หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 772
บทที่ 772
เพลานี้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนชุมนุมตัวกันอยู่ที่จวนของรองสมุหราชเลขาธิการสวี่อย่างลับๆ พวกเขาต่างตัดสินใจว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจะทำตามอย่างฉือชั่น ถวายฎีกาเล่นงานหลันซงเฉวียนอย่างหนักหน่วง แต่ถูกสวี่หมิงต๋าทัดทานไว้
“ใต้เท้าสวี่ นี่เป็นโอกาสทองที่จะโค่นล้มหลันซงเฉวียนอย่างหาได้ยากในรอบพันปีเชียวนะ”
“นั่นสิ หลันซานชราภาพแล้ว หลายปีมานี้ต้องอาศัยบุตรชายถึงรักษาความโปรดปรานของฮ่องเต้เอาไว้ได้ หากกำจัดหลันซงเฉวียนได้ เมื่อนั้นวันที่หลันซานล่มจมก็ไม่นานเกินรอแล้ว”
“เฉียวโม่ เจ้าเห็นอย่างไร” จู่ๆ สวี่หมิงต๋าก็เอ่ยถามเฉียวโม่ที่รับฟังเงียบๆ อยู่ตลอด
“ข้าเห็นว่าวันพรุ่งนี้ไม่พึงถวายฎีการ้องเรียนหลันซงเฉวียนอย่างท่านข้าหลวงฉือ แต่ควรขอพระเมตตาให้เขาขอรับ”
“กล่าวได้ดี” สายตาที่สวี่หมิงต๋ามองเฉียวโม่ทอแววชื่นชมโดยไม่ปิดบัง
สมเป็นหลานเขยที่เขาถูกตาต้องใจ อายุยังน้อยแต่กลับมีความเข้าใจต่อราชสำนักอย่างลึกซึ้งเช่นนี้ ไม่ละโมบในลาภยศสรรเสริญ ไม่ใฝ่สูงเกินศักดิ์ มีคุณสมบัติที่ควรค่าแก่การบ่มเพาะส่งเสริม วันหน้าจะต้องเป็นกำลังสำคัญไม่น้อยให้กับสกุลสวี่อย่างแน่นอน
สำหรับเสียงเล่าลือที่ว่าเฉียวโม่กับฮูหยินของกวนจวินโหวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันนั้นก็เป็นเพียงความสนุกปากของชาวบ้านที่ไร้สติปัญญา ถ้าคนที่อยู่ในตำแหน่งนี้เช่นเขาเชื่อเรื่องพรรค์นั้นจนสูญเสียหลานเขยดีเลิศอย่างนี้ไปต่างหากถึงเรียกว่าโฉดเขลา
สวี่หมิงต๋ายินดีอยู่ในใจ เขาอธิบายเหตุผลว่าเหตุใดถึงผสมโรงฟ้องร้องหลันซงเฉวียนไม่ได้อย่างมีน้ำอดน้ำทน ทุกคนแจ่มแจ้งในบัดดล พากันกล่าวชมเฉียวโม่
คนที่อยู่ในห้องนี้ล้วนเป็นคนสนิทของรองสมุหราชเลขาธิการสวี่จึงไม่โง่เขลา นี่เขาเห็นเฉียวโม่เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว ดูทีว่าคงได้ดื่มสุรามงคลในเร็ววันนี้
วันต่อมาฮ่องเต้หมิงคังเรียกขุนนางคนสำคัญในราชสำนักมาเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษร เขาฟังฉือชั่นจาระไนความผิดร้ายแรงของสองพ่อลูกสกุลหลันจบก็กวาดตามองเหล่าขุนนางช้าๆ รอให้มีคนผสมโรงทูลฟ้องร้องอีกจะได้สบช่องลงโทษหลันซานกับบุตรชาย คิดไม่ถึงว่าขุนนางใหญ่หลายคนทยอยกันก้าวออกมาขอความเมตตาให้พวกเขา
ฮ่องเต้หมิงคังยิ่งฟังยิ่งมีสีหน้าขุ่นมัว เป็นเสาหลักของแผ่นดินซึ่งจะขาดเสียมิได้อะไรกัน แผ่นดินต้าเหลียงนี้จะขาดเขาผู้เป็นโอรสสวรรค์ไม่ได้ต่างหาก ไม่มีสองพ่อลูกสกุลหลันแล้วบ้านเมืองไม่อาจดำรงอยู่ต่อไปได้หรือไร
