หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 762
บทที่ 762
สามีภรรยาวัยหนุ่มสาวแรกสัมผัสความหรรษาจากรสเสน่หาจะปล่อยตัวปล่อยใจไปบ้างก็ช่วยไม่ได้ ทั้งคู่ใกล้ชิดคลอเคลียกันทุกเช้าค่ำ วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ในจวนกวนจวินโหวยังอบอวลด้วยบรรยากาศหวานชื่น แต่ภายนอกกลับเกิดคลื่นลมขึ้นอีกคราหนึ่ง
อนุสามคนของรุ่ยอ๋องให้กำเนิดบุตรต่อๆ กัน ในวังรุ่ยอ๋องจึงมีพระราชนัดดาน้อยสี่พระองค์
ได้บุตรชายติดกันสองคนทำให้รุ่ยอ๋องยินดีเจียนคลั่งเลยทีเดียว พอข่าวดีแพร่ไปถึงหูฮ่องเต้หมิงคัง พระองค์ดีพระทัยมากเช่นกัน ของพระราชทานก็หลั่งไหลมาที่วังรุ่ยอ๋องไม่ขาดสาย
กระนั้นมีคนเป็นสุขย่อมมีคนเป็นทุกข์ บ่าวไพร่ในวังมู่อ๋องไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง ส่วนมู่อ๋องทำหน้าบึ้งตึงจนใครๆ เข้าหน้าไม่ติดแล้ว
“ท่านอ๋องอย่าเพิ่งร้อนพระทัย ก่อนหน้านี้พวกเราวางแผนไว้แล้วมิใช่หรือ รุ่ยอ๋องจะมีโอรสหรือไม่ก็ไม่ส่งผลกระทบมากเท่าไร” ที่ปรึกษาพูดกล่อม
สีหน้าของมู่อ๋องทอแววเหี้ยมเกรียม “ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่คิดถึงท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของเจ้าห้าตอนนี้ ข้าก็หงุดหงิดใจยิ่งนัก”
หากเจ้าห้าไม่มีโอรสไปเรื่อยๆ สำหรับเขาบัลลังก์ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว ทว่าตอนนี้กลับต้องวุ่นวายกับการวางแผนเตรียมการจะไม่ให้เขาขุ่นเคืองใจได้เช่นไร
“ที่สำคัญกว่าคือเสด็จพ่อเอนเอียงไปทางเจ้าห้าอย่างเห็นได้ชัด ไม่เห็นหรือว่ามีคนหันไปเข้ากับฝ่ายเจ้าห้าไม่น้อย พวกเราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
“ท่านอ๋อง ยิ่งตั้งเป้าหมายใหญ่ก็ยิ่งใจร้อนไม่ได้ ทรงควบคุมอารมณ์ไว้ ต้องมีโอกาสสักวันแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
โอกาสที่มู่อ๋องรอคอยอยู่มาถึงอย่างรวดเร็ว
ฤดูใบไม้ผลิรัชศกหมิงคังปีที่ยี่สิบเจ็ดเกิดอุทกภัยขึ้นในหลายๆ อำเภอที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง หมู่บ้านหลายสิบแห่งถูกน้ำท่วม มีคนเจ็บคนตายเหลือคณานับ
ฮ่องเต้หมิงคังซึ่งอดใจไม่ไหวเก็บตัวจำศีลอยู่นานสามวัน พอเขาออกมาก็ต้องตะลึงงันไปกับข่าวนี้
เขาจำศีลเพียงสามวัน เพราะอะไรถึงเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกแล้ว ตกลงจะให้เขาบำเพ็ญตบะอย่างสบายใจบ้างไม่ได้เลยหรือ
จากนั้นก็มีข่าวด่วนจากชายแดนตามมาติดๆ เป่ยฉีกับซีเจียงสมคบกันปล้นสะดมหมู่บ้านตามเขตชายแดนหลายแห่ง อีกทั้งไม่มีทีท่าว่าจะรามือ
ฮ่องเต้หมิงคังรีบออกพระราชโองการให้เซ่าหมิงยวนยกทัพออกศึกอีกคราครั้งหนึ่ง ทั้งยังเรียกตัวขุนนางคนสำคัญในราชสำนักมาที่ห้องทรงพระอักษรด่าทอสาดเสียเทเสียยกหนึ่ง จากนั้นให้พวกเขาเตรียมการเรื่องบรรเทาอุทกภัย
หลังจากมอบหมายงานต่างๆ เสร็จฮ่องเต้หมิงคังก็เริ่มตรึกตรอง
ตั้งแต่ปีกลายจนถึงปีนี้พอจำศีลเป็นต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นทุกที ยกเว้นครั้งที่ท่านราชครูคำนวณฤกษ์ดีให้ นี่เป็นเพราะล่วงเกินเทพเซียนองค์ใดใช่หรือไม่
ไม่ได้ ต้องไปขอพรที่เขาหลิงไถ!
