หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 784
บทที่ 784
เว่ยอู๋เสียจะปล่อยให้มู่อ๋องบุกเข้าไปได้เช่นไร เขายืนขวางหน้าอีกฝ่ายพลางกล่าวเสียงกระด้าง “ท่านอ๋องทรงบุกรุกพระตำหนักโดยพลการ ทรงทราบหรือไม่ว่ามีโทษสถานใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าบุกรุกพระตำหนักที่ใดกัน ตอนนี้ข้าต้องการยืนยันความปลอดภัยของเสด็จพ่อ เว่ยกงกงขัดขวางข้าอย่างนี้หรือว่ามีแผนการร้ายอยู่ในใจ”
เว่ยอู๋เสียยิ้มเยาะ “กระหม่อมเป็นผู้ติดตามข้างพระวรกายซ้ายขวา ฝ่าบาททรงจำศีลเป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวง อย่าว่าแต่ท่านอ๋อง ไม่ว่าผู้ใดก็รบกวนมิได้ การที่กระหม่อมขัดขวางท่านอ๋องในตอนนี้เพราะกลัวพระองค์จะทรงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นี่เป็นความหวังดีต่อท่านอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ต้องการความหวังดีของเว่ยกงกง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องได้เข้าเฝ้าเสด็จพ่อเดี๋ยวนี้”
“ท่านอ๋องตั้งพระทัยจะใช้กำลังบุกรุกพระตำหนักหรือ” สิ้นเสียงของเว่ยอู๋เสีย ขันทีสิบกว่าคนก็ตีวงล้อมไว้พลางจ้องมองมู่อ๋องด้วยสายตาขมึงทึง
มู่อ๋องที่กำลังฮึกเหิมอยู่ชะงักนิ่งไปทันใด
“ท่านอ๋องเสด็จกลับไปเถอะ รอฝ่าบาทเสด็จออกจากการจำศีลก็จะรับสั่งเรียกตัวผู้ที่มีพระประสงค์ให้เข้าเฝ้าเองพ่ะย่ะค่ะ”
มู่อ๋องมองดูขันทีด้านหลังเขา ค่อยมององครักษ์จินหลินที่ถือดาบซิ่วชุนไว้ในมืออยู่ไม่ไกลอีกที เขากัดฟันกรอดๆ กล่าวขึ้นว่า “ดี เจ้าคอยดูเถอะ”
พอออกจากพระตำหนักแล้วมู่อ๋องไปพบกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสภาขุนนางของหกกรมเก้ากองทันที
แม้ว่าจะมาหลบร้อนที่เขาชิงเหลียง แต่ขุนนางคนสำคัญเหล่านี้ยังต้องสะสางงานที่พึงสะสาง ดังนั้นยามนี้จึงเป็นเวลาที่พวกเขาประชุมหารืองานกันอยู่พอดี
“ใต้เท้าทุกท่านน่าจะรู้กันว่าเมื่อวานคือวันที่เสด็จพ่อเสด็จออกจากการจำศีล แต่ข้าได้ข่าวว่าจริงๆ แล้วเมื่อคืนเกิดเรื่องขึ้นกับเสด็จพ่อแล้ว”
มู่อ๋องกล่าวถ้อยคำนี้ ขุนนางทั้งหลายอดมองหน้ากันไปมาไม่ได้
ถึงแม้ฮ่องเต้ของพวกเขาจะเอาแต่ใจตนไปสักหน่อย ทว่าทุกครั้งที่ออกจากการจำศีลจะเรียกพวกเขาไปเข้าเฝ้าเพื่อถามไถ่เรื่องราวในราชสำนักช่วงนี้ เมื่อวานเป็นวันที่เสด็จออกจากการจำศีล ทว่าจนขณะนี้ฮ่องเต้กลับมิได้เรียกใครสักคนเข้าเฝ้า
หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นกับฮ่องเต้แล้วจริงๆ
“ท่านอ๋องตรัสเช่นนี้มีหลักฐานหรือไม่” เสนาบดีกรมพิธีการเอ่ยถามขึ้น
