หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 760
บทที่ 760
ในจวนกวนจวินโหวเซ่าหมิงยวนฟังรายงานจากองครักษ์แล้วอดหัวเราะไม่ได้ “สือซีทำอะไรมักเหนือความคาดหมายเสมอ”
เฉียวเจากลับไม่รู้สึกขบขันนัก นางส่ายหน้ากล่าวว่า “การขับเด็กในพระครรภ์องค์หญิงใหญ่ฉางหรงอาจมีภัยถึงชีวิต แต่ตั้งพระครรภ์ต่อไปก็อันตรายดุจเดียวกัน วันหน้าตอนคลอดจะเป็นด่านใหญ่อีกด่านหนึ่ง”
เซ่าหมิงยวนโอบตัวนางเข้ามาหา แล้วก้มหน้ากล่าวยิ้มๆ “ไม่ต้องคิดถึงคนอื่นแล้ว เจาเจา อีกสิบกว่าวันก็จะเป็นพิธีปักปิ่นของเจ้าแล้วนะ”
ตามธรรมเนียมพิธีปักปิ่นจะจัดขึ้นก่อนสตรีออกเรือน แต่เพราะเฉียวเจาแต่งงานแล้ว อันที่จริงพูดว่าพิธีปักปิ่นนี้คืองานฉลองวันคล้ายวันเกิดครบรอบสิบห้าปีเต็มของนางจะเหมาะเจาะกว่า
พอถึงวันที่ยี่สิบห้าเดือนหนึ่งชาวชุมนุมฟู่ซานที่มีไมตรีกับเฉียวเจาไม่เลวเช่นสวี่จิงหงกับซูลั่วอีต่างมาร่วมงานตามคำเชิญ ส่วนทางสกุลหลีนั้นหลีเยียนกับหลีฉานมาไม่ได้เพราะการตายของหลีกวงซู ดังนั้นชาวสกุลหลีรุ่นเดียวกันที่มาได้จึงมีเพียงหลีฮุย ขณะที่เหอซื่อเดิมทีไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ กลับอุ้มฝูเกอเอ๋อร์มาฉลองวันเกิดให้บุตรสาวที่ออกเรือนแล้วอย่างปีติยินดี สร้างความอิจฉาให้หลีกวงเหวินยกใหญ่เพราะเหตุนี้
โถงรับแขกของจวนกวนจวินโหวกว้างขวางสว่างไสว วางฉากกั้นไม้จันทน์ภาพทิวทัศน์ธรรมชาติแบบแปดบานพับแบ่งพื้นที่รับรองแขกบุรุษกับแขกสตรีแยกกัน
ภายในโถงตั้งอ่างไฟที่จุดไฟลุกโชนห่างกันทุกๆ สองสามก้าว บนโต๊ะมีผลไม้สดวางเรียงรายจนเต็ม ทั้งยังตกแต่งด้วยดอกไม้สดที่บานสะพรั่งเต็มที่อีกหลายกระถาง
จูเหยียนปลิดองุ่นลูกหนึ่งใส่ปากกินแล้วถอนใจอย่างอิ่มเอม นางคุยกระซิบกระซาบกับซูลั่วอี “พี่สะใภ้ ท่านว่ากวนจวินโหวไปหาองุ่นพวกนี้มาจากที่ใดกัน”
ซูลั่วอีเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน เวลาอยู่ข้างนอกถูกจูเหยียนเรียกขานด้วยคำนี้ยังคงขัดเขินอยู่บ้าง นางหน้าแดงกล่าวว่า “ใครจะรู้เล่า ได้กินองุ่นในฤดูนี้หาได้ยากจริงๆ เห็นได้ว่าท่านโหวเอาใจใส่คุณหนูหลีมาก”
จูเหยียนหลุดหัวเราะพรืด “พี่สะใภ้ ท่านพูดอย่างนี้ พี่ห้าของข้าได้ยินคงเสียใจแย่ หรือว่าพี่ห้าไม่ดีกับท่าน”
“อย่าเหลวไหล” ซูลั่วอีตีจูเหยียนเบาๆ ทีหนึ่ง
สตรีสูงศักดิ์เฉกพวกนางเคยพบเห็นของดีๆ มามากมาย จูเหยียนจะกล่าวถึงองุ่นอย่างทึ่งๆ ก็ยังพอทำเนา แต่วันนี้กระทั่งสวี่จิงหงยังใจคอไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว กวาดสายตาไปทางฉากกั้นอย่างห้ามไม่อยู่