เมื่อฮ่องเต้หมิงคังบอกความคิดนี้ออกมา เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่พากันคัดค้านเป็นเสียงเดียวกันทันควัน
“ฝ่าบาท ทรงทำเช่นนี้มิได้เด็ดขาด ขณะนี้เกิดน้ำท่วมทุกหนแห่ง หลังน้ำลดมีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่จะเกิดโรคระบาด พระองค์ทรงมีฐานะสูงศักดิ์เทียมฟ้าจะไปเสี่ยงอันตรายไม่ได้เป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังขมวดคิ้ว “เราคือโอรสมังกรสวรรค์ลงมาจุติ ย่อมมีรัศมีมังกรคุ้มกายจะเป็นอันตรายได้อย่างไร”
ขุนนางทั้งหลายต่างคิดในใจ มีฮ่องเต้เช่นนี้ พวกเราจะทำประการใดได้ พวกเราก็สิ้นหวังมากนะ
ยังคงเป็นซูเหอเสนาบดีกรมพิธีการที่กล่าวขึ้น “ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะเสด็จไปเขาหลิงไถขอพรให้ราษฎรเป็นเรื่องมงคลครั้งใหญ่หลวง แต่จะออกเดินทางเมื่อไร ในขั้นตอนพิธีขอพรมีข้อพึงระวังใดบ้างล้วนต้องพิถีพิถันถี่ถ้วน ไฉนฝ่าบาทไม่ทรงหารือกับท่านราชครูสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาแฝงรอยเหยียดหยามหลายคู่จับอยู่ที่ตัวซูเหอ แต่ฮ่องเต้หมิงคังกลับพยักหน้าอย่างพึงใจ “ข้อเสนอนี้ของเสนาบดีซูไม่เลวเลย เราควรหารือกับท่านราชครูสักหน่อย”
ในด้านนี้ฮ่องเต้หมิงคังมีความชำนาญฉับไวมากพอดู เขาไล่พวกขุนนางคนสำคัญออกไปแล้วเชิญราชครูจางมาทันที
“ท่านราชครูเห็นว่าเราไปขอพรที่เขาหลิงไถเมื่อไรจึงจะเหมาะสม”
ราชครูจางนับนิ้วคำนวณก่อนตอบอย่างเคร่งเครียดจริงจัง “ยามนี้พลังชั่วร้ายก่อเกิดทั้งสี่ทิศ พึงขอพรปัดเป่าเภทภัย แต่ว่า…”
คำว่า ‘แต่ว่า’ ทำให้ฮ่องเต้หมิงคังขมวดคิ้วแล้ว
ท่านราชครูก็จะห้ามเราด้วยหรืออย่างไร
“แต่ว่าพลังชั่วร้ายที่เกิดขึ้นรายล้อมเมืองหลวงครานี้ต้องให้โอรสสวรรค์ประทับอยู่เป็นหลักถึงจะสยบเอาไว้ได้ ทางที่ดีฝ่าบาทอย่าเสด็จออกจากเมืองหลวงจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ร่างกายของฮ่องเต้จะทนการเดินทางไกลสมบุกสมบันไปถึงเขาหลิงไถได้ไหวที่ใดกัน ถ้าเกิดมีอันเป็นไปขึ้นมาตำแหน่งราชครูของเขาก็ถึงคราวสิ้นสุดแล้ว
“แล้วเรื่องขอพรจะทำฉันใดดี” ฮ่องเต้หมิงคังพลันรู้สึกว่าราชครูจางกล่าวได้มีเหตุผลมาก เมืองหลวงในเวลานี้ขาดเขาไม่ได้จริงๆ