มู่อ๋องตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “หากไม่มีหลักฐาน หรือว่าข้าเสียสติไปแล้วถึงได้ไปคัดง้างกับเว่ยกงกง”
“เช่นนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับฝ่าบาทกันแน่พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมอากรถามเสียงรัวเร็ว
สีหน้าของมู่อ๋องทอแววโศกเศร้าเจ็บปวด เขายกแขนเสื้อขึ้นปิดหน้าก่อนกล่าวเสียงเครือ “ความจริงเสด็จพ่อสวรรคตไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“อะไรนะ!” เมื่อคำกล่าวนี้ดังขึ้นก็เกิดเสียงดังอื้ออึงในหมู่ขุนนาง แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน
มู่อ๋องพูดแกมสะอื้น “เพราะข้าได้รับข่าวนั้นนี่เองถึงได้รุดไปที่พระตำหนักขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อโดยไม่นำพาสิ่งใด แต่เว่ยกงกงกลับขัดขวางไม่ให้ข้าเข้าเฝ้า ใต้เท้าทุกท่าน เว่ยอู๋เสียปิดบังข่าวเสด็จพ่อสวรรคตจะต้องมีแผนการชั่วร้ายสกปรกอยู่ในใจ!”
เขากล่าวถึงตรงนี้แล้วก้มตัวต่ำประสานมือต่อเหล่าขุนนาง “ขอเชิญใต้เท้าทุกท่านไปขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกับข้า จะให้คนชั่วช้าปิดหูปิดตาไม่ได้”
ขุนนางทั้งหลายมีสีหน้าละล้าละลัง
มู่อ๋องประสานมือคำนับอีกครา “ข้ารับรองต่อใต้เท้าทุกท่านได้ว่าถ้าเสด็จพ่อทรงสบายดี ข้าจะรับผิดชอบผลลัพธ์ทุกอย่างไว้เองคนเดียว ส่วนใต้เท้าทุกท่านกระทำไปด้วยจิตใจที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้และแผ่นดินทั้งสิ้น เสด็จพ่อจะทรงไม่ตำหนิโทษพวกท่านเป็นแน่ แต่หากเกิดเรื่องขึ้นกับเสด็จพ่อจริงๆ หรือว่าใต้เท้าทุกท่านจะปล่อยให้ขุนนางโฉดปิดข่าวไว้และใช้อำนาจสร้างความปั่นป่วนในราชสำนักใช่หรือไม่”
เขาหันไปทางสวี่หมิงต๋าสมุหราชเลขาธิการคนใหม่ “ใต้เท้าสวี่ เสด็จพ่อทรงมอบหมายหน้าที่สำคัญให้แก่ท่าน บัดนี้ข้าขอวิงวอนให้ทำสิ่งที่สมุหราชเลขาธิการผู้หนึ่งพึงกระทำ”
สวี่หมิงต๋าถูกมู่อ๋องบีบให้ตัดสินใจ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“สมุหราชเลขาธิการสวี่ หรือไม่พวกเราตามท่านอ๋องไปดูสักหน่อยเถอะ” พวกขุนนางพากันเอ่ยขึ้น
ถึงสวี่หมิงต๋าจะยืนอยู่ข้างรุ่ยอ๋อง แต่เมื่ออ๋องพูดโดยมีเหตุผลรองรับเต็มที่เช่นนี้ เขาจะปฏิเสธก็ไม่เป็นการดี หลังสองจิตสองใจเล็กน้อยก็พยักหน้า “ตกลง ทำตามที่ท่านอ๋องตรัสเถอะ”
จากนั้นขุนนางใหญ่กลุ่มหนึ่งก็ยกขบวนกันไปที่ด้านนอกพระตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้หมิงคังอย่างรวดเร็ว