หลันซานได้ยินทุกคนขอความเมตตาก็หลั่งเหงื่อดุจสายฝนพลางลอบรำพึงในใจ ไม่เข้าทีเสียแล้ว
ด้านหลันซงเฉวียนกลับลำพองใจอยู่หลายส่วน
พวกเขาสองพ่อลูกต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจทำงานรับใช้ฮ่องเต้มานานหลายปีอย่างนี้ ถึงไม่มีความดีก็พึงมีความชอบบ้าง คนพวกนี้ยังนับว่ามีไหวพริบกันอยู่
“พอได้แล้ว!” ได้ยินสวี่หมิงต๋ายังเอ่ยปากขอความเมตตาให้หลันซานกับบุตรชาย ฮ่องเต้หมิงคังกล่าวเสียงกระด้างอย่างเหลือจะทน “ลากตัวขุนนางกบฏที่ปองร้ายองค์ชาย ฉ้อราษฎร์บังหลวง มัวเมาในตัณหา เข่นฆ่าคนดีซื่อสัตย์สุจริตผู้นี้ออกไปประหารที่นอกประตูอู่เหมิน”
ขุนนางทุกคนได้ยินแล้วงงงันไป
ฮ่องเต้ทำอย่างนี้ออกจะรวบรัดไปสักนิดหรือไม่
หลันซานทรุดฮวบลงกับพื้นกล่าววิงวอนด้วยน้ำตานองหน้า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีผู้สืบสกุลคนนี้คนเดียว โปรดทรงเห็นแก่ที่กระหม่อมเหลือเวลาอยู่อีกไม่นานไว้ชีวิตบุตรชายของกระหม่อมด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดทรงเมตตาด้วย”
ฮ่องเต้หมิงคังเห็นหลันซานโขกศีรษะตุบๆ แล้วสองจิตสองใจเล็กน้อย
สวี่หมิงต๋าส่งสายตาบอก คนอื่นๆ รีบคุกเข่าลงขอความเมตตาให้หลันซงเฉวียนทันที
“ฝ่าบาท โจรผู้นั้นต้องปรักปรำรองเสนาบดีหลันเป็นแน่ หลายปีมานี้รองเสนาบดีหลันใฝ่ใจทำเพื่อบ้านเมืองและราษฎรเสมอมา พวกกระหม่อมเห็นอยู่กับตา ฝ่าบาทโปรดทรงวินิจฉัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“โปรดทรงวินิจฉัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ความสงสารน้อยนิดที่ฮ่องเต้หมิงคังมีต่อหลันซานมลายหายไปในทันที
เพื่อบ้านเมืองและราษฎร? แผ่นดินนี้มิใช่ของคนสกุลหลันสักหน่อย จำเป็นต้องให้พวกเขาทำอะไรเพื่อบ้านเมืองและราษฎรด้วยหรือ
หรือว่าเป็นผู้ดูแลเรือนให้เขานานเกินไป นึกว่าตนเองเป็นประมุขของต้าเหลียงไปแล้วใช่หรือไม่
บัดนี้ดูไปดาวราหูต้องเป็นพ่อลูกสกุลหลันอย่างไร้ข้อกังขาแล้วแน่นอน เขาเป็นถึงโอรสสวรรค์ต้องการศีรษะคนผู้หนึ่งกลับยากเย็นแสนเข็ญนัก เจ้าคนบัดซบพวกนี้ล้วนลืมเลือนหน้าที่ในฐานะขุนนางไปแล้วกระมัง
“เอาตัวออกไป” ฮ่องเต้หมิงคังกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ฝ่าบาทๆ…” หลันซานตะโกนเรียกสุดเสียง
พระทัยของฮ่องเต้หมิงคังหาได้สั่นคลอนไม่ เขามองดูหลันซงเฉวียนถูกลากออกไปอย่างเฉยเมย
หลันซงเฉวียนเพิ่งประจักษ์ได้ในเวลานี้ว่าฮ่องเต้เอาจริง เขาร้องโวยวายขึ้นทันที “ฝ่าบาท ทรงประหารกระหม่อมไม่ได้ๆ ไม่มีพยานหลักฐาน อาศัยอะไรประหารกระหม่อม…”
ฮ่องเต้หมิงคังยิ้มเยาะ เขาจะประหารเสียอย่าง เขาเป็นฮ่องเต้ คำพูดของเขาคือประกาศิต