“ฝ่าบาททรงสามารถคัดเลือกองค์ชายพระองค์หนึ่งกระทำการแทนพระองค์ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังตาเป็นประกาย เขากล่าวชมว่า “ท่านราชครูช่วยคลี่คลายความกังวลให้เราได้จริงๆ นี่เป็นวิธีที่เป็นผลดีต่อทุกฝ่ายโดยแท้”
ราชครูจางยิ้มตาพริ้มไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด เอาเป็นว่าฮ่องเต้อย่าสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายเท่านั้นเป็นพอ
“แล้วจะเลือกองค์ชายพระองค์ใดไปดีเล่า” ฮ่องเต้หมิงคังไต่ถามความเห็นของราชครูจางต่อ
ราชครูย่อมจะตอบคำถามนี้ได้ไม่ถนัดเป็นธรรมดา เขาพูดจาส่งเดชสองสามคำแล้วโยนกลองกลับไป
ฮ่องเต้หมิงคังตริตรองทบทวนไปมาแล้วตกลงใจเลือกองค์ชายห้ารุ่ยอ๋อง
พินิจตามอายุ เจ้าห้าเป็นพี่ชาย อีกทั้งตอนนี้มีบุตรชายสองคนกับบุตรสาวสองคน พูดได้ว่าเป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุด จึงสมควรสร้างโอกาสให้เจ้าห้าได้เคี่ยวกรำตนเอง
เมื่อมีคุณความชอบจากการขอพร ภายภาคหน้าจะเป็นที่ยอมรับของผู้คนได้ง่าย
แน่นอนว่านี่เป็นการเตรียมเผื่อไว้เท่านั้น เขายังตั้งใจเป็นฮ่องเต้ไปอีกนานแสนนาน
ครั้นขุนนางใหญ่ทั้งหลายรู้ว่าฮ่องเต้ล้มเลิกความคิดไปขอพรที่เขาหลิงไถแล้วก็อดโล่งอกไม่ได้ แต่พอได้ยินว่าให้รุ่ยอ๋องไปแทนก็พากันขบคิดไปต่างๆ นานา พวกขุนนางที่วางตัวเป็นกลางแต่เดิมเริ่มใคร่ครวญใหม่ ส่วนคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับมู่อ๋องก็เริ่มหวาดหวั่นขวัญผวาไปตามๆ กัน
ด้านรุ่ยอ๋องได้รับพระราชโองการแล้วตกอยู่ในความงงงัน
เสด็จพ่อให้เขาเป็นผู้แทนพระองค์ไปขอพรที่เขาหลิงไถ นี่บ่งบอกว่าเสด็จพ่อมีใจเอนเอียงที่จะมอบตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ให้แก่เขาใช่หรือไม่
ที่ปรึกษาเอ่ยเตือนขึ้นทันที “ท่านอ๋อง แม้ว่าการได้เป็นผู้แทนพระองค์เสด็จไปขอพรจะแสดงถึงความไว้วางพระทัยที่องค์ฮ่องเต้ทรงมีต่อพระองค์ ทว่าถึงอย่างไรก็ต้องเดินทางไกล เกรงว่าระหว่างทางจะเต็มไปด้วยอันตราย พระองค์ทรงต้องเตรียมการให้พร้อมมูล ระวังพระองค์อย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าย่อมต้องรู้แน่” รุ่ยอ๋องคิดคำนึงว่าใกล้จะออกเดินทางไกลแล้ว เขาแวะไปดูลูกน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นานสามคนก่อนแล้วค่อยไปที่เรือนของหลีเจี่ยว
