หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 776
บทที่ 776
ใต้ต้นไม้ร่มครึ้มเฉียวโม่กับโค่วจื่อโม่ยืนอยู่นิ่งๆ
โค่วจื่อโม่ลอบขุ่นเคืองใจอยู่บ้างที่น้องสาวเจ้ากี้เจ้าการเช่นนี้ กระนั้นได้อยู่ใกล้ๆ กับคนที่เฝ้าคิดถึงทุกเช้าค่ำ แม้จะรู้สึกอับอายแต่ยังระคนไว้ด้วยความรู้สึกหวานล้ำอย่างที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดได้
ความหวานแกมขมขื่นเฉกนี้นางแจ่มแจ้งดีว่าเป็นดั่งดอกถานฮวาที่บานให้เห็นเพียงชั่วครู่ ถึงจะเป็นเช่นนี้นางยังเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ได้มาไม่ง่ายดาย
เดิมทีนางนึกว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับญาติผู้พี่เช่นนี้อีกแล้ว
ฝ่ายเฉียวโม่นั้นไหนเลยจะไม่ประจักษ์แก่ใจถึงความรู้สึกที่โค่วจื่อโม่มีต่อตน แต่ขณะนี้นอกจากได้แต่ทอดถอนใจแล้ว เขาปราศจากความคิดอื่นใด
เขากับน้องจื่อโม่มีอายุห่างกันไม่น้อย จึงเห็นนางเป็นเหมือนน้องสาวมาแต่ไหนแต่ไร ต่อมาพอรับรู้ถึงความรู้สึกของนางได้ แม้นเขาไม่ได้เผยท่าทีอะไรออกมา แต่ก็เคยคิดเช่นกันว่าน้องจื่อโม่เป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ดีงาม หากผู้อาวุโสของทั้งสองฝ่ายเห็นดีเห็นงามจะผูกดองกันอีกชั้นหนึ่งก็ใช่ว่าจะไม่เป็นเรื่องดี
ทว่าท้ายที่สุดเรื่องราวในโลกไม่มีความแน่นอน เหตุไฟไหม้คราเดียวทำให้สกุลเฉียวบ้านแตกสาแหรกขาด และทำให้ในใจเขาไม่หลงเหลือเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างชายหญิงอีกต่อไป
แล้วช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่นยังทำให้เขาได้รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งต่างๆ มากมาย
ต่อให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือสตรีแสนดีที่รักเขาอย่างลึกซึ้ง แต่เขากับนางก็ย้อนกลับไปเป็นดังเดิมไม่ได้แล้ว
ในเมื่อชาตินี้ไร้วาสนาต่อกัน เขาย่อมไม่อาจปล่อยให้นางมีความหวังใดๆ และอยู่อย่างทุกข์ระทมเพราะเหตุนี้ไปเรื่อยๆ
“ญาติผู้น้อง…”
เฉียวโม่เพิ่งเอ่ยปากพูด นางก็พลันช้อนตาขึ้นกล่าวตัดบทเขา “ญาติผู้พี่ จริงๆ แล้วข้าไม่มีเรื่องจะขอให้ท่านช่วย”
ชายหนุ่มอึ้งงันไป เขานิ่งเงียบชั่วครู่ก่อนกล่าวยิ้มๆ “ข้ารู้”
นี่น้องจื่อโม่ตั้งใจจะเปิดอกพูดแล้วหรือ เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน
“ตั้งแต่เล็กจนโตข้ามอบใจให้ญาติผู้พี่มาโดยตลอด”
ครั้งนี้เฉียวโม่นิ่งเงียบเป็นเวลานานมากขึ้น ถึงเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ข้ารู้ แต่ข้าเห็นเจ้าเป็นน้องสาวเสมอ”
