หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 766
บทที่ 766
วันนี้หวังซื่อฮูหยินเสนาบดีศาลยุติธรรมชักชวนฮูหยินหลายท่านมาดื่มน้ำชาที่จวนพอดี เหล่าฮูหยินสนทนาถึงข่าวซุบซิบที่ลือกระฉ่อนที่สุดในเมืองหลวงช่วงนี้กันอยู่
ในยามนี้เองสาวใช้วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนและกระซิบบอกที่ข้างหูหวังซื่อ “ฮูหยิน ไม่ได้การแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
หวังฮูหยินขึงตาใส่สาวใช้ พวกไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่ดูเสียบ้างว่าตรงนี้เป็นสถานที่อะไร กลับวิ่งเข้ามาพูดจาส่งเดชเฉกกระต่ายตื่นตูม เสียทีที่ปกตินางไว้วางใจ
สาวใช้ไม่นำพาสายตาตำหนิของผู้เป็นนาย ลดสุ้มเสียงลงกล่าวว่า “ฮูหยิน คุณชายเล็กถูกคนจับได้ว่ามีชู้แล้วเป็นลมไป ถูกส่งตัวมาที่จวนเราแล้วเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ!” หวังฮูหยินลุกพรวดขึ้นยืน ครั้นมองสบสายตาประหลาดใจของฮูหยินทั้งหลายก็ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “ข้ามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการก่อน พวกท่านนั่งกันตามสบาย”
พอเห็นหวังฮูหยินผลุนผลันออกไป พวกฮูหยินสบตากันแวบหนึ่งแล้วต่างส่งสายตาบอกบ่าวไพร่คนสนิทของตน พวกนางก็แอบออกไปสืบข่าวอย่างว่องไว
ไม่นานนักสาวใช้หลายคนที่ออกไปทยอยกันกลับมา แต่ละคนมีสีหน้าชอบกล
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ฮูหยินท่านหนึ่งออกปากถาม
พวกสาวใช้พากันหน้าแดงไม่กล่าววาจา จนมีคนหนึ่งกระแอมให้คอโล่งก่อนกล่าวตอบ “เรียนฮูหยิน ด้านนอกกำลังวุ่นวายมีคนมากันมากมาย บอกว่าคุณชายเล็กของสกุลจางลอบพบกับชู้รัก เมื่อถูกคนจับได้เลยตกใจจนหมดสติ โดนพากลับมาส่งทั้งที่ยังเปลือยกายอยู่ด้วยเจ้าค่ะ”
“เอ๊ะ! มีเรื่องพรรค์นี้ด้วยหรือ” ดวงตาของฮูหยินทั้งหลายเปล่งประกายด้วยความสอดรู้สอดเห็นทันใด หากแต่สีหน้ากลับแสดงความห่วงใย
“คุณชายเล็กของสกุลจางไม่เป็นอะไรกระมัง แล้วสตรีที่ลักลอบเป็นชู้กับเขาคือใครหรือ”
ในบรรดานี้มีฮูหยินท่านหนึ่งเป็นพี่สะใภ้จากสกุลเดิมของหวังซื่อพอดี นางฟังถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอายขายหน้าไปกับน้องสาวสามีด้วย แต่ในเวลาเดียวกันก็อดเห็นว่าเป็นโชคดีไม่ได้
เมื่อครั้งที่บุตรสาวคนเล็กของนางถึงวัยต้องพูดคุยทาบทามเรื่องแต่งงาน ท่านแม่สามีเคยมีความคิดจะให้บุตรสาวของนางออกเรือนมาที่ตระกูลของน้องสาวสามี บัดนี้คิดไปแล้วช่างโชคดีจริงๆ
หากท่านแม่สามีรู้ข่าวนี้เข้าน่าจะขอบคุณนางที่ไม่เห็นด้วยในตอนนั้น
พอนึกถึงเรื่องนี้นางกลับไม่มีความคิดจะห้ามมิให้ฮูหยินเหล่านี้รอชมเรื่องสนุกแต่อย่างใด
บุตรสาวที่ออกเรือนแล้วเปรียบดั่งน้ำที่สาดออกไป น้องสาวสามีไม่อบรมเลี้ยงดูบุตรชายให้ดีจะโยนความผิดให้สกุลหวังไม่ได้
“ว่าอย่างไร ยังไม่รู้ความเป็นมาของหญิงชู้หรือ” ฮูหยินที่ไต่ถามมีท่าทางเสียดายอยู่สักหน่อย
สาวใช้ทำสีหน้าปั้นยากในพริบตา “คนที่คบชู้กับคุณชายเล็กของสกุลจางไม่ใช่สตรี แต่เป็น…บุรุษผู้หนึ่ง” นางพูดถึงตรงนี้แล้วตวัดสายตามองฮูหยินสกุลหวังท่านนั้นปราดหนึ่ง
ฮูหยินหลายคนตะลึงงันไปกับข่าวพิสดารนี้โดยพลัน พวกนางอ้าปากหุบปากซ้ำๆ ถึงมีคนหาเสียงของตนเจอแล้วเอ่ยถามขึ้น “บุรุษผู้นั้นเป็นใครกัน”
สาวใช้สองจิตสองใจเล็กน้อยถึงพูดตอบ “เป็น…เป็นบุตรชายของฮูหยินรองหัวหน้ากอง…”
ใบหน้าของฮูหยินสกุลหวังนิ่งขึงไป สามีของนางเป็นรองหัวหน้ากองพระราชพิธี
