาวผู้นั้นดูท่าทางจะอายุประมาณสิบห้าสิบหก รูปโฉมโนมพรรณชวนพิศอย่างหาพบได้น้อยนัก หากรัศมีทรงอำนาจที่แผ่ออกมาระลอกนั้นยังเหนือกว่ารูปโฉมสามส่วน
เฉียวเจาเลื่อนสายตาลงไปหยุดอยู่ที่ลายดอกยวนเหว่ยตรงชายแขนเสื้อ
ที่แท้เป็นองค์หญิงเก้า
ท่านย่าของนางเป็นเชื้อพระวงศ์ ท่านจะเอ่ยถึงเรื่องในราชสำนักบ้างเป็นบางครั้ง นางมีความจำเป็นเลิศก็เลยพอรู้อะไรๆ บ้างแม้ไม่ปะติดปะต่อกันนัก สาเหตุที่จดจำเรื่ององค์หญิงเก้าได้แม่นยำเพราะพระมารดาของนางมีเทือกเถาเหล่ากอผิดสามัญมาก
ลี่ผิน พระมารดาขององค์หญิงเก้าเดิมเป็นนางรำในวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงซึ่งเป็นมารดาของฉือชั่น นางเคยเป็นหญิงงามชื่อดังของเมืองหลวง
เฉียวเจาก้าวเข้าเดินไปย่อกายคารวะด้วยท่าทางมาดมั่นไม่ขัดเขิน “ถวายพระพรองค์หญิงเพคะ”
“เจ้ารู้จักข้าหรือ” องค์หญิงเจินเจินเลิกคิ้วขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
“เคยได้ยินคนกล่าวว่าองค์หญิงมีพระทัยกตัญญู มักเสด็จมาที่อารามซูอิ่งอธิษฐานขอพรให้องค์ไทเฮาบ่อยๆ หม่อมฉันจึงได้บังอาจคาดเดาเอาเองเพคะ” เฉียวเจายืดตัวขึ้นกล่าวอธิบาย
องค์หญิงเจินเจินกัดริมฝีปาก คนผู้นี้เจ้าเล่ห์จริงๆ นึกว่าเข้ามาพูดชมนาง นางก็จะไม่โมโหอย่างนั้นหรือ
“ข้าให้เจ้าลุกขึ้นแล้วหรือ” พอเห็นเด็กสาวเบื้องหน้ามีอิริยาบถงามสง่าดุจต้นสนเขียว ส่งผลให้องค์หญิงเจินเจินไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้น
หรือคิดว่าเป็นที่ถูกตาต้องใจท่านซือไท่แล้วเลยไม่เห็นองค์หญิงอย่างข้าอยู่ในสายตา
เฉียวเจาลอบทอดถอนใจ ที่แท้ในสถานที่สงบเงียบอย่างวัดวาอารามก็ยังหาความสงบเงียบได้ยากเฉกเดียวกัน
“องค์หญิงทรงหมายความว่าไม่อนุญาตให้หม่อมฉันลุกขึ้นหรือเพคะ” เฉียวเจาย้อนถามอย่างสุขุม
เพลานี้องค์หญิงของแคว้นต้าเหลียงมิได้สูงศักดิ์เท่าพวกท่านย่าและอาหญิงของนาง
หลังฮองเฮาสิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควร ฮ่องเต้หมิงคังมิได้แต่งตั้งฮองเฮาอีก วันๆ หมกมุ่นอยู่กับเรื่องบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นอมตะ อย่าว่าแต่องค์หญิง กระทั่งองค์ชายที่เหลืออยู่สองพระองค์ก็ไม่ใคร่ได้เห็นหน้าเห็นตา
พวกขุนนางใหญ่และผู้สูงศักดิ์ล้วนไม่โฉดเขลา ฮ่องเต้ที่พึ่งพาอาศัยมิได้พรรค์นี้ ต่อให้ลูกหลานในตระกูลได้แต่งงานกับองค์หญิงแล้วจะมีอันใด ฮ่องเต้ไม่เหลียวแลแม้แต่พระโอรส ยังจะสนใจไยดีราชบุตรเขยได้หรือ
ยิ่งไปกว่านั้นในบรรดาองค์หญิงทั้งหลายไม่มีผู้ใดเป็นสายเลือดของฮองเฮา อีกทั้งล้วนมีพระมารดาชาติตระกูลไม่สูง จะว่าไปแล้วก็แค่มีเกียรติยศฐานะเป็นองค์หญิงเท่านั้น ทว่าองค์หญิงเก้าผู้นี้เป็นคนโปรดของไทเฮา ประกอบกับมีกิตติศัพท์เรื่องโฉมงามขจรขจายไปทั่วถึงได้แตกต่างจากผู้อื่น
แน่นอนว่าเฉียวเจามิได้ดูแคลนองค์หญิงเก้า แต่นางก็ทะนงในศักดิ์ศรีของตน เมื่อมิใช่อยู่ในงานพิธีการและนางมั่นใจว่าไม่ได้ประพฤติตนเสียมารยาทอันใด แล้วนางจะเกรงกลัวองค์หญิงจับผิดไปด้วยเหตุใด
เฉียวเจาถามคำเดียวก็ทำให้องค์หญิงเจินเจินตอบไม่ออกแล้ว
นางมองเด็กสาวที่วางท่าไม่เจียมตนไม่โอหังเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเจือโทสะจางๆ ประจักษ์ได้ชัดแจ้งว่านี่มิใช่พวกบ่าวไพร่ในวังหลวงที่ทุบตีด่าทอได้ตามใจชอบ ถึงแม้เป็นองค์หญิงสูงศักดิ์ แต่มีเสียงเล่าลือโจษจันออกไปว่ารังแกเหยียดหยามบุตรสาวของขุนนางก็ไม่น่าฟังเช่นกัน
ความรู้สึกนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่องค์หญิงเจินเจินอยู่บ้าง อีกทั้งแฝงความแปลกใหม่เล็กๆ น้อยๆ ในคราวเดียวกัน
“ข้าหมายความเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน เจ้าอย่าพาลหาเรื่อง!”