ครั้งนี้เป็นทีโค่วจื่อโม่หัวเราะเบาๆ บ้าง “ข้าก็รู้เจ้าค่ะ”
นางมองเฉียวโม่ตรงๆ แล้วผลิยิ้มอ่อนโยน “ฉะนั้นข้าอยากบอกญาติผู้พี่ว่าท่านไม่จำเป็นต้องหนักใจ ตั้งแต่วันที่ท่านแม่ข้าถูกกักตัวในศาลบรรพชน ข้าก็ตัดใจจากท่านแล้ว ถ้าจะบอกว่าวันนี้ข้ามีเรื่องพูดกับท่านจริงๆ ล่ะก็ นั่นคือขอให้ท่านเจริญก้าวหน้าในเส้นทางการเป็นขุนนางและได้พบกับคู่ครองที่ดีในเร็ววันเจ้าค่ะ”
ญาติผู้พี่ออกทุกข์แล้ว อีกทั้งมีอายุยี่สิบกว่า หลังจากหลันซานล่มจมไปเขากลายเป็นว่าที่บุตรเขยเนื้อหอมในสายตาของคนนับไม่ถ้วน ปีนี้ต้องได้หมั้นหมายอย่างแน่นอน
“ขอบใจเจ้ามาก ข้าก็ขอให้ญาติผู้น้องได้ออกเรือนมีคู่ชีวิตที่ดีในเร็ววันเช่นกัน” น้ำเสียงของเฉียวโม่นิ่งสนิท
โค่วจื่อโม่เพียงรู้สึกว่าแต่ละคำเสียดแทงใจให้เจ็บปวดนัก นิ้วมือของนางยังสั่นระริก แต่ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างช้าๆ
อันที่จริงญาติผู้พี่กล่าวอย่างนี้ก็ดี ทำให้นางไม่เหลือแม้แต่ความเพ้อฝันสุดท้ายอันน้อยนิดอีกแล้ว
กระนั้นนี่ก็เป็นเรื่องที่นางคาดหมายได้แต่แรก หากญาติผู้พี่เป็นคนที่จิตใจไม่ซื่อตรงพรรค์นั้น ช่วงที่พำนักอยู่ในจวนสกุลโค่วคงไม่วางตัวห่างเหินกับนางปานนั้น
นางแจ่มแจ้งดีว่าถ้าตอนนั้นเขาพยายามใกล้ชิดนางเพียงนิด นางก็คงดึงดันจะแต่งงานกับเขาให้ได้
ยังดีที่ญาติผู้พี่เป็นคนที่ไม่เคยละทิ้งศักดิ์ศรี นางก็เฉกเดียวกัน
สีหน้าของหญิงสาวสงบนิ่งมากขึ้น นางยอบกายเล็กน้อยให้เฉียวโม่ “ชิงหลันชอบทำเหลวไหล ญาติผู้พี่อย่าได้ถือสา พวกข้าเซ่นไหว้คุณหนูโอวหยางแล้วยังต้องรีบกลับไป คงไม่พูดคุยกับท่านต่อแล้วเจ้าค่ะ”
“ญาติผู้น้องไปเถิด”
โค่วจื่อโม่แสดงคำนับอีกครั้งก่อนจะหมุนกายเดินไปหาน้องสาว
สายตาของเฉียวโม่หยุดอยู่ที่แผ่นหลังบอบบางของหญิงสาวอึดใจเดียว จากนั้นเขาเดินไปที่รถม้าตรงริมถนนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนส่งยิ้มให้พวกเซ่าหมิงยวนพลางเอ่ย “กลับกันเถอะ”
เฉียวเจาเหลียวหน้าทอดสายตามองไกลๆ ไปที่โค่วจื่อโม่ซึ่งคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพของโอวหยางเวยอวี่ นางลอบถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วก้มตัวขึ้นรถม้า
คนทั้งกลุ่มจากไปไกลขึ้นทุกทีๆ
ด้านโค่วจื่อโม่ร่ำไห้สุดเสียงอยู่ นางลูบป้ายหลุมศพของโอวหยางเวยอวี่เบาๆ พลางกล่าวแกมสะอื้น “เวยอวี่ ข้ามาเยี่ยมเจ้าแล้ว”