สาวใช้ผู้นี้มองนางแล้วพูดเช่นนี้หมายความว่าอะไร
จวบจนพวกฮูหยินมองมาเป็นตาเดียวกัน ฮูหยินสกุลหวังถึงเพิ่งคิดตามทันภายหลัง
หรือว่าคนที่ทำเรื่องเหลวไหลกับบุตรชายของน้องสาวสามีคือบุตรชายนาง
ก่อนหน้านี้ฮูหยินทั้งหลายส่งบ่าวไพร่ไปสืบข่าว แต่นางเป็นลูกสะใภ้ในสกุลเดิมของหวังซื่อจะทำตามคนอื่นก็ไม่เป็นการดี ตอนนี้กลายเป็นถูกปิดหูปิดตาไว้
“เป็นไปไม่ได้!” ฮูหยินสกุลหวังลุกพรวดขึ้นออกไปถามไถ่น้องสาวสามีให้รู้เรื่อง ไม่แยแสว่าจะขายหน้าหรือไม่อีกต่อไป
ฮูหยินที่เหลืออยู่มองหน้ากันไปมา จากนั้นไล่ตามไปกันหมด
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” หวังซื่อฮูหยินของเสนาบดีศาลยุติธรรมเห็นบุตรชายหมดสติอยู่ ส่วนหลานชายในสกุลเดิมก็คลุมเสื้อของใครก็ไม่รู้ไว้บนตัวอย่างลวกๆ นางรู้สึกหน้ามืดเป็นระลอกพลางดึงตัวหลานชายมาตะคอกถาม
“ท่านอาหญิง ให้ข้าสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
“เจิ้นเอ๋อร์ เจ้าอยู่กับญาติผู้น้องได้อย่างไร” ฮูหยินสกุลหวังรุดมาถึงก็เอ่ยถามทันที
หวังซื่อหันหน้าไปเห็นฮูหยินหลายคนที่ตามออกมาแล้วอยากจะหมดสติไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
วันนี้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา เกียรติยศหน้าตาล้วนเสื่อมเสียหมดสิ้นไม่เหลือหลอแล้วจริงๆ
“ฮูหยินทั้งหลาย วันนี้คงไม่อาจรับรองพวกท่านได้แล้ว” หวังซื่อฝืนทำกระฉับกระเฉงออกไปส่งแขก จากนั้นจับตัวบุตรชายที่ฟื้นสติแล้วกับหลานชายมาด่าว่าอย่างรุนแรง
ฮูหยินสกุลหวังได้ยินน้องสาวสามีพูดว่าบุตรชายตนชักพาให้ญาติผู้น้องเสียคนทั้งทางตรงทางอ้อมแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างขุ่นเคือง “เจ้าพูดอย่างนี้ไม่ถูกนะ เด็กสองคนทำผิดก็อบรมสั่งสอนให้ดีๆ ไฉนโยนความผิดให้เจิ้นเอ๋อร์ทั้งหมดเล่า”
หวังซื่อยิ้มเยาะ “พี่สะใภ้กล่าวคำนี้ได้ไม่ละอายแก่ใจเลย เจิ้นเอ๋อร์ไม่ได้ผิดปกติเช่นนี้มาเพียงวันสองวัน จะให้ร้ายใครก็แล้วแต่ ไยถึงให้ร้ายญาติผู้น้องแท้ๆ ได้เล่า”
ฮูหยินสกุลหวังฟังแล้วยิ่งโกรธเกรี้ยว “นี่เจ้าพูดอะไรของเจ้า เจิ้นเอ๋อร์ตบแต่งภรรยามีบุตรได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เขาแค่ออกนอกลู่นอกทางบ้างเป็นบางครั้ง คุณชายของตระกูลใหญ่ๆ ในเมืองหลวงพวกนั้นล้วนเคยทำตัวเหลวไหลกันไม่น้อยตอนยังไม่รู้ความ แต่ภายหลังก็เป็นฝั่งเป็นฝาก้าวหน้าในหน้าที่การงานอยู่ดีมิใช่หรือ”
เมื่อคิดถึงตรงนี้รอยดูแคลนจุดวาบขึ้นในดวงตานางทันใด
นางยังฉงนใจอยู่ว่าบุตรชายคนเล็กของน้องสาวสามีแต่งงานมาหลายปีแล้วเหตุใดถึงไม่มีข่าวดีเสียที ที่แท้ไม่เห็นตนเองเป็นบุรุษนั่นเอง
“พี่สะใภ้อย่าพูดเช่นนี้เลย ถ้าเรื่องยังไม่เปิดเผยออกไปจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ แต่ตอนนี้เรื่องฉาวโฉ่ของพวกเขาสองคนรู้กันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ท่านเห็นว่าจะทำอย่างไรกันดีเถอะ”
ขณะที่คุยกันอยู่ผู้ดูแลผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน ยื่นสารฉบับหนึ่งให้หวังซื่อ “ฮูหยิน มีคนนำสิ่งนี้มามอบให้ท่านขอรับ”
หวังซื่อรับสารไว้ด้วยสีหน้าเฉยชาแล้วหยิบออกมาอ่าน เห็นบนแผ่นสารมีอักษรตัวใหญ่เขียนไว้สั้นๆ ว่า
‘ไม่สนองคืนย่อมเป็นการเสียมารยาท’
“นี่หมายความว่าอะไร” ฮูหยินสกุลหวังยื่นหน้ามาอ่านแล้วถามอย่างงุนงง
หวังซื่อราวกับโดนฟ้าผ่า นางกล่าวเสียงหลง “บุตรชายข้าโดนปรักปรำ เขาโดนปรักปรำ!”
