หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 786
บทที่ 786
แววตาของเว่ยอู๋เสียที่จ้องมองหลิวฉุนขันทีถือตราลัญจกรทอประกายอำมหิต
เป็นเขาใจดีมีเมตตาเกินไปเอง เห็นแก่ที่หลิวฉุนปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้มานานหลายปี และยังนับว่าเป็นเสนาบดีฝ่ายในที่เจียมเนื้อเจียมตัวดี ถึงมิได้ลงมือกำจัดอีกฝ่ายเสียที
คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นงูพิษที่กบดานอยู่ตัวหนึ่ง โผล่ออกมาแว้งกัดเขาเต็มเขี้ยวในตอนที่สถานการณ์วิกฤติที่สุด
เรื่องมาถึงขั้นนี้อยากให้ลงเอยด้วยดีคงไม่ได้แล้ว
หลิวฉุนสบตาเว่ยอู๋เสียเช่นเดียวกัน เขาเหยียดมุมปากขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน
“เชิญท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เขาดึงสายตาคืนแล้วเบี่ยงกายออกด้านข้าง ผายมือไปทางมู่อ๋อง
มู่อ๋องมีสีหน้ายินดี เขาพูดเสียงดังว่า “ใต้เท้าทั้งหลายยังมัวรออะไรอยู่ ตามข้าเข้าไปช่วยฮ่องเต้ให้พ้นภัยกันเถอะ!”
คำว่า ‘ช่วยฮ่องเต้ให้พ้นภัย’ เป็นดั่งเสียงปลุกสติ กอปรกับอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ ส่งผลให้ขุนนางใหญ่ไม่น้อยก้าวเท้าออกเดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เว่ยอู๋เสียเห็นสถานการณ์ชักไม่เข้าที เขารู้ว่าดวลฝีปากต่อไปก็สายเกินการณ์แล้วจึงถอยหลังหนึ่งก้าวพร้อมตะโกนบอกอย่างเด็ดขาดฉับไว “ปิดประตู!”
ในขณะที่ทุกคนยังตั้งตัวไม่ติด ขันทีที่รออยู่ด้านในแต่แรกก็ปิดประตูพระตำหนักอย่างว่องไวจนบังเกิดเสียงปึง
หลิวฉุนตะเบ็งเสียงพูด “ท่านผู้บัญชาการเจียง! พวกข้าต้องการช่วยฮ่องเต้ให้พ้นภัย พวกท่านองครักษ์จินหลินไม่ร่วมมือกับพวกข้าตอนนี้แล้วจะรอไปถึงเมื่อไร”
นัยน์ตาของเจียงหย่วนเฉามีแววยิ้มจุดวาบขึ้น เขากล่าวเสียงกระด้างว่า “จงเปิดประตูพระตำหนัก”
เหตุการณ์ดำเนินไปในทิศทางที่เขาคาดการณ์ไว้แล้ว เพียงแต่ว่ากององครักษ์จินหลินปะทะกับกำลังพลฝ่ายในที่จัดตั้งขึ้นจากพวกขันที ไม่รู้ว่าชัยชนะจะตกอยู่ในมือใครกันแน่
แต่ไรมากององครักษ์จินหลินกับกองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวามีฐานะทัดเทียมเสมอกัน แน่นอนว่ากองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวาย่อมมิได้ปฏิบัติงานเชิงบุ๋นอย่างเดียวเช่นที่รู้กันภายนอก
ภายใต้การนำของเว่ยอู๋เสียมีการก่อตั้งกำลังพลฝ่ายในประจำกองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวา มาตรว่าจำนวนคนไม่มาก แต่เหนือกว่าในด้านฝีมือที่สูงส่งล้ำเลิศ
บัดนี้กำลังพลฝ่ายในประจันหน้ากับกององครักษ์จินหลินที่มีจำนวนมากมาย ฝ่ายหนึ่งอยู่ด้านนอกประตูพระตำหนัก ฝ่ายหนึ่งอยู่ด้านในประตูพระตำหนัก เป็นศึกที่ตั้งรับง่ายจู่โจมยาก ใครแพ้ใครชนะกันแน่นั้นยังยากเกินคาดเดา ทว่าสงครามที่พัวพันยืดเยื้อในคราครั้งนี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว
หลังจากเจียงหย่วนเฉาออกคำสั่ง เหล่าองครักษ์จินหลินตีวงล้อมแล้วเริ่มบุกทลายประตูพระตำหนักอย่างรวดเร็ว
ด้านกำลังพลฝ่ายในใช้บันไดปีนขึ้นไปอยู่บนกำแพง วางลูกธนูพาดสายชะโงกตัวออกมายิงใส่องครักษ์จินหลินตรงหน้าประตูโดยปราศจากความปรานี
เจียงหย่วนเฉาชูมือตะโกนสั่ง “มือธนูเตรียมพร้อม!”