เฉียวเจาอดขบขันไม่ได้ นางกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “เป็นหม่อมฉันพาลหาเรื่องเอง เช่นนั้นหม่อมฉันไปได้แล้วใช่หรือไม่เพคะ”
ย่อมต้องไปไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ขืนพูดเช่นนี้ ใช่หรือไม่ว่าเด็กสาวไร้มารยาทผู้นี้คงถามนางอีกว่า ‘องค์หญิงไม่อนุญาตให้หม่อมฉันไปหรือเพคะ’
องค์หญิงเจินเจินกัดริมฝีปาก เพียงรู้สึกว่าไม่เคยพบเจอสตรีมากเล่ห์และใจกล้าเยี่ยงนี้มาก่อน จึงทำเฉไฉไม่ตอบไปเสียเลย เพียงไต่ถามตามตรง “เหตุใดท่านซือไท่ให้เจ้าเข้าพบ”
เพราะพบกับเจ้า ถึงกับไม่พบข้าผู้เป็นองค์หญิง?
“หม่อมฉันมาคัดลอกพระธรรมให้ท่านซือไท่เพคะ” ในเมื่อองค์หญิงเก้าผู้นี้มาอารามซูอิ่งบ่อยๆ วันหน้าคงต้องพบหน้ากันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เฉียวเจาก็เลยบอกกล่าวตามสัตย์จริง
“ท่านซือไท่ให้เจ้าคัดลอกพระธรรมหรือ” องค์หญิงเจินเจินมองสำรวจเฉียวเจาขึ้นๆ ลงๆ ปราดหนึ่งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงติติง “ดูแล้วมิได้มีอันใดพิเศษนี่นา”
นางคร้านจะตีฝีปากกัน ย่อกายคารวะอีกคำรบหนึ่งแล้วกล่าว “องค์หญิง หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
เฉียวเจายืดตัวขึ้นอย่างแช่มช้อย พยักหน้ากับปิงลวี่เล็กน้อยแล้วเดินเยื้องกรายฝ่าสายตาเย็นเยียบขององค์หญิงเจินเจินจากไป
“องค์หญิง…” นางกำนัลเรียกขานอย่างระมัดระวัง
ที่นี่เป็นวัดต้าฝู มิใช่วังหลวง องค์หญิงทรงต้องอดกลั้นไว้นะเพคะ!
องค์หญิงโดดเด่นขึ้นมาเหนือเหล่าองค์หญิงและเป็นที่ต้องพระทัยองค์ไทเฮาได้ ย่อมมิใช่คนไร้เล่ห์กล นางลอบสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งข่มไฟโทสะเอาไว้ พลางขบสันกรามแน่นและเอ่ยขึ้น “ ตามพวกนางไป”
มัวแต่โมโหเด็กสาวเจ้าเล่ห์ผู้นั้นจนลืมถามเทือกเถาเหล่ากอของนางไปเสียได้!