“ใครปรักปรำหรือ”
“ฮูหยินของกวนจวินโหว”
“เหตุใดเจ้าบอกว่าเป็นฮูหยินของกวนจวินโหวเล่า”
หวังซื่อได้สติฉับพลัน นางรู้ตัวว่าพลั้งปากไปแล้วก็ทำท่าอึกๆ อักๆ พูดไม่ออก
ภายในเวลาสั้นๆ เรื่องฉาวโฉ่ของจวนเสนาบดีศาลยุติธรรมกับจวนรองหัวหน้ากองพระราชพิธีก็เล่าลือกันอื้ออึงจนกลบข่าวซุบซิบของจวนกวนจวินโหวไปแล้ว
ถึงอย่างไรข่าวลือที่ว่าฮูหยินของกวนจวินโหวกับคุณชายเฉียวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันนั้นก็ยังไม่มีพยานหลักฐานจริงๆ ไหนเลยจะสร้างความฮือฮาเทียบได้กับบุรุษสองคนเปลือยกายอยู่ในห้องแล้วถูกคนโขยงหนึ่งจับได้คาหนังคาเขา มิหนำซ้ำทั้งสองคนยังเป็นคุณชายของตระกูลสูงศักดิ์และเป็นญาติผู้พี่ผู้น้องกันด้วย
ชั่วขณะเดียวคนในจวนเสนาบดีศาลยุติธรรมตั้งแต่เจ้านายไปจนถึงบ่าวไพร่ล้วนไม่มีหน้าออกไปที่ใด
ทว่าเรื่องยังไม่จบลงเท่านี้ ไม่นานนักสกุลเดิมของลูกสะใภ้คนเล็กก็บุกมาเยือนถึงที่
“ไม่ว่าอย่างไรวันนี้จวนของท่านก็ต้องให้คำอธิบายกับพวกข้าสักอย่าง ข้าเลี้ยงดูบุตรสาวจนเติบใหญ่ดุจดั่งแก้วตาดวงใจ นางออกเรือนมาที่ตระกูลพวกท่านสามสี่ปี แต่เพราะไม่มีบุตรเสียทีจึงต้องทนฟังวาจาเหน็บแนมถากถางของพวกท่านมามากเท่าไรก็สุดรู้ ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าบุตรชายท่านต่างหากที่ไม่เต็มใจเป็นบุรุษ ถ่วงรั้งบุตรสาวข้าต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ตั้งหลายปี”
เดิมทีเพราะบุตรสาวไม่มีบุตรเรื่อยมา นางในฐานะแม่ยายมักต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้หวังซื่อเสมอ ด้วยเหตุนี้นางจึงอยากกระโจนเข้าไปกัดอีกฝ่ายให้เนื้อหลุดใจจะขาด
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าบุตรสาวของนางต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใดเพราะไม่มีบุตร ที่แท้ความจริงเป็นเช่นนี้นี่เอง!
ถึงใช้ดาบสังหารเจ้าลูกเต่าบัดซบผู้นั้นจริงๆ ก็ยังไม่หายแค้น!
สองตระกูลทะเลาะเบาะแว้งกันนานหลายวัน สุดท้ายปิดฉากลงที่สองฝ่ายตกลงหย่าร้างกัน
ต่อมาไม่นานพวกผู้ตรวจการต่างถวายฎีการ้องเรียนเสนาบดีศาลยุติธรรมว่าตระกูลเขาประพฤติตนผิดทำนองคลองธรรม ไม่กวดขันบุตรหลาน ฮ่องเต้หมิงคังซึ่งกำลังหงุดหงิดใจอยู่จึงสั่งพักราชการให้เขาปิดประตูจวนทบทวนความผิด
เสนาบดีศาลยุติธรรมอยู่ในราชสำนักมาครึ่งค่อนชีวิต ถูกสั่งพักราชการทบทวนความผิดโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้เขาย่อมเดือดดาลเจียนคลั่ง ครั้นซักไซ้ไล่เลียงจนรู้ตัวการก่อเหตุ เขาตบหน้าหวังซื่อจนล้มคว่ำกับพื้นแล้วเขียนหนังสือหย่าโดยไม่รอช้า