ขันทีน้อยเห็นสถานการณ์ไม่เข้าทีจึงวิ่งทะยานเข้าไปรายงาน “ไม่ได้การแล้วขอรับ มู่อ๋องนำพาใต้เท้าจำนวนมากมาที่นี่ ดูท่าทางจะมาขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ขอรับ”
แน่นอนว่าเว่ยอู๋เสียต้องรู้ว่ามู่อ๋องไม่มีทางรามือแต่โดยดี แม้นจะแปลกใจว่าข่าวแพร่งพรายออกไปได้อย่างไร ทว่าขณะนี้ไม่ใช่เวลาสืบสาวราวเรื่อง เขาโบกมือทีหนึ่งพร้อมพูด “เรียกพวกเด็กๆ ตามข้าไป”
ตอนเว่ยอู๋เสียยกกำลังขันทีโขยงหนึ่งรุดไปที่หน้าประตูพระตำหนัก มู่อ๋องก็พาเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาถึงแล้ว
เขากวาดตามองขุนนางทั้งหลายปราดหนึ่งถึงชิงเอ่ยถามเป็นเชิงโจมตีก่อน “ท่านอ๋องทรงพาใต้เท้าทั้งหลายมาที่นี่มีความหมายใด หรือทรงมีเจตนายึดอำนาจพ่ะย่ะค่ะ”
พอได้ยินคำว่า ‘ยึดอำนาจ’ พวกขุนนางหน้าถอดสีไปถนัดตา พากันถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างพร้อมเพรียงกัน
พวกเขาแบกรับโทษทัณฑ์นี้ไม่ไหวจริงๆ
“เว่ยกงกงอย่ายัดเยียดข้อกล่าวหาให้ข้าตามชอบใจ ข้าล่วงรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเสด็จพ่อ ในฐานะพระโอรส ข้าจะมายืนยันว่าเสด็จพ่อทรงปลอดภัยดีเป็นความผิดใดหรือ อย่างไรก็ดีต่อให้เรื่องนี้ข้าเป็นฝ่ายผิด ถึงเวลาเสด็จพ่อทรงตำหนิโทษลงมา ข้าย่อมจะยอมรับผิดเอง เว่ยกงกงไม่มีสิทธิ์จะตำหนิติเตียนส่งเดช”
“ท่านอ๋องตรัสไม่หยุดว่าเกิดเรื่องขึ้นกับฝ่าบาท มิทราบว่ามีหลักฐานใดพ่ะย่ะค่ะ”
“หลักฐานย่อมต้องมีแน่”
“ถ้าอย่างนั้นท่านอ๋องทรงเอาออกมาได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
มู่อ๋องแค่นหัวร่อ “เว่ยกงกงถือดีอะไรบอกให้ข้าเอาหลักฐานออกมาข้าก็ต้องทำตามด้วยเล่า เมื่อถึงเวลาที่พึงเอาออกมาข้าจะเอาออกมาเอง ตอนนี้ข้าเพียงอยากเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
สุ้มเสียงเรียบเฉยของคนผู้หนึ่งดังขึ้น “ขณะนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการจำศีลของฮ่องเต้พอดี หากไปรบกวนความสงบเข้า มิใช่ท่านอ๋องตรัสคำหนึ่งว่าจะรับผิดชอบคนเดียวก็จะผ่านพ้นไปได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ราชครูจางสาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเว่ยอู๋เสีย
การปรากฏกายของราชครูจางทำให้ขุนนางทั้งหลายอดโอนเอนไม่ได้
“ท่านราชครูกล่าวคำนี้หลอกลวงคนอื่นยังพอได้ แต่หลอกข้าไม่ได้หรอก เสด็จพ่อทรงพิถีพิถันเป็นที่สุด ไม่ว่าเป็นเวลาจำศีลหรือเวลาออกจากการจำศีล ทุกครั้งล้วนคิดคำนวณไว้ก่อนล่วงหน้า ตอนนี้ท่านมาบอกว่าเลื่อนเวลาออกไปจะมีเหตุผลอะไรได้ ตามความเห็นข้าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นกับเสด็จพ่อแล้วแน่ๆ ท่านราชครูกับเว่ยกงกงกลัวต้องรับผิดชอบก็เลยปิดข่าวไว้มิดชิด คิดจะฉวยโอกาสเอาตัวรอดกระมัง”