นางรู้ว่าท่านปู่ตั้งใจจะยกนางให้คุณชายสกุลเฉียว แต่เมื่อคิดถึงว่าต้องแต่งงานใช้ชีวิตอยู่กับบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่ง นางก็บังเกิดความหวาดหวั่นพรั่นใจว่าเฉียวโม่เป็นคนอย่างไร
“พี่สวี่ ท่านไม่สบายหรือ” สุ้มเสียงอ่อนหวานของจูเหยียนดังลอยมา
สวี่จิงหงดึงความคิดคืนมา นางคลี่ยิ้มบางๆ “เปล่า”
“ข้านึกว่าท่านไม่สบายตรงที่ใดเสียอีก เมื่อครู่เรียกท่านตั้งสองครั้งเชียวนะ” จูเหยียนเอ่ยยิ้มๆ
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” สวี่จิงหงเป็นคนเย็นชา ถึงแม้จะมีความในใจมากมายก็ยังคงทำสีหน้าเป็นปกติดุจเดิม
ไม่นานนักเฉียวเจาก็ถือจอกสุรามากล่าวขอบคุณทุกคน
ในงานเลี้ยงเรียบง่ายทว่าไม่ขาดความประณีตพิถีพิถัน แขกเหรื่อและเจ้าภาพต่างกินดื่มสังสรรค์กันอย่างอิ่มหนำสำราญใจ หลังกินอาหารแล้วเฉียวเจาสั่งให้สาวใช้พาพวกซูลั่วอีไปชมดอกเหมยที่สวนดอกไม้ ส่วนตนเองอยู่เป็นเพื่อนมารดาพูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน
ฝูเกอเอ๋อร์หลับไปแล้ว เหอซื่อบอกให้แม่นมคอยเฝ้าดูเขา นางลูบผมของเฉียวเจาอย่างรักใคร่เอ็นดู “เจาเจาของแม่อายุสิบห้าแล้ว เดิมทีควรจัดงานพิธีปักปิ่นอย่างเอิกเกริกใหญ่โต แต่ตอนนี้…”
เฉียวเจาคลายยิ้มเอ่ยตัดบท “ท่านแม่ ข้าได้เข้าพิธีมงคลอย่างยิ่งใหญ่มาแล้ว ไม่ได้จัดพิธีปักปิ่นก็ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
เหอซื่อคิดๆ แล้วจึงพยักหน้า “จริงของเจ้า สิ่งสำคัญคือท่านเขยดีต่อเจ้าก็พอแล้ว ข้าเห็นดอกไม้กับผลไม้สดใหม่ที่จัดเตรียมในวันนี้พวกนั้นก็รู้ว่าเขาเอาใจใส่เจ้ามาก”
นางกล่าวถึงตรงนี้แล้วตวัดสายตามองประตูแวบหนึ่งอย่างฉับไว ค่อยลดสุ้มเสียงลงกล่าวว่า “พวกเจ้ายังไม่…กระมัง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉียวเจานิ่งค้างไป “ยัง…”
เหอซื่อตบมือบุตรสาวเบาๆ “ไม่ต้องกลัว ช้าเร็วก็ต้องผ่านด่านนี้ เจ้าจดจำที่แม่ทำเครื่องหมายไว้ให้เจ้าได้ก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว”
“แค่กๆๆ” เฉียวเจาไอออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่อีก
เมื่อส่งทุกคนกลับไปแล้ว ปิงลวี่เดินลิ่วๆ เข้ามาพูดซุบซิบด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ฮูหยิน วันนี้คุณหนูสวี่กับคุณชายเฉียวสนทนากันในสวนเหมยด้วยเจ้าค่ะ”