เมื่อครั้งที่สั่งประหารเจิ้นหย่วนโหวทั้งตระกูลก็อาศัยเพียงสารที่ซู่อ๋องเขียนถึงเจิ้นหย่วนโหวซึ่งหลันซานนำมาถวายฉบับเดียวเท่านั้น ตอนนี้ยังมีโจรเป็นพยานด้วย หรือว่าไม่นับเป็นพยานหลักฐานกัน
เสียงเอะอะโวยวายของหลันซงเฉวียนค่อยๆ เงียบหายไป ฮ่องเต้หมิงคังมองหลันซานที่หมดแรงล้มกองอยู่กับพื้นปราดหนึ่ง
อันว่าฤกษ์ดีมิสู้ฤกษ์สะดวก ในเมื่อเริ่มต้นแล้วก็กำจัดดาวราหูให้หมดสิ้นไปเลยทีเดียวเถอะ
“เว่ยอู๋เสีย ถ่ายทอดพระราชโองการของเรา หลันซงเฉวียนปองร้ายองค์ชายถือเป็นความผิดอุกฉกรรจ์สิบประการ เดิมทีสมควรประหารเก้าชั่วโคตร แต่เห็นแก่ที่หลันซานบิดาของเขาปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถมานานหลายปี อีกทั้งอยู่ในวัยชราแล้ว บัดนี้ปลดจากตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการ ริบทรัพย์สิน ถอดตำแหน่งขุนนางแล้วกลับไปยังบ้านเกิดเถอะ”
อืม…เรายังเคยได้ยินหลานฉือชั่นเอ่ยว่าห้องคลังของสกุลหลันบริบูรณ์ยิ่งกว่าท้องพระคลัง ครานี้คงเทียบไม่ติดแล้วกระมัง
“ฝ่าบาท…” หลันซานตาเหลือกหมดสติไปทันที
จวบจนหลันซานถูกหามออกไป เหล่าขุนนางยังดึงสติคืนมาไม่ได้
พวกเขาวางแผนการมาเนิ่นนานกี่วันกี่คืนก็นับไม่ถ้วน รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอจนมาถึงวันนี้ที่สามารถกำจัดขุนนางโฉดหลันซานกับบุตรชาย นำความสงบสุขกลับคืนมาสู่ราชสำนักได้ แต่คิดไม่ถึงว่าชัยชนะจะมาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัวเฉกนี้
กระนั้นฮ่องเต้ตัดสินอย่างรวบรัดเช่นนี้ ทำให้พวกเขาใจคอไม่ดีอยู่สักหน่อย
ฮ่องเต้หมิงคังเหลือบเปลือกตาขึ้น “ไม่ขอความเมตตาแล้วหรือ”
ขุนนางทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นไม่กล้าปริปาก
“เมื่อไรสมควรขอความเมตตา เมื่อไรไม่สมควรขอความเมตตา ต้องให้เราสอนพวกเจ้าหรือไม่”
คำตรัสนี้ดังขึ้น เหล่าขุนนางเหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วกายทันที
ฮ่องเต้หมิงคังเหยียดมุมปาก เห็นเขาเป็นคนโง่จริงๆ หรือไร หากมิใช่เพราะหลันซานกับบุตรชายเป็นดาวราหูที่ทับดวงเขาล่ะก็ เขายอมทำตามความต้องการของเจ้าเฒ่าบัดซบพวกนี้สิถึงเป็นเรื่องแปลก
เขาคือฮ่องเต้ มีแต่ผู้อื่นที่ต้องคล้อยตามความประสงค์ของเขา
ทว่า… ฮ่องเต้หมิงคังเหลือบตาเล็กน้อยไปทางรองสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋า
หลันซานแก่ชราจนหูตาฝ้าฟาง ถึงเวลาเปลี่ยนคนที่จะมารั้งตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการได้แล้ว
ในเวลาเพียงหนึ่งวันจุดจบของสกุลหลันไม่ต่างจากฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางเมืองหลวง ตั้งแต่ขุนนางผู้สูงศักดิ์ไปจนถึงชาวบ้านสามัญชนล้วนตะลึงพรึงเพริดไปกับข่าวใหญ่ครึกโครมข่าวนี้
