หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 781
บทที่ 781
ยามฮ่องเต้หมิงคังจำศีลจะต้องการความสงบเงียบ นอกจากให้ราชครูจางนำอาหารไปให้ตามเวลาแล้วก็ห้ามมิให้ผู้ใดรบกวนอย่างเคร่งครัด แม้แต่เว่ยอู๋เสียยังได้แต่เฝ้าอยู่ด้านนอก
ราชครูจางมองสีท้องฟ้าแล้วตัดสินใจเข้าไปดูลาดเลา
เว่ยอู๋เสียตรงหน้าประตูกวาดตามองกล่องอาหารในมือเขาก่อนกล่าวยิ้มๆ อย่างประชดประชัน “ก่อนหน้านี้ท่านราชครูบอกว่าฮ่องเต้จะเสด็จออกมาวันนี้มิใช่หรือ ตกลงเป็นยามเท่าไรกันแน่”
“ต้องยามไฮ่ฮ่องเต้ถึงจะเสด็จออกมาได้” ราชครูจางบอกเวลาส่งเดชหลอกลวงเว่ยอู๋เสีย
เขาเบี่ยงกายเปิดทางให้ “อย่างนั้นท่านราชครูรีบนำพระกระยาหารเข้าไปถวายฮ่องเต้เถอะ”
ราชครูจางปั้นหน้านิ่งสนิท เขาพยักหน้าแล้วหิ้วกล่องอาหารย่างเท้าเข้าประตู
ในห้องมีไอควันลอยอวลอยู่ ราชครูจางตรงดิ่งไปที่ที่ฮ่องเต้นั่งสมาธิ แต่เพียงมองปราดเดียวก็ตกใจจนขวัญหนีดีหาย
ฮ่องเต้หมิงคังในชุดนักพรตล้มหน้าคว่ำอยู่บนพื้น เผยให้เห็นอาสนะสีเหลือง
ราชครูจางวางกล่องอาหารลงแล้ววิ่งทะยานไปที่ข้างกายฮ่องเต้ จากนั้นร้องเรียกเสียงเบาๆ “ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หมิงคังไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ
ราชครูจางรีบจับตัวฮ่องเต้หมิงคังหงายขึ้นก็ได้เห็นพระพักตร์ซีดขาวราวกระดาษ
“ฝ่าบาท…” ราชครูจางยื่นมือไปอังใต้จมูกฮ่องเต้แล้วสะดุ้งสุดตัว
ฮ่องเต้สวรรคตแล้วหรือนี่!
ราชครูจางตะลึงลานอยู่นานครู่หนึ่งถึงตั้งสติได้ เอามือที่สั่นเทาวางทาบตรงกลางอกฮ่องเต้หมิงคัง
ไออุ่นน้อยนิดแผ่ซ่านมา เขาผละมือออกอย่างเงอะงะแล้วหอบหายใจดังเฮือกๆ
ฮ่องเต้ยังไม่สวรรคตสนิท แต่ดูท่าทางนี้แล้วก็ใกล้สวรรคตอยู่รอมร่อ
ทำอย่างไรดี
ความคิดในหัวของราชครูจางแล่นเร็วรี่
เขาสังหรณ์ใจเรื่องสภาพร่างกายของฮ่องเต้หมิงคังแต่แรก พอวันนี้มาถึงจึงไม่ได้เหนือความคาดหมายสักเท่าไร เพียงแค่มาถึงเร็วเกินไปบ้าง เขายังไม่ทันเผ่นหนีเลย!
ไม่ได้ ต้องไปขอความช่วยเหลือจากกวนจวินโหว
ทว่าตอนนี้… ราชครูจางมองหน้าประตูแวบหนึ่ง
เว่ยอู๋เสียเป็นคนที่ใกล้ชิดฮ่องเต้มากที่สุด แทนที่จะเค้นสมองคิดหาทางปิดบังเขา มิสู้ลากเข้ามาล่มหัวจมท้ายด้วยกัน!
ราชครูจางตกลงปลงใจได้แล้วเดินไปที่หน้าประตูก่อนบอกเสียงเบาๆ “เว่ยกงกง ฮ่องเต้ทรงเรียกท่านเข้ามา”
ประตูเปิดออกดังเอี๊ยดอ๊าด พอเห็นเว่ยอู๋เสียก้าวเข้ามา ราชครูจางปิดประตูห้องแล้วลงดาลอย่างรวดเร็ว
“นี่ท่านราชครูจะทำอะไร” เว่ยอู๋เสียอ้าปากถามแล้วหน้าถอดสีในพริบตา เขาผลักราชครูจางออก แล้วถลันเข้าไปหาฮ่องเต้หมิงคัง “ฝ่าบาท…”
ท่าทีตอบสนองฉับไวน่าดู ราชครูจางลอบถอนใจก่อนก้าวขาเดินตามไป
เว่ยอู๋เสียเห็นฮ่องเต้หมิงคังไม่ขยับตัวสักนิดแล้วเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อม เขาเอ่ยเสียงสั่นเทา “ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ”
เขาอยากจับตัวฮ่องเต้แต่ไม่กล้า หันหน้าไปถลึงตาแทบถลนใส่ราชครูจางอย่างโกรธเกรี้ยว “ท่านราชครู ฝ่าบาทเป็นอะไรกันแน่”
“เว่ยกงกงเบาเสียงลงสักนิด ฝ่าบาทยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่”
สีหน้าของเว่ยอู๋เสียเปี่ยมไปด้วยแววยินดีทันใด
ราชครูจางกล่าวต่อ “แต่ก็ใกล้แล้ว”
“ท่านราชครู!”