“คุยอะไรกันบ้าง” เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตในวันข้างหน้าของพี่ชายว่าจะสุขสมบูรณ์หรือไม่ พาให้เฉียวเจาบังเกิดความสนใจโดยพลัน
“ดูเหมือนคุณหนูสวี่จะเอื้อนกลอนวรรคหนึ่ง ส่วนคุณชายเฉียวต่อกลอนวรรคหนึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของต้นเหมยเจ้าค่ะ” ปิงลวี่กะพริบตาปริบๆ พลางปิดปากหัวเราะ “ว่าไปแล้วคุณชายเฉียวกับคุณหนูสวี่ไม่ได้เห็นหน้ากันด้วยซ้ำเจ้าค่ะ ผู้มีความรู้สูงก็ถือธรรมเนียมเคร่งครัดอย่างนี้เอง”
“ตอนหลังคุณหนูสวี่มีสีหน้าอย่างไร แล้วพี่ใหญ่ข้าทำหน้าอย่างไร”
“เอ่อ…ข้ารู้สึกว่าสีหน้าของพวกเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะเจ้าคะ ทั้งสองคนล้วนทำหน้าเฉยๆ อยู่ตลอด”
เฉียวเจานึกถึงพี่ชายแล้วค่อยนึกไปถึงสวี่จิงหงอีกที นางอดคลายยิ้มไม่ได้ เห็นว่าจะหวังให้คนสองคนที่เป็นเช่นนี้เผยความรู้สึกออกมาเป็นเรื่องลำบากอยู่บ้างจริงๆ
แต่ได้พูดคุยกันแสดงว่าทั้งสองต่างวาดหวังถึงชีวิตในอนาคตกระมัง
มีความวาดหวังย่อมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ราตรีนี้เฉียวเจาชำระกายผลัดอาภรณ์เป็นเสื้อตัวกลางสีชมพูอ่อน เรือนผมยาวเฟื้อยใช้ผ้าพันซับน้ำจนแห้งสนิทแล้วแต่มิได้มุ่นมวย นางปล่อยผมสยายเดินเข้าสู่ห้องด้านใน
เซ่าหมิงยวนล้างหน้าบ้วนปากเสร็จตั้งนานแล้วรออยู่ในห้อง เขาถือหนังสือเล่มหนึ่งอ่านอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็เหลือบมองพลางหยักยิ้ม แสร้งทำเยือกเย็นเอ่ยถามขึ้น “เรียบร้อยแล้วหรือ”
เฉียวเจาเลื่อนสายตาลงมองหนังสือในมือเขา
คนงามผมสีดำขลับดุจม่านน้ำตก ฝ่ามือขาวผ่องเนียนนุ่ม เซ่าหมิงยวนรู้สึกคล้ายมีน้ำลายเหนียวติดคอ เขาไอเบาๆ ก่อนกล่าว “เปิดตำราพิชัยยุทธ์อ่านไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”
เขาเป็นคนเคร่งขรึมจริงจังถึงเพียงนี้ ไม่มีทางอ่านพวกหนังสือหยาบโลนเป็นอันขาด จะให้ภรรยาเขาเข้าใจผิดมิได้
เฉียวเจาเดินเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมรวยริน ใช้นิ้วเคาะหนังสือเบาๆ
“มีอะไรหรือ” เซ่าหมิงยวนเขม็งเกลียวไปทั้งตัวมากขึ้น
“ถือกลับหัวแล้ว”
“เอ๊ะ?” ชายหนุ่มก้มหน้าลงเห็นว่าหนังสือกลับหัวอยู่จริงๆ ใบหูเขาแดงเรื่อทันที
แย่ล่ะสิ เจาเจาต้องคิดว่าข้าทนรอไม่ไหวแล้วเป็นแน่
แม้ว่าข้าจะทนรอไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็ตาม…