สีหน้าของเว่ยอู๋เสียเปลี่ยนไปเล็กน้อย มู่อ๋องได้ข่าวมาอย่างไรกันแน่ถึงพูดตรงกับความเป็นจริงทุกคำ…
มู่อ๋องเบือนหน้าไปมองเจียงหย่วนเฉาที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อใดก็สุดรู้แล้วพูดเสียงดัง “ท่านผู้บัญชาการเจียง ตอนนี้ข้าสงสัยว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเสด็จพ่อแล้วแต่สองคนนี้ปิดข่าวไว้ จึงอยากขอเข้าเฝ้าสักครั้งเพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงปลอดภัยดี ท่านเป็นผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินและมีหน้าที่อารักขาฮ่องเต้ หรือว่าในเวลานี้ท่านจะวางเฉยมองดูคนของกองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวาใช้มือเดียวปิดฟ้า”
เว่ยอู๋เสียสบสายตาสงบนิ่งคู่นั้นของเจียงหย่วนเฉา ใจเขาดิ่งวูบอย่างสุดระงับ
คิดไม่ถึงว่ามู่อ๋องจะยอมแลกทุกอย่างแล้ว ถ้าเจียงหย่วนเฉายื่นมือแทรกในเวลานี้ พวกเขาคงต้านทานไว้ได้ยาก ทว่ายังต้องอีกสองวันฮ่องเต้ถึงจะฟื้นขึ้นมาได้…
ครั้นคิดไปเช่นนี้เว่ยอู๋เสียก็เริ่มร้อนรนขึ้นมาแล้ว
เจียงหย่วนเฉายังมีท่าทางที่ผู้อื่นอ่านความรู้สึกไม่ออกดุจเดิม เขายิ้มบางๆ กับเว่ยอู๋เสียพลางเอ่ยว่า “ฮ่องเต้ทรงเก็บตัวจำศีลเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ แต่ที่ท่านอ๋องทรงเป็นห่วงก็มิใช่ไร้เหตุผล ข้ามีฐานะเป็นผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ไม่กล้าชะล่าใจในเรื่องความปลอดภัยของฮ่องเต้ เว่ยกงกงหลีกทางจะดีกว่า ให้ทุกคนได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้สักครั้งเพื่อความสบายใจเถอะ”
“อยากเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ได้ ขอให้ทุกท่านอดทนอีกสองวันหลังฝ่าบาทเสด็จออกจากการจำศีลแล้ว ถึงตอนนั้นฝ่าบาทย่อมจะทรงให้ทุกท่านเข้าเฝ้าเป็นธรรมดา”
เหล่าขุนนางได้ยินเขากล่าวอย่างนี้ก็บังเกิดความคิดจะถอยให้แล้ว
ในเมื่ออีกสองวันก็ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ เช่นนั้นจะช้าหรือเร็วดูเหมือนไม่ค่อยสำคัญมากนัก
“สองวันให้หลัง?” มู่อ๋องกล่าวเยาะๆ “ถึงตอนนั้นเกรงว่าพวกท่านคงปิดบังอำพรางทุกอย่างจนหนีเอาตัวรอดได้สำเร็จแล้วกระมัง ทุกท่านสนใจใคร่รู้มิใช่หรือว่าข้ามีหลักฐานหรือไม่”
มู่อ๋องชูของในมือขึ้นสูงๆ “หลักฐานอยู่นี่!”