องครักษ์จินหลินที่ยืนอยู่วงนอกพากันยกธนูในมือขึ้นยิงพร้อมกัน ลูกธนูพุ่งลอยไปเหนือกำแพงพระตำหนักประหนึ่งดาวตก เสียงร้องครางโอดโอยดังขึ้นเป็นทอดๆ ในเวลาอันสั้น
ขณะเดียวกันองครักษ์ตรงหน้าประตูเริ่มทยอยล้มลง กลิ่นคาวโลหิตฟุ้งตลบอบอวล ขุนนางใหญ่ที่ร่างกายอ่อนแอได้กลิ่นนี้ก็หน้าซีดทำท่าจะอาเจียนอย่างห้ามไม่อยู่
มู่อ๋องมองดูเหตุการณ์เบื้องหน้า ตรงมุมปากมีรอยยิ้มย่ามใจผุดขึ้น เขาก้มหน้าเรียกคนสนิทมาสั่งกำชับสองสามคำ คนสนิทของเขาพยักหน้าแล้วแอบออกไปเงียบๆ
เมื่อเห็นสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เหล่าขุนนางใหญ่ขยับไปอยู่มุมหนึ่งอย่างอกสั่นขวัญแขวน จากนั้นเริ่มพูดคุยกระซิบกระซาบกัน
“เรื่องในวันนี้คงไม่อาจยุติลงด้วยดีแล้ว ไม่คิดว่าเดินทางมาหลบร้อนครั้งเดียวจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้”
“ฝ่ายหนึ่งเป็นขันทีถือตราลัญจกร ฝ่ายหนึ่งเป็นกองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวา รวมกับกององครักษ์จินหลินอีก สถานการณ์ยิ่งมายิ่งสับสนยุ่งเหยิงแล้วจริงๆ”
มีขุนนางใหญ่เอ่ยขึ้นเสียงเบาๆ “เวลานี้เหตุไฉนรุ่ยอ๋องยังไม่ปรากฏตัวอีก”
ขณะพวกเขาสนทนากันรุ่ยอ๋องก็รุดมาถึงอย่างเร่งร้อน คนที่ติดตามมาด้านหลังคือหวังไห่เทาผู้บัญชาการกององครักษ์จินอู๋
รุ่ยอ๋องเห็นสภาพการณ์เบื้องหน้าก็ตะโกนพูดปนเสียงหอบแฮกๆ โดยไม่รอช้า “น้องหก เจ้าจะก่อกบฏใช่หรือไม่!”
มู่อ๋องเห็นรุ่ยอ๋องมาถึงกลับคึกคักยิ่งขึ้น เขากล่าวกลั้วเสียงหัวเราะดังๆ “พี่ห้า ท่านดูสิว่านี่คืออะไร”
เขาโบก ‘พระราชโองการมอบราชสมบัติ’ ไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย
สายตาของรุ่ยอ๋องนิ่งขึงไปเล็กน้อย จากนั้นเขาแค่นเสียงเยาะ “แค่พระราชโองการปลอมที่เจ้าทำขึ้นเพื่อยึดอำนาจชิงบัลลังก์ เหตุใดข้าต้องดูให้เสียสายตา”
“พี่ห้า ข้าว่าท่านไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ”
รุ่ยอ๋องด่ากลับอย่างไม่ลดราวาศอก “น้องหก ข้าว่าเจ้าต่างหากที่เป็นสุนัขจนตรอก ซุกซ่อนเจตนาร้ายเอาไว้”
เขากล่าวถึงตรงนี้แล้วตะเบ็งเสียงบอก “ท่านผู้บัญชาการหวัง ยังไม่รีบช่วยพวกท่านหัวหน้ากองตรวจสอบพิเศษจับกุมโจรกบฏที่ก่อความไม่สงบเหล่านี้เสีย!”
หวังไห่เทาที่ตามหลังรุ่ยอ๋องมาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของชายารุ่ยอ๋องที่ล่วงลับไป เพลานี้เขาย่อมจะชูธงอยู่ฝ่ายเดียวกับรุ่ยอ๋องอย่างเปิดเผย พอได้ยินรุ่ยอ๋องกล่าวคำนี้ก็เอ่ยตอบเสียงดังทันใด “พ่ะย่ะค่ะ!”
แล้วในจังหวะนี้เองมีเสียงฝีเท้านับไม่ถ้วนดังลอยมาอีก
ทุกคนมองไปทางต้นเสียง คนกลุ่มหนึ่งในชุดองครักษ์อวี่หลินพร้อมอาวุธครบมือรุดมาถึงแล้ว
ชั่วพริบตาพวกเขาก็มาถึงเบื้องหน้าสายตาอย่างว่องไวดุจสายลม วั่นตงหยางผู้บัญชาการกององครักษ์อวี่หลินประสานมือเดินนำหน้าเข้าไปคำนับมู่อ๋อง “กระหม่อมได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงถูกคนโฉดชั่วปองร้ายจึงมาช่วยเหลือโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ”
มู่อ๋องยกมือชี้ไปที่หวังไห่เทา “ผู้บัญชาการวั่น ยังไม่จับตัวขุนนางกบฏที่ก่อความวุ่นวายผู้นี้ให้ข้าอีก”
“พ่ะย่ะค่ะ” วั่นตงหยางหมุนกายไปมองหวังไห่เทา เขาเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม โบกฝ่ามือพลางพูด “พี่น้องทั้งหลาย บุก! จับตัวโจรกบฏช่วยฮ่องเต้!”