ราชครูจางกล่าวเยาะๆ “เว่ยกงกงเรียกข้าไปก็ไร้ประโยชน์ ขณะนี้ฝ่าบาทเหลือเพียงไออุ่นเล็กน้อยตรงพระอุระ เว่ยกงกงรีบตัดสินใจโดยไวเถอะว่าจะควรทำเช่นไรกันแน่”
“ท่านรอสักครู่ ข้าไปเรียกแพทย์หลวงมาก่อน”
พอเห็นเว่ยอู๋เสียลุกขึ้นเดินออกไป ราชครูจางส่งเสียงบอกไล่หลัง “เว่ยกงกงเรียกคนที่เชื่อใจได้จะดีที่สุด ทันทีที่มีข่าวว่าเกิดเรื่องขึ้นตอนฮ่องเต้ทรงเก็บตัวจำศีลแพร่ออกไป พวกเราก็รักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว”
เว่ยอู๋เสียชะงักฝีเท้าเล็กน้อย จากนั้นก้าวออกจากประตูไปโดยไม่เหลียวหลัง
ไม่นานนักแพทย์หลวงผู้หนึ่งก็รุดมาถึงอย่างเร่งรีบพร้อมกับเว่ยอู๋เสีย พอเขาเห็นสภาพของฮ่องเต้หมิงคังแล้วก็แทบสิ้นสติ
“แพทย์หลวงหลี่อย่ามัวยืนทื่ออยู่เลย รีบตรวจฝ่าบาทสิ”
หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่ตรวจอาการของฮ่องเต้หมิงคังแล้วใบหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม
“แพทย์หลวงหลี่ ฝ่าบาททรงเป็นอะไรกันแน่” เว่ยอู๋เสียเอ่ยถาม
หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่ไม่เสียเวลาตอบคำถามของเว่ยอู๋เสีย เขาเปิดหีบยาหยิบโสมแก่หั่นเป็นแผ่นชิ้นหนึ่งใส่ปากฮ่องเต้หมิงคังทันทีแล้วถึงได้ปาดเหงื่อออก ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นเทา “ฝ่าบาท…เกรงว่ายากจะพ้นราตรีนี้…”
เว่ยอู๋เสียกับราชครูจางสบตากัน
“ไม่มีหนทางอื่นแล้วใช่หรือไม่”
หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่ส่ายหน้า “หมดทางเยียวยาแล้ว เว้นแต่ว่า…”
“เว้นแต่ว่าอะไร” เว่ยอู๋เสียกับราชครูจางถามซักไซ้
ฮ่องเต้หมดสติไปตอนจำศีลบำเพ็ญตบะ ถ้าสวรรคตไปเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเขาล้วนรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว
ขณะนี้วิธีที่จะรักษาชีวิตไว้ได้คือหวังว่าฮ่องเต้จะฟื้นขึ้นมา อย่างน้อยเรียกขุนนางคนสำคัญในราชสำนักมาประชุมแล้วกล่าวสั่งเสียสองสามคำ พวกเขาถึงจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้
“เว้นแต่ว่าหมอเทวดาหลี่อยู่ที่นี่”
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…” เว่ยอู๋เสียพูดไปครึ่งๆ กลางๆ ก็ชะงักกึก ถึงพูดต่ออย่างไม่แน่ใจ “ข้าได้ยินว่าฮูหยินของกวนจวินโหวเป็นลูกศิษย์ของหมอเทวดา…”
เขามองพระพักตร์เขียวซีดของฮ่องเต้แวบหนึ่งแล้วขบสันกรามแน่น
ช่างเถิด บัดนี้คงได้แต่รักษาม้าตายเยี่ยงม้าเป็นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชิญฮูหยินของกวนจวินโหวมาลองดูสักตั้ง
“ข้าจะหาวิธีเชิญฮูหยินของกวนจวินโหวมาเอง ท่านทั้งสองรออยู่ที่นี่ อย่าได้วู่วามผลีผลามเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่าให้องครักษ์จินหลินจับพิรุธได้” เว่ยอู๋เสียเอ่ยกำชับ
