หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 770
บทที่ 770
คำกล่าวของโอวหยางเวยอวี่ไม่ต่างกับหินก้อนหนึ่งที่ก่อแรงกระเพื่อมเป็นพันๆ วงเหนือผิวน้ำ กระตุ้นให้ผู้คนบังเกิดความสนใจใคร่รู้เป็นอันมาก
หลันซงเฉวียนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขามองเด็กสาวด้วยแววตาหลากใจปราดหนึ่ง
หลักฐาน? นอกจากจำหน้าข้าได้ นางจะมีหลักฐานอะไรได้
ทว่าแค่จำหน้าเขาได้ ไม่อาจใช้เป็นหลักฐานได้
“คุณหนูโอวหยางมีหลักฐานใดกัน” หยางอวิ้นจือตั้งสติได้แล้วเอ่ยถามขึ้น
โอวหยางเวยอวี่จ้องหน้าหลันซงเฉวียนพร้อมยิ้มเยาะ “หนึ่งชุ่นใต้ราวนมซ้ายของเขามีไฝสีดำสามเม็ด เรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยม”
ดวงตาของหลันซงเฉวียนทอแววเครียด เขามองนางด้วยสายตาแฝงรอยอำมหิต
โอวหยางเวยอวี่ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย นางสบตากับเขาอย่างเย็นชา
ตลอดสามวันหลังจากตื่นขึ้นมาในหอคณิกา สำหรับนางแล้วไม่ต่างอันใดกับนรกบนดิน นางอยากตายหลายครั้งหลายหน ถึงขั้นเตรียมตัวเตรียมใจแล้วว่าพอแม่เล้าบังคับให้รับแขก นางก็จะฆ่าตัวตาย
ทว่าตอนนางถูกคนผลักเข้าไปชำระกายสวมเสื้อคลุมโปร่งสีแดงแล้วได้เห็น ‘ผู้อุดหนุน’ คนแรก นางก็เปลี่ยนความคิดแทบจะในพริบตาเดียว
นางตายไม่ได้เด็ดขาด นางต้องมีชีวิตอยู่ล้างแค้นให้บิดา!
ดูทีว่าหลันซงเฉวียนคงคิดไม่ถึงว่าบุตรสาวตระกูลใหญ่ที่ถูกเลี้ยงดูในเรือนหลังผู้หนึ่งเช่นนางจะจดจำเขาได้
เหตุใดถึงจดจำเขาได้เล่า ตั้งแต่เมื่อครั้งท่านพ่อถูกจับเข้าคุกหลวงที่เมืองหลวง นางก็จับตาดูชาวสกุลหลันอยู่ลับๆ หากมิใช่คุณหนูหลีซานยื่นมือเข้ามา เกรงว่านางคงจบชีวิตพร้อมกับหลันซีหนงบุตรสาวคนโปรดของหลันซงเฉวียนไปนานแล้ว
เพราะจดจำได้ว่าหลันซงเฉวียนคือใครนี่เอง ต่อให้การมีชีวิตอยู่ต้องทุกข์ทรมานกว่าตายเป็นร้อยเท่า นางก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเสาะหาทุกๆ โอกาสเพื่อทวงความยุติธรรมให้บิดาและครอบครัวของนาง
เดชะบุญที่ตอนนางจวนเจียนสิ้นหวังก็ได้พบกับคนที่ช่วยนางขึ้นจากทะเลเพลิงในที่สุด
โอวหยางเวยอวี่เบนสายตาไปมองฉือชั่นโดยไม่รู้ตัว
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะต้องการโค่นล้มหลันซานกับบุตรชายหรือเพื่ออะไรก็ตาม นางจะซาบซึ้งใจต่อบุรุษผู้นี้ไปชั่วชีวิต