พอเห็นเซ่าหมิงยวนกำหนังสือในมือแน่นขึ้นทุกที ใบหน้าหล่อเหลาฉายความรู้สึกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด เฉียวเจาก็หัวร่อเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่
ตอนแรกนางประหม่าอยู่มาก แต่พอเห็นคนบางคนประหม่ามากกว่า จู่ๆ นางก็ไม่ประหม่าแล้ว
เสียงหัวเราะแผ่วเบาของสตรีอ่อนเยาว์ละม้ายก้อนน้ำผึ้งถูกดึงเป็นเส้นบางเท่าเส้นไหมพันรัดตรงกลางใจ ปลุกปั่นให้คนนั่งนอนไม่เป็นสุข
เซ่าหมิงยวนโยนหนังสือไปบนโต๊ะ โอบเอวนางแล้วอุ้มขึ้นจากพื้น
เฉียวเจาหยุดหัวเราะ มองบุรุษเหนือศีรษะโดยไม่กะพริบตา
“นอนเถอะ” สุ้มเสียงของชายหนุ่มติดจะแหบพร่า แต่ดวงตากลับพราวระยับดุจหมู่ดวงดาวส่องแสงอยู่ในนั้น
เฉียวเจาหลุบเปลือกตาลงพลางพยักหน้าน้อยๆ
เซ่าหมิงยวนตาเป็นประกายมากขึ้น วางตัวคนในอ้อมแขนลงบนเตียงเบาๆ สลัดรองเท้าทิ้งแล้วเอนกายลงนอนข้างกายนาง
ศีรษะของเขากับนางเอียงชิดกัน สายตาสองคู่มองสบกัน ต่างสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกันอย่างชัดเจน
“วันนี้เจ้าใช้ขี้ผึ้งหอมกลิ่นมะลิใช่หรือไม่” หลังสบตากันนานครู่หนึ่งเซ่าหมิงยวนหาหัวข้อสนทนาส่งเดช “หอมเหลือเกิน”
“เป็นน้ำปรุงกลิ่นกุหลาบ” เฉียวเจากระดกคิ้วอย่างอดกลั้น
คนโง่ผู้นี้ ไม่รู้จักชวนคุยเรื่องที่ตนถนัดหรือไร
“น้ำปรุงกลิ่นกุหลาบจริงๆ หรือ” เซ่าหมิงยวนกะพริบตาปริบๆ
นางปรายตามองเขาปราดหนึ่ง “ท่านมอบน้ำปรุงสองสามหีบนั่นให้ข้าเองมิใช่รึ”
“ข้าดมดูสักหน่อย” เซ่าหมิงยวนพลิกตัวขึ้นคร่อมเหนือร่างนาง เอามือยันข้างหมอนปักลายยวนยางเล่นน้ำ ดวงตาจับจ้องนางอย่างจดจ่อ
ภายใต้สายตาที่อ่อนโยนดุจสายน้ำคู่นั้น เฉียวเจารู้สึกว่าร่างกายอ่อนระทวยราวกับขี้ผึ้งถูกไฟลน นางหลบตาเขา ลำคอขาวเกลี้ยงและสองแก้มซับสีแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัว
เซ่าหมิงยวนสะบัดมือทีเดียวเปลวเทียนก็ดับวูบในพริบตา มีเพียงแสงวับแวมจากโคมราตรีดวงเล็กๆ ส่องสะท้อนเงาของร่างสองร่างที่กอดก่ายกันไว้บนม่านหน้าเตียงหนาหนัก
เตียงหลังใหญ่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแผ่วเบาพร้อมกับม่านผ้าโปร่งปลิวไหวน้อยๆ เคล้าคลอเสียงที่ชวนให้หน้าแดงใจสั่นดังลอดออกมา จนดวงจันทร์กระจ่างกลางฟ้ายังหลบเร้นเข้าไปหลังผืนเมฆด้วยความเอียงอาย ส่งผลให้ภายในห้องเหลือเพียงแสงสลัวๆ เลือนรางยิ่งขึ้น
ผ่านไปนานเท่าใดก็สุดรู้เซ่าหมิงยวนผุดลุกขึ้นนั่งกะทันหัน