ในหมู่สตรีสูงศักดิ์ของเมืองหลวง ยกเว้นชิงหลันน้องสาวแท้ๆ นางสนิทสนมกับโอวหยางเวยอวี่มากที่สุดมาแต่วัยเยาว์ จะพูดว่าผูกพันกันดั่งพี่น้องก็ไม่เกินความจริงแต่อย่างใด
โค่วจื่อโม่ยังจดจำที่โอวหยางเวยอวี่เคยพูดไว้วันนั้นตอนออกจากเมืองหลวงว่าพวกนางต้องมีโอกาสได้พบกันใหม่สักวัน ใครจะรู้ว่าพบกันอีกครั้งจะอยู่กันคนละภพภูมิแล้ว
“เวยอวี่ เพราะอะไรเจ้าถึงอาภัพปานนี้”
นางได้รู้ชะตากรรมของโอวหยางเวยอวี่แล้ว หากเปลี่ยนเป็นนางถูกขายเข้าหอคณิกา หลังจากทวงความเป็นธรรมให้บิดา นอกจากความตายก็ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าเช่นกัน
ตายไปแล้ว คนใต้หล้าจะสดุดีว่าบุตรสาวของผู้ตรวจการโอวหยางทนความอัปยศอดสูเพื่อการใหญ่ แกร่งกล้ายึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม แต่ถ้ารักตัวกลัวตาย เช่นนั้นคนทั้งวงศ์ตระกูลอย่าหมายว่าจะได้เงยหน้าอ้าปากตลอดไป
นางเข้าใจทางเลือกของสหายรัก แต่ก็เจ็บปวดกับเคราะห์กรรมของอีกฝ่าย
โค่วจื่อโม่จับป้ายหลุมศพเย็นเฉียบไว้พลางร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
เหตุใดสวรรค์ไม่ยุติธรรมเช่นนี้ มักต้องให้คนประสบกับความทุกข์โศกนานัปการ
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องจากคนที่รัก พบกับคนที่ชัง ไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา
“พี่จื่อโม่ ท่านอย่าร้องไห้อีกเลย ระวังสุขภาพด้วย”
โค่วจื่อโม่กอดน้องสาวหมับ ซบไหล่นางร่ำไห้คร่ำครวญ “ชิงหลัน ข้าเสียใจเหลือเกิน เสียใจเหลือเกินจริงๆ…”
โค่วชิงหลันกอดพี่สาวตอบพร้อมกับตบหลังนางเบาๆ
พี่จื่อโม่เสียใจเพราะการตายของคุณหนูโอวหยางเท่านั้นหรอกหรือ ยังเป็นเพราะมีบุญแต่ไร้วาสนากับญาติผู้พี่ด้วยกระมัง
หากที่น่าสงสารยิ่งกว่าคือกระทั่งจะระบายความเสียใจ พี่จื่อโม่จำต้องอาศัยการร้องไห้ให้คุณหนูโอวหยางเพื่อพูดออกมา
โค่วชิงหลันยิ่งคิดยิ่งปวดใจ นางพยุงพี่สาวลุกขึ้น “พี่จื่อโม่ พวกเรากลับเรือนกันนะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียของจวนสกุลโค่วรู้จากสารถีแล้วว่าโค่วจื่อโม่กับน้องสาวได้พบกับเฉียวโม่ นางเรียกทั้งสองมาพบทันทีและถามไถ่เรื่องของเขา
“ญาติผู้พี่บอกว่าอีกสักพักจะมาเยี่ยมท่านย่าเจ้าค่ะ” โค่วจื่อโม่ซึ่งล้างหน้าล้างตาแล้วหลังกลับถึงเรือนเอ่ยตอบอย่างสงบนิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียไม่พึงใจอยู่บ้าง “พวกเจ้าเป็นญาติผู้พี่ผู้น้องสายเลือดเดียวกัน ในเมื่อเจอกันแล้วก็สมควรเชิญญาติผู้พี่มาสิ”