“รองเสนาบดีหลัน…”
หลันซงเฉวียนจ้องหน้าหยางอวิ้นจืออย่างปึ่งชา “ใต้เท้าหยางจะให้ข้าถอดเสื้อหรือ”
จังหวะนี้เองสุ้มเสียงเอื่อยเฉื่อยของคนผู้หนึ่งดังขึ้น “ให้ท่านถอดเสื้อแล้วมีอะไรหรือ”
โถงศาลตกอยู่ในความเงียบงันทันใด
ผู้กล่าววาจาคือท่านข้าหลวงฉือฉายาจอมจับผิด ผู้ที่ใครเห็นก็ต้องกุมขมับนั่นเอง
“รองเสนาบดีหลัน ขณะนี้ท่านคือผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องสงสัยน่ะเข้าใจหรือไม่” ฉือชั่นที่นั่งฟังอยู่ด้านข้างเงียบๆ มาโดยตลอดลุกขึ้นยืน เขาหันไปมองหยางอวิ้นจือด้วยแววตาเย็นชา “ใต้เท้าหยาง อย่าเพิ่งไต่สวนว่ารองเสนาบดีหลันมีความผิดหรือไม่ ขณะนี้ผู้ร้องทุกข์คุกเข่าอยู่ ส่วนผู้ถูกกล่าวหากลับนั่งอยู่ ข้าจะเข้าใจว่าท่านกำลังใช้ศาลเตี้ยอยู่ได้หรือไม่เล่า”
หยางอวิ้นจืออดจับหนวดไม่ได้ “ใต้เท้าฉือ จะกล่าวเช่นนี้ไม่ได้นะ…”
“หากกล่าวเช่นนี้ไม่ได้ ท่านก็รีบสั่งให้รองเสนาบดีหลันถอดเสื้อสิ”
หยางอวิ้นจือมองไปทางหลันซงเฉวียน
หลันซงเฉวียนบันดาลโทสะ “ใต้เท้าหยาง ท่านฟังแม่เด็กน้อยผู้หนึ่งพูดจาเหลวไหลก็จะสั่งคนเปลื้องอาภรณ์ข้ารึ ถ้าบนหน้าอกข้าไม่มีไฝสามเม็ดนั่นท่านรับผิดชอบเรื่องนี้ได้หรือไม่”
“คือว่า…” หยางอวิ้นจือตอบไม่ออก เขาใกล้จะถึงวัยเกษียณราชการอยู่รอมร่อ เพียงหวังว่าจะได้กลับเรือนใช้ชีวิตเรียบง่ายสุขสบาย ไม่จำเป็นต้องล่วงเกินผู้ทรงอำนาจอย่างหลันซานกับบุตรชายสองคนนี้เลย
“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะแกมดูถูกดังขึ้น ฉือชั่นชายตามองหลันซงเฉวียน “รองเสนาบดีหลัน นี่ท่านข่มขู่ท่านตุลาการต่อหน้าพวกข้าทุกคนอยู่หรือ”
“ใต้เท้าฉือ ท่านอย่าพูดจาส่งเดช” หลันซงเฉวียนอยากพุ่งเข้าไปตะกุยใบหน้าหล่อเหลานั่นให้เสียโฉมใจจะขาด
“ข้าพูดจาส่งเดชเช่นไรรึ พวกข้าต่างได้ยินที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเลยนะ”
“ถ้าหน้าอกข้าไม่มีไฝ จะมิใช่ถูกพวกท่านหมิ่นหยามโดยไร้เหตุผลหรอกหรือ” หลันซงเฉวียนข่มไฟโทสะเอ่ยถาม
ฉือชั่นเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ “นี่จะเป็นการหมิ่นหยามได้อย่างไร รองเสนาบดีหลัน โปรดสำเหนียกด้วยว่าตอนนี้ท่านอยู่ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา เมื่อผู้ร้องทุกข์เสนอหลักฐานออกมา หากท่านไม่ยอมให้ถอดเสื้อ ข้าจะถือว่าท่านยอมรับโดยปริยาย แต่ถ้าถอดเสื้อแล้วไม่มีไฝ นั่นจะเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของท่านได้พอดีมิใช่หรือ ท่านโยกโย้เช่นนี้หรือว่ามีชนักปักหลัง”