ปิงลวี่หันศีรษะไปชำเลืองมองแวบหนึ่งแล้วกระซิบบอกเฉียวเจา “คุณหนู องค์หญิงท่านนั้นตามท่านมาเจ้าค่ะ”
เป็นถึงองค์หญิงเชียวหรือนี่ คุณหนูของนางไม่กลัวแม้กระทั่งองค์หญิง นับวันข้าก็จะยิ่งเลื่อมใสคุณหนูมากขึ้นทุกทีแล้ว
“ไม่ต้องใส่ใจ”
สองนายบ่าวก้าวไปตามบันไดทางลงเขาทีละขั้น ปิงลวี่ยกมือชี้พร้อมกล่าวด้วยสุ้มเสียงตื่นเต้น “คุณหนู ท่านดูสิ งานวัดยังไม่เลิกเลย ตอนนี้มีคนไม่มากถึงเพียงนั้นแล้ว จะไปเดินเที่ยวหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเจาใคร่ครวญอึดใจหนึ่งแล้วผงกศีรษะ “ก็ดี ไปเดินเที่ยวกันเถอะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ออกมานอกเรือนอย่างแท้จริงหลังกลับจวนสกุลหลี จะกลับไปเช่นนี้ก็ออกจะน่าเสียดายอยู่บ้าง
เฉียวเจาทอดตามองไกลไปยังทิศทางที่ตั้งของจวนเสนาบดีโค่วปราดหนึ่งก่อนดึงสายตาคืนมา ปล่อยให้ปิงลวี่จูงมือเดินไปที่งานวัด
แม้นจะพูดว่าผู้คนแยกย้ายกันกลับไปไม่น้อยแล้ว แต่แท้ที่จริงบรรยากาศยังคึกคักอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นละครหุ่นเชิดเอย ควงเสาธงเอย ระบำดำนาเอย เดินไม้ต่อขาเอย ทุกๆ จุดล้วนมีคนล้อมวงมุงดูเนืองแน่น แล้วยังมีการละเล่นโยนห่วง คนปั้นน้ำตาล คนขายถังหูลู่ เป็นต้น
ขณะเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนเสียงดังอึงคะนึง เฉียวเจาก็ยังเพลิดเพลินหลงใหลไปกับความสนุกครึกครื้นของโลกภายนอกเหล่านี้
ในสายตาของนาง ถึงเป็นหน้ากากลิงทำด้วยฝีมือหยาบๆ ตามแผงหาบเร่เล็กๆ ก็มีชีวิตชีวากว่าต้นไม้ดอกไม้ที่ปลูกอย่างทะนุถนอมในคฤหาสน์ใหญ่โตโอ่อ่า
“คุณหนู พวกเราไปดูการแสดงกลกันดีกว่า ทางนั้นมีคนเล่นกลผู้หนึ่ง มหัศจรรย์มากเจ้าค่ะ!
ปิงลวี่จูงเฉียวเจาไปทางนั้น เห็นคนมากมายยืนล้อมรอบตัวสตรีวัยสาวสะพรั่งนางหนึ่ง ตรงหน้านางมีหม้อใบใหญ่ตั้งอยู่ ในนั้นใส่น้ำมันร้อนจัด
เด็กหญิงอายุสิบปีเศษถือตะกร้าเดินผ่านหน้าฝูงชนที่มุงดูอยู่ นางเดินไปตะโกนพูดไปว่า “พี่สาวข้าได้รับพลังวิเศษจากท่านเซียน มือทั้งคู่ไม่กลัวน้ำมันร้อน ต่อไปนี้นางจะแสดงการหยิบเหรียญในหม้อน้ำมัน ขอเชิญท่านทั้งหลายช่วยกันให้กำลังใจด้วย…”
เด็กหญิงเดินวนรอบหนึ่ง มีเหรียญอีแปะไม่น้อยถูกโยนลงตะกร้าเสียงดังกรุ๊งกริ๊งๆ พอนางมาถึงหน้าเฉียวเจา ปิงลวี่รีบโยนเหรียญไปหนึ่งเหรียญด้วยสีหน้าตื่นเต้น
เห็นเด็กหญิงผู้นั้นเอาเหรียญในตะกร้าทั้งหมดเทพรวดลงไปในหม้อน้ำมัน สตรีวัยสาวสะพรั่งแบมือสองข้างให้ทุกคนแล้วพูดเสียงก้องกังวาน “เชิญทุกท่านดูให้เต็มตา”
นางพูดจบแล้วก็จุ่มมือลงไปในหม้อน้ำมันร้อนจัด หยิบเหรียญขึ้นมากำหนึ่งท่ามกลางเสียงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ของผู้คน นางทำเช่นนี้ซ้ำๆ หลายครั้งจนเก็บเหรียญที่จมอยู่ใต้ก้นหม้อขึ้นมาได้หมด
“เยี่ยม!” เสียงร้องชมดังระงมขึ้น
“มหัศจรรย์เหลือเกินๆ” ตอนเดินออกมา ปิงลวี่ยังคงประทับใจไม่เลิกรา นางกระตุกแขนเสื้อของเฉียวเจาพลางถาม “คุณหนู ท่านว่าแม่นางผู้นั้นได้รับพลังวิเศษจากท่านเซียนมาจริงๆ หรือเจ้าคะ”
เฉียวเจากล่าวยิ้มๆ “พลังวิเศษจากท่านเซียนนั้นไม่แน่หรอกว่าจะมี ก็แค่พวกกลเม็ดตบตาเท่านั้นเอง”
“กลเม็ดตบตาอะไรหรือ” เสียงของหนึ่งสตรีและหนึ่งบุรุษเอ่ยถามขึ้นพร้อมกัน