โชคดีที่ตอนนี้เขาดูแลงานภายใน ส่วนเจียงหย่วนเฉาดูแลงานภายนอก จึงยังสามารถปกปิดไว้ได้ชั่วเวลาสั้นๆ
ขันทีน้อยผู้หนึ่งสบช่องยามวิกาลไปยังที่พำนักของเซ่าหมิงยวน
แต่หลังจากขันทีน้อยออกไป คนผู้หนึ่งก็เดินเลี้ยวออกมาจากเงามืด
คนผู้นั้นมีเรือนกายสูงสง่า สีหน้าเฉยเมย เขาก็คือเจียงหย่วนเฉาผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินที่เว่ยอู๋เสียกริ่งเกรงที่สุดอย่างไร้ข้อกังขา
เหตุใดถึงมีขันทีออกไปในเวลานี้
เจียงหย่วนเฉาเหลียวมองพระตำหนักที่ประทับบำเพ็ญตบะของฮ่องเต้หมิงคังปราดหนึ่งก่อนเผยรอยยิ้มแฝงนัยลึกล้ำ
เซ่าหมิงยวนได้รับข่าวจากขันทีแล้วสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เขาเอ่ยกับขันทีน้อย “รอครู่หนึ่ง ข้าจะไปบอกฮูหยินของข้าสักนิด”
“ฮ่องเต้หมิงคังไม่รอดแล้วหรือ” เฉียวเจาเพิ่งล้างหน้าสางผมเสร็จ บนกายสวมเสื้อคลุมสีชมพูอ่อนกลางเก่ากลางใหม่ตัวเดียว ผิวกายนวลเนียนดุจหยกอยู่ใต้แสงไฟ
ครั้นเห็นภรรยาในลักษณาการนี้ เซ่าหมิงยวนสุดแสนจะไม่อยากให้นางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาวุ่นวายนั่นเลย แต่นางกลับกล่าวว่า “ตอนนี้เว่ยอู๋เสียส่งคนมาเชิญ หากข้าไม่ไปก็คือไม่แยแสความเป็นความตายของฮ่องเต้ เกิดพวกเขาโพนทะนาออกมา พวกเราจะเดือดร้อน”
นางเห็นเซ่าหมิงยวนยังขมวดคิ้วดุจเก่าเลยพูดกล่อม “ฮ่องเต้ทรงตกอยู่ในภาวะวิกฤตกะทันหัน ถ้าสวรรคตไปเช่นนี้จะต้องเกิดความวุ่นวายยกใหญ่เป็นแน่ ถิงเฉวียน พวกเราต้องพยายามประวิงเวลาไว้สองสามวันเพื่อเตรียมการให้ดี”
เซ่าหมิงยวนคล้อยตามคำหว่านล้อมของเฉียวเจา เขากุมมือนางแน่นๆ พลางบอกว่า “ตกลง ข้าจะตามเจ้าไปลับๆ”
ถึงอย่างไรพระตำหนักที่ประทับก็ไม่มีการคุ้มกันแน่นหนาเท่าพระราชวัง หนึ่งเดือนมานี้เขาลอบเฝ้าดูการรักษาเวรยามขององครักษ์และสำรวจสภาพโดยรอบจนปรุโปร่งแต่แรกเพื่อระวังป้องกันเหตุไม่คาดฝันจำพวกนี้นั่นเอง
“เช่นนั้นท่านต้องระวังตัวให้ดี ถ้ามีความเสี่ยงว่าจะถูกจับได้ก็รีบหลบไปโดยไว ไม่จำเป็นต้องติดตามข้า ข้าไปช่วยชีวิตฮ่องเต้ ย่อมต้องปลอดภัยอย่างไม่มีปัญหา”
เซ่าหมิงยวนแย้มยิ้ม “เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ ผลัดอาภรณ์แล้วตามขันทีไปเถอะ”
ขันทีน้อยนำชุดขันทีติดตัวมาด้วยโดยเฉพาะ เฉียวเจาเป็นคนร่างเล็กแบบบางอยู่แต่เดิม หลังเปลี่ยนชุดนอกจากดูผอมบางไปบ้างแล้วก็ไม่ต่างจากขันทีน้อยทั่วไป
นางติดตามขันทีน้อยที่อาศัยความมืดบดบังหูตาขององครักษ์เล็ดลอดไปที่พระตำหนัก
เมื่อไปถึงหน้าประตูทั้งสองต่างระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง
จังหวะนี้เองสุ้มเสียงคุ้นหูของคนผู้หนึ่งดังขึ้น “ดึกดื่นป่านนี้กงกงทั้งสองจะไปที่ใดกันหรือ”
เฉียวเจาใจกระตุกวูบ นางช้อนตามองอย่างฉับไว เห็นเจียงหย่วนเฉาถือดาบซิ่วชุนในมืออยู่ใต้โคมราชสำนักกำลังมองมาพร้อมรอยยิ้มจางๆ