ต่อจากนั้นร้านสุราน้อยใหญ่ในเมืองหลวงก็ถูกจับจองจนไม่เหลือที่ว่าง วันนี้มีคนเมาสุราเปล่งเสียงร้องเพลงดังลั่นมากมายเท่าไรก็สุดรู้ ด้านนอกมีเสียงจุดประทัดดังไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งวันต่อมาตามเรือนต่างๆ ยังปูพื้นด้วยหนังสัตว์สีแดงหนาๆ เชือดไก่เชือดแพะเฉลิมฉลองกันราวกับวันตรุษ
ในหมู่คนที่ดื่มสุรา เป็นธรรมดาที่จะขาดเฉียวเจากับพี่ชายไปมิได้
“พี่ใหญ่ จอกนี้ข้าขอดื่มคารวะท่าน ในที่สุดก็สมปรารถนาแล้ว”
เฉียวโม่ยกจอกสุราขึ้นชนจอกกับน้องสาว กล่าวเสียงนุ่มว่า “ยินดีที่น้องพี่สมปรารถนาเช่นเดียวกัน”
สองพี่น้องต่างกระดกดื่มรวดเดียวหมด สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความปีติยินดี
เฉียวโม่วางจอกสุราลงแล้วถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “สองปีมานี้ต้องลำบากเจ้าแล้ว พวกเรามีวันนี้ได้มาจากความพยายามของน้องพี่อย่างปฏิเสธมิได้เลย”
ดวงตาของเฉียวเจามีประกายน้ำผุดขึ้นวูบหนึ่ง นางกล่าวกลั้วเสียงหัวร่อเบาๆ “พี่ใหญ่จะกล่าวเช่นนี้ไปไย ทั้งหมดนี้เดิมเป็นสิ่งที่พวกเราสมควรกระทำอยู่แล้ว”
“ได้ ไม่พูดถึงมันแล้ว” เฉียวโม่รินสุราให้ทั้งคู่จนเต็มจอกอีกครั้ง เขาลุกขึ้นเดินไปกลางลานเรือน โค้งกายต่ำๆ คำนับไปทางทิศใต้แล้วเทสุราในจอกลงพื้นก่อนพูดเสียงเบาว่า “ขอคารวะต่อดวงวิญญาณของท่านพ่อท่านแม่และชาวสกุลเฉียวบนสวรรค์”
เฉียวเจาชูจอกสุราเหนือศีรษะคำนับอย่างแช่มช้อยพลางพูดตามเขา “ขอคารวะต่อดวงวิญญาณของท่านพ่อท่านแม่และชาวสกุลเฉียวบนสวรรค์”
เมื่อโค่นล้มหลันซานกับบุตรชายซึ่งเปรียบดั่งภูเขาใหญ่สองลูกลงได้ ถึงนับว่าเขากับนางไม่ต้องละอายใจที่จะบอกกับบิดามารดาว่าชำระแค้นให้พวกท่านแล้ว
“พี่ใหญ่ พี่หลี พวกท่านทำอะไรกันอยู่เจ้าคะ”
เฉียวโม่หันหน้าไปกวักมือเรียกเฉียวหว่าน “หว่านวานมานี่ คารวะท่านพ่อท่านแม่ด้วยสุราจอกหนึ่ง”
เฉียวหว่านเดินเข้ามารับจอกสุราจากพี่ชายแล้วสลัดความอยากรู้อยากเห็นทิ้งไป ดวงหน้าเล็กๆ เคร่งขรึมยามกล่าวเสียงกังวานใส “หว่านวานขอคารวะต่อดวงวิญญาณของท่านพ่อท่านแม่และชาวสกุลเฉียวบนสวรรค์”
เฉียวเจากับเฉียวโม่สบตากัน หางตามีน้ำตารื้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ในที่สุดก็มาถึงวันนี้ ช่างโชคดีปานใดที่พวกนางสามพี่น้องยังได้อยู่ร่วมกัน
พอคืนจอกสุราให้เฉียวโม่แล้ว เฉียวหว่านเอ่ยถามอย่างสนใจใคร่รู้ “พี่ใหญ่ เพราะอะไรเมื่อครู่พี่หลีก็คารวะด้วยเจ้าคะ”
เฉียวโม่หยักยิ้มอ่อนโยน เขายีผมน้องสาวคนเล็ก “พี่หลีคารวะแทนพี่เขยเจ้าอย่างไรเล่า”
“อ๋อ” เฉียวหว่านถึงหมดความสงสัย นางเอ่ยถามอย่างตั้งตารอคอย “ไม่รู้ว่าพี่เขยจะกลับมาเมื่อไรนะเจ้าคะ”