หลันซงเฉวียนโดนฉือชั่นพูดต้อนจนมุมก็ทำสีหน้าบูดบึ้ง
สมควรตายจริงๆ รู้แต่แรกก็ปลิดชีพนางเด็กน้อยตัวดีผู้นี้แบบเดียวกับที่โยนภรรยาของโอวหยางไห่ลงทะเลสาบไปก็สิ้นเรื่อง กลับปล่อยทิ้งไว้ให้มาแว้งกัดข้าอย่างเจ็บแสบในตอนนี้
“ยังยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด รีบถอดเสื้อให้ใต้เท้าหลันสิ! ถ้าพวกเจ้าไม่ทำหรือจะให้ข้าลงมือ” ฉือชั่นตวาดเสียงกร้าว
“รองเสนาบดีหลัน…” หยางอวิ้นจือเรียกขานคำหนึ่งอย่างลำบากใจ
ฉือชั่นแค่นหัวเราะแล้วสะบัดแขนเสื้อจะเดินออกไป
หยางอวิ้นจือรีบลุกขึ้นยืน “ใต้เท้าฉือจะไปที่ใดหรือ”
ฉือชั่นทำท่าประสานมือคำนับเหนือศีรษะ “ไปกราบทูลเสด็จลุงของข้าว่ารองเสนาบดีหยางไม่กล้าไต่สวนผู้ถูกกล่าวหา ทูลขอให้พระองค์เปลี่ยนคนใหม่”
พอเห็นฉือชั่นกล่าวจบแล้วก้าวขาออกเดินไป หยางอวิ้นจือตะคอกเสียงห้วน “มัวยืนทื่อกันอยู่ด้วยเหตุใด ยังไม่เชิญท่านรองเสนาบดีหลันไปตรวจดูที่ด้านใน!”
“ขอรับ” เจ้าหน้าที่หลายคนเดินไปตรงหน้าหลันซงเฉวียน
เขาจ้องหยางอวิ้นจือตาเขม็ง สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายตลบ
หยางอวิ้นจือปาดเหงื่อไม่หยุด “รองเสนาบดีหลัน หวังว่าท่านจะให้ความร่วมมือด้วย”
เขาไม่อยากล่วงเกินหลันซงเฉวียน แต่ไม่กล้าล่วงเกินท่านฉือจอมจับผิดมากกว่า
ล่วงเกินหลันซงเฉวียน วันหน้าอาจจะตายได้อย่างไรก็ยังไม่รู้ ทว่าล่วงเกินท่านฉือจอมจับผิด เขาต้องตายตอนนี้แน่นอน
“เร็วเข้าสิ” หยางอวิ้นจือถลึงตาใส่เจ้าหน้าที่
“ใต้เท้าหลัน…” พวกเจ้าหน้าที่ส่งเสียงเรียกขานอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไม่ต้องแล้ว” หลันซงเฉวียนลุกขึ้นยืน แค่นเสียงพูด “บนหน้าอกข้ามีไฝสามเม็ดจริงๆ”
พอเขากล่าวคำนี้ทุกคนในโถงศาลตะลึงงันไปหมด
หลันซงเฉวียนถึงกับยอมรับเช่นนี้แล้วหรือ
ด้านหลันซงเฉวียนเห็นสีหน้าของทุกคนแล้วก็ไม่ได้รู้สึกเหนือคาดสักนิด หากสีหน้าเขาขุ่นมัวยิ่งขึ้น
ไม่ยอมรับแล้วอย่างไรเล่า ดีชั่วเขาเป็นถึงขุนนางใหญ่ขั้นสาม หรือว่าจะให้เจ้าหน้าที่ทางการกลุ่มหนึ่งถอดเสื้อเขาออกแล้วยื่นหน้ามาดูหน้าอกเขาใกล้ๆ
เช่นนั้นยิ่งขายหน้ามากขึ้น!