หวังไห่เทาไม่ยอมให้อีกฝ่ายใช้วาจาชิงความได้เปรียบอย่างแน่นอน เขาพูดตามทันที “ปราบพวกกบฏที่จะยึดอำนาจชิงบัลลังก์พวกนี้ให้ได้ ทุกคนบุก!”
ชั่วครู่เดียวทั้งสองฝ่ายก็ปะทะกันอุตลุด
เพราะฮ่องเต้หมิงคังกำหนดการเดินทางครั้งนี้อย่างฉุกละหุก เพียงนำกองกำลังรักษาวังติดตามมาสามหน่วย คือองครักษ์จินหลิน องครักษ์จินอู๋ และองครักษ์อวี่หลิน
แน่นอนว่าองครักษ์จินอู๋และองครักษ์อวี่หลินสองกองนี้ยังแบ่งเป็นหน่วยซ้ายขวาหน้าหลังอีก
ขณะนี้กององครักษ์ใหญ่สามกองและกำลังพลฝ่ายในของกองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวาล้วนต่อสู้โรมรันกันเป็นพัลวันและดุเดือดเลือดพล่านสุดจะพรรณนา
เวลาล่วงผ่านไปช้าๆ ท่ามกลางการสู้รบที่โหดร้ายรุนแรงเช่นนี้ ทันใดนั้นธนูลูกหลงดอกหนึ่งก็เสียบเข้ากลางอกรองเสนาบดีกรมพิธีการพอดี เขาร้องโหยหวนเสียงหนึ่งก่อนล้มลง แต่คนด้านข้างมือไวตาไวประคองไว้
“ใต้เท้าหลู! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” คนรอบข้างรุมล้อมเข้ามาถามไถ่
ริมฝีปากของรองเสนาบดีหลูสั่นกระตุก เขายังไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียวก็ตาเหลือกลานขาดใจตายฉับพลัน
“ใต้เท้าหลู!”
รองเสนาบดีกรมพิธีการตายอนาถอย่างคาดไม่ถึงสร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงให้แก่บรรดาขุนนางทั้งหลายยกใหญ่
สวี่หมิงต๋าตะโกนบอกอย่างเฉียบขาด “ดาบกระบี่ไร้ตา ใต้เท้าทุกท่านตามข้าไปหลบอยู่ทางโน้น!”
เขานำพาเหล่าขุนนางถอยออกไปอย่างรวดเร็วดุจกระแสน้ำลง จากนั้นยืนดูสถานการณ์รบจากจุดที่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ท้องฟ้ามืดลงทีละน้อย การเข่นฆ่าสังหารยังไม่ยุติลง กลิ่นคาวเลือดยิ่งฉุนแรงขึ้น
ขุนนางฝ่ายบุ๋นและแม่ทัพนายกองต่างรวมตัวกันอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
ขืนฆ่าฟันกันต่อไปอย่างนี้ ต่อให้รู้ผลแพ้ชนะในตอนท้ายก็ต้องหลั่งเลือดนองแผ่นดินเป็นแน่
เพลานี้พวกเขาถึงขั้นบอกไม่ถูกว่าวาดหวังให้ฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ
บรรยากาศยิ่งมายิ่งเขม็งเกลียว ยามนี้เองไม่รู้เป็นผู้ใดที่เอ่ยขึ้นมา “ไฉนกวนจวินโหวไม่อยู่เล่า”
พอเกิดความวุ่นวายใหญ่โตถึงเพียงนี้ มีขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่มาหลบร้อนในคราวนี้มากกว่าครึ่งพากันมาดูเหตุการณ์ แต่กลับไม่เห็นวี่แววของกวนจวินโหว
“กวนจวินโหวต่างหากที่เป็นคนฉลาด ตอนนี้สองฝ่ายปะทะกันหนักหน่วงเช่นนี้ อีกทั้งล้วนเป็นสายเลือดมังกร ถ้าเขามาแล้วจะช่วยฝ่ายใดดีเล่า”
เหล่าขุนนางนิ่งเงียบไปตามๆ กัน
ไม่ว่าพวกเขามีใจโน้มเอียงไปทางฝ่ายใด ขณะที่ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะล้วนไม่อาจเปิดเผยออกมาได้
“ท่านหัวหน้ากอง พวกเราต้านทานไว้ได้อีกไม่นานแล้วขอรับ” ขันทีผู้หนึ่งเช็ดเลือดที่กระเด็นโดนใบหน้าออกแล้วตะโกนบอกเสียงรัวเร็ว
เว่ยอู๋เสียหันไปมองพระตำหนักที่มีแสงไฟสว่างไสวแวบหนึ่งด้วยสีหน้าที่ฉายอารมณ์ปรวนแปร เขาเรียกคนสนิทมาแล้วบอกว่า “เจ้าเล็ดลอดออกไปทางด้านหลังขอพบกวนจวินโหว ขอร้องให้เขาพาฮูหยินของเขามาที่นี่ให้ได้”