โค่วชิงหลันกล่าวยิ้มๆ “ญาติผู้พี่บอกว่าที่ว่าการมีงานยุ่งมาก ข้ากับพี่จื่อโม่จะรบเร้าก็ไม่เป็นการดีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียฟังแล้วมีสีหน้าดีขึ้น นางคลายยิ้มแล้วพยักหน้า “ก็จริง ญาติผู้พี่ของพวกเจ้านับวันยิ่งได้รับความสำคัญ จะงานยุ่งขึ้นก็สมควรแล้ว”
เขาเป็นบัณฑิตเอกอันดับหนึ่ง อีกทั้งมีเส้นสายสัมพันธ์ในราชสำนักที่สั่งสมมาสองชั่วรุ่นจากปู่และบิดา บัดนี้ยังได้เข้าไปปฏิบัติงานในสภาขุนนาง วันหน้าต้องมีอนาคตก้าวไกลอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ
เมื่อคิดถึงจุดนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียชายตามองโค่วจื่อโม่แวบหนึ่ง เห็นหลานสาวคนโตหลุบตาต่ำไม่แสดงสีหน้าอะไร นางลอบไม่สบอารมณ์ที่อีกฝ่ายไม่ได้ดั่งใจ จึงจิบน้ำชาคำหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “จื่อโม่ เจ้ากลับไปแล้วให้คนส่งพวกของบำรุงไปให้ญาติผู้พี่ด้วย เขางานยุ่งถึงเพียงนี้จะให้เสียสุขภาพเพราะมัวห่วงแต่ทำงานมิได้”
“มีท่านย่าเป็นประมุขหญิงของเรือน อีกทั้งท่านอาสะใภ้รองช่วยดูแลงานต่างๆ อยู่แล้ว ข้าเป็นสตรียังไม่ออกเรือนไม่เหมาะจะจัดการเรื่องพวกนี้เจ้าค่ะ” โค่วจื่อโม่กล่าวตอบเสียงเรียบ
“เจ้าหลานผู้นี้ นั่นเป็นญาติผู้พี่ เจ้าส่งของไปให้เขาได้อย่างเปิดเผย มิใช่ลักลอบสานไมตรีกับบุรุษอื่นสักหน่อย” ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียมองค้อนวงหนึ่ง ไฉนนางถึงมีหลานสาวที่ไม่มีไหวพริบเช่นนี้
“ญาติผู้พี่พำนักในจวนโหวคงไม่ขัดสนของพวกนี้ ข้าทราบว่าท่านย่าห่วงใยญาติผู้พี่ เช่นนั้นรอตอนเขามาเยี่ยมท่านค่อยมอบให้เขาจะไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”
ครั้นเห็นว่าพูดอย่างไรหลานสาวคนโตก็ฟังไม่เข้าหู ถึงอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่ายังคงคำนึงถึงเกียรติของตนจะบังคับนางอีกก็ไม่ถนัด ได้แต่มาดหมายไว้ในใจว่ารอเฉียวโม่มาที่จวนสกุลโค่วค่อยให้ผู้เยาว์คู่นี้ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันและพยายามตกลงเรื่องแต่งงานให้ได้โดยไว
หลังจากบอกให้สองสาวพี่น้องออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียเอ่ยสั่งสาวใช้คนสนิทให้ตัดเย็บอาภรณ์ชุดใหม่ให้พวกนาง เพียงรอคอยวันที่หลานชายจะมาเยี่ยมเยือน ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถึงวันนั้นก็ได้ข่าวว่าเฉียวโม่กับหลานสาวของสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋าหมั้นหมายกัน