ได้ยินหลันซงเฉวียนยอมรับ นัยน์ตาที่มีน้ำตารื้นขึ้นของโอวหยางเวยอวี่เปล่งประกายวูบหนึ่ง นางมองฉือชั่นอย่างตื้นตันใจ
ฝ่ายฉือชั่นไม่ได้มองนาง เขาเพ่งมองหลันซงเฉวียนแล้วมุ่นคิ้ว
เขากลับอยากดูว่าเจ้าคนเบาปัญญาผู้นี้ยังจะพยายามดิ้นให้หลุดอย่างไร
หลังจากหลันซงเฉวียนยอมรับแล้วกลับมีสีหน้าผ่อนคลายลง เขาหัวเราะเบาๆ ชายตามองเด็กสาวแวบหนึ่งก่อนกล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า “คุณหนูโอวหยางเป็นดาวเด่นของหอคณิกา ข้าจึงไปเยือนตามเสียงโจษขานแล้วมีอันใดไม่เหมาะสม หรือนี่ก็หมายถึงว่าข้าเป็นคนปองร้ายท่านผู้ตรวจการโอวหยาง”
โอวหยางเวยอวี่แทบกระอักเลือด ตัวนางโงนเงนไปมา
“ขุนนางเที่ยวหอคณิกาไม่มีอันใดไม่เหมาะสมหรือ รองเสนาบดีหลัน ท่านช่างใหญ่โตเสียจริง กล้าทูลคำนี้ต่อเบื้องหน้าพระพักตร์หรือไม่”
หลันซงเฉวียนใจหายวาบ เมื่อครู่เขาคิดแต่จะปัดข้อกล่าวหาสังหารโอวหยางไห่ กลับลืมไปว่าการเที่ยวหอคณิกาเป็นความผิดที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เช่นกัน แน่นอนว่าคนที่ทำเรื่องนี้มีอยู่ไม่น้อย แค่มิได้เอามาเปิดเผยในที่แจ้งเท่านั้นเอง
“ใต้เท้าฉือนำความขึ้นกราบทูลได้เลย แต่ขณะนี้พวกเราพูดถึงเรื่องของโอวหยางไห่อยู่ เอาเป็นว่าการตายของเขาไม่เกี่ยวข้องกับข้าแม้แต่นิดเดียว”
หลันซงเฉวียนอมยิ้มมองโอวหยางเวยอวี่ “คุณหนูโอวหยาง เจ้าเพียงแสดงหลักฐานว่าข้าเคยเสพสุขกับเจ้า แต่คงไม่มีหลักฐานที่ข้าสังหารบิดาเจ้ากระมัง เช่นนั้นเจ้าอาศัยอะไรมาใส่ร้ายข้าเยี่ยงนี้”
ดวงหน้าของเด็กสาวซีดขาวยิ่งกว่าหิมะ นางขบสันกรามแน่นมองไปทางหยางอวิ้นจือ
เขาลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง
โอวหยางเวยอวี่พลันก้มตัวหมอบกับพื้นก่อนโขกศีรษะทีหนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นยืนกวาดตามองใบหน้าของทุกคนในโถงศาลอย่างช้าๆ นางเหยียดแผ่นหลังตรงแหน็วกล่าวเสียงกระด้าง “บิดาข้าจบชีวิตอย่างอนาถโดยไม่รู้สาเหตุ ต่อมาข้าถูกคนตีศีรษะจนสลบแล้วถูกจับไปที่หอคณิกา หลังจากนั้นไม่นานหลันซงเฉวียนก็มาปรากฏตัวเป็นแขก ‘ผู้อุดหนุน’ คนแรกของข้า หรือว่าใต้เท้าทุกท่านดูสายสนกลในของเรื่องนี้ไม่ออกกันเลย”
นางพูดถึงตรงนี้แล้วเผยรอยยิ้มเศร้าหมอง “ข้าเป็นสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง ไม่อาจหาหลักฐานแน่นหนามาได้ แต่ข้าสามารถใช้ชีวิตข้ารับรองได้ว่าที่ข้าพูดมิใช่ความเท็จเด็ดขาด แล้วก็ไม่ได้ใส่ร้ายเจ้าเดรัจฉานหลันซงเฉวียนผู้นี้ด้วย”
กล่าวจบโอวหยางเวยอวี่มองฉือชั่นนิ่งๆ อึดใจหนึ่งแล้วเอาศีรษะพุ่งเข้าไปชนเสาสุดแรง กะโหลกศีรษะแตกทันที
น่าเวทนาสตรีสูงศักดิ์ในวัยสาวสะพรั่งที่เดิมทีพึงมีชีวิตหรูหราสุขสบายกลับต้องจบชีวิตลงก่อนวัยอันควร