บุตรสาวของนางย่างสามเดือนเต็ม มีชื่อเรียกแรกเกิดว่า ‘อวี้เอ๋อร์’
รุ่ยอ๋องรับตัวอวี้เอ๋อร์มาจูบเบาๆ พลางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “อวี้เอ๋อร์ยิ่งโตยิ่งงามชวนมองเหมือนเจ้า”
ใบหน้าของหลีเจี่ยวประดับด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจคับข้องสุดประมาณ
จะโฉมงามชวนมองกว่านี้จะมีอันใด ถึงที่สุดแล้วก็ได้เป็นท่านหญิงเท่านั้น
คราแรกนางคิดว่าบางทีอนุสามคนนั้นจะให้กำเนิดบุตรสาวเหมือนกัน เช่นนั้นอวี้เอ๋อร์ของนางซึ่งอยู่ในฐานะบุตรสาวคนโตก็จะยังคงสูงศักดิ์มีเกียรติกว่าทุกคน คิดไม่ถึงว่าในบรรดาอนุสามคนกลับมีถึงสองคนที่คลอดบุตรชายออกมา ทำให้นางกระอักแทบตายเลยทีเดียว
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น อย่างวันนี้ท่านอ๋องก็ไปดูเจ้าลูกสุนัขสามตัวนั้นก่อนถึงจะมาหาอวี้เอ๋อร์
“ข้ากำลังจะออกเดินทางแล้ว เกรงว่าต้องอีกพักหนึ่งถึงกลับมาได้ เจี่ยวเหนียงดูแลอวี้เอ๋อร์ให้ดีๆ” รุ่ยอ๋องอุ้มบุตรสาวไว้ครู่หนึ่งถึงส่งตัวให้แม่นม
“ท่านอ๋องวางพระทัยได้เพคะ หม่อมฉันจะดูแลอวี้เอ๋อร์เป็นอย่างดีแน่นอน” หลีเจี่ยวสะกดความรู้สึกไม่ยอมจำนนไว้เต็มอกพร้อมคลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน
นางยังอายุน้อย ตราบเท่าที่สุขภาพของท่านอ๋องเป็นปกติก็ต้องมีบุตรชายสักวัน
รุ่ยอ๋องพยักหน้าหงึกหงักแล้วออกไปอย่างพึงพอใจ
ฝ่ายมู่อ๋องหาได้แช่มชื่นยินดีเฉกเช่นรุ่ยอ๋องไม่ เขาขว้างถ้วยน้ำชาแตกไปหลายใบ จากนั้นเรียกตัวที่ปรึกษามาพูดคุยหารือกันลับๆ เป็นนานถึงสงบอารมณ์ลงได้
อีกด้านหนึ่ง ณ จวนของหลันซาน หลันซงเฉวียนก้าวเข้าไปในห้องหนังสือของบิดา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอำมหิตว่า “ท่านพ่อ โอกาสของพวกเรามาถึงแล้ว รุ่ยอ๋องไปเขาหลิงไถคราวนี้จะปล่อยให้เขามีชีวิตรอดกลับมาไม่ได้เด็ดขาด”
หลันซานเหลือบเปลือกตาขึ้น “เรื่องนี้มู่อ๋องคงร้อนใจกว่าพวกเรา”
หลันซงเฉวียนแค่นหัวเราะ “ร้อนใจจะมีประโยชน์อันใด มิใช่ข้าดูแคลนเขา ถ้าเศษสวะอย่างมู่อ๋องพรรค์นั้นทำได้สำเร็จก็ไม่ต้องรอถึงวันนี้แล้วขอรับ”
“เจ้าน่ะอารมณ์ร้อนเกินไปแล้ว
“เรื่องนี้มอบให้เป็นหน้าที่ข้าก็แล้วกันขอรับ” หลันซงเฉวียนลุกขึ้นเดินออกไป