หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 787
บทที่ 787
พระตำหนักที่ประทับสร้างติดกับภูเขา ด้านหลังเป็นหน้าผาลาดชัน แม้นทำประตูลับไว้จุดหนึ่งแต่จะเข้าออกตามปกตินั้นเป็นไปไม่ได้
ขันทีที่ได้รับคำสั่งจากเว่ยอู๋เสียเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง เขาไถลตัวลงไปตามหน้าผาอย่างคล่องแคล่วว่องไว ตอนถึงพื้นร่างเขาซวนเซไปเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนมีฝนตกหนัก ทำให้ถนนบนภูเขาลื่นแฉะ
เขาทรงตัวได้แล้ววิ่งทะยานเข้าสู่ผืนความมืดอย่างเร็วรี่
ขณะนี้เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนยังไม่เข้านอนเป็นธรรมดา ทั้งคู่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองไปทางพระตำหนักที่ฮ่องเต้หมิงคังจำศีลอยู่
เสียงต่อสู้ฆ่าฟันดังแว่วๆ อยู่ในม่านราตรี ยืนอยู่ตรงนี้ยังคล้ายได้กลิ่นคาวโลหิต ลมภูเขาพัดกระทบใบหน้า มาตรว่าจะเป็นกลางฤดูร้อน ยังรู้สึกถึงไอความเย็นแผ่คลุมมา
เซ่าหมิงยวนหยิบเสื้อคลุมตัวนอกห่มร่างเฉียวเจา ก่อนโอบไหล่นางพลางถามเสียงนุ่ม “หนาวหรือไม่”
นางเงยหน้าคลี่ยิ้ม “พอไหว ข้าเดาว่ากำลังจะมีคนมาแล้ว”
เซ่าหมิงยวนแค่นหัวเราะ “พอเกิดเรื่องขึ้นกับฮ่องเต้ พวกเสือสิงห์กระทิงแรดก็ถูกล่อออกมาหมดจริงๆ ตอนนี้องครักษ์จินหลิน องครักษ์จินอู๋ องครักษ์อวี่หลิน และกำลังพลฝ่ายในของกองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวาล้วนเข้าร่วมวงในครั้งนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดชนะ เขาชิงเหลียงแห่งนี้ล้วนต้องถูกล้างด้วยเลือดแล้ว”
เฉียวเจามองออกไปนอกหน้าต่าง “ฮ่องเต้ทรงหมกมุ่นกับการบำเพ็ญตบะ ไม่ยอมแต่งตั้งรัชทายาทเสียที บทลงเอยในวันนี้เป็นผลกรรมในวันวานนั่นเอง”
ขณะเขากับนางพูดคุยกันอยู่ เฉินกวงส่งเสียงรายงานจากนอกประตู “ท่านแม่ทัพ ผู้ใต้อาณัติของเว่ยกงกงขอพบขอรับ”
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาสบตากัน ต่างไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย
“เชิญเขาเข้ามา”
ทั้งคู่ก้าวเข้าไปในโถงรับรองก็เห็นผู้มาเยือน
เขามีอายุราวสามสิบเศษ แววตาสงบเยือกเย็น สีหน้ากร้าวแกร่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีวิชายุทธ์ไม่เลว เขาเห็นพวกเฉียวเจาแล้วแสดงคารวะทันที
“คารวะท่านโหวและฮูหยินขอรับ”
“กงกงไม่ต้องมากพิธี ไม่ทราบว่าท่านมาเยือนในเวลานี้ด้วยเรื่องใด”
ขันทีกล่าวอย่างฉับไว “มู่อ๋องพูดจาหว่านล้อมองครักษ์จินหลินกับองครักษ์อวี่หลินได้แล้ว ตอนนี้กำลังจะบุกเข้าพระตำหนัก ฝ่ายของพวกข้าคงต้านทานต่อไปได้อีกไม่นาน ดังนั้นท่านหัวหน้ากองจึงสั่งให้ข้ามาขอให้ท่านโหวช่วยพวกข้าอีกแรงหนึ่งขอรับ”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้ากองต้องการให้ข้าช่วยพวกท่านอีกแรงเช่นไรเล่า”
ขันทีตวัดสายตามองเฉียวเจาแวบหนึ่ง “ฮูหยินของท่านโหวมีวิชาแพทย์ลึกล้ำ ท่านหัวหน้ากองขอร้องให้ท่านไปที่นั่น พยายามหาทางทำให้ฮ่องเต้ทรงฟื้นเร็วขึ้นจึงจะหยุดยั้งการยึดอำนาจในครานี้ได้ขอรับ”
“ไม่ได้” ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง “การยึดอำนาจมีอันตรายเพียงใดไม่ต้องให้ข้าพูดมากความ จะอย่างไรก็ตามนี่เป็นเรื่องของพวกบุรุษ ข้าจะให้ฮูหยินข้าไปเสี่ยงภัยได้อย่างไร”
“ท่านโหว ท่านหัวหน้ากองของพวกเข้าบอกว่าขอเพียงฮูหยินของท่านโหวไปได้ จะคำนึงถึงความปลอดภัยของฮูหยินเป็นอันดับแรก ต่อให้ประตูพระตำหนักถูกพังทลายลง พวกข้าจะพาฮูหยินของท่านโหวส่งออกไปทางประตูลับอย่างทันท่วงที ไม่ให้นางตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด”
“แต่บางครั้งคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต…” เซ่าหมิงยวนยังคงไม่ใจอ่อนยอมรับปาก
ความจริงเขากับเฉียวเจาเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าหากเว่ยอู๋เสียส่งคนมาเชิญ สุดท้ายก็จะตามเขาไปที่นั่น
เพื่อชีวิตที่สุขสงบตลอดไปในภายภาคหน้า รุ่ยอ๋องจะต้องเป็นผู้ชนะในการต่อสู้นี้ ดังนั้นการเสี่ยงอันตรายในครานี้เป็นเรื่องจำเป็นและคุ้มค่า
แต่เซ่าหมิงยวนย่อมไม่ตอบตกลงง่ายๆ อยู่แล้ว
“ท่านโหว หรือท่านหักใจทนดูให้เลือดไหลเป็นสายน้ำที่เขาชิงเหลียง แผ่นดินต้าเหลียงต้องลุกเป็นไฟเพราะพวกโจรกบฏขอรับ”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “ข้าแบกรับภาระนี้ไม่ไหวหรอก ข้าขอย้ำคำเดิมการแย่งชิงความเป็นใหญ่ในใต้หล้าเป็นเรื่องบุรุษ จะหน้าที่ความรับผิดชอบอะไรก็ตามล้วนไม่ตกอยู่แก่ตัวฮูหยินของข้า”
“คำกล่าวนี้ของท่านโหวไม่ผิดเลย ทว่าทันทีที่มู่อ๋องได้สมใจหมาย จะมีขุนนางผู้สูงศักดิ์ต้องเสียเลือดเสียเนื้ออีกเท่าไรก็สุดรู้ ท่านโหวหมายจะปกป้องครอบครัวให้ปลอดภัยเกรงว่าจะมิใช่เรื่องง่าย…”
เฉียวเจาเห็นว่าพวกเขาพูดโต้ตอบกันไปมาพอสมควรแล้วก็ปริปากขึ้นในที่สุด “ถิงเฉวียน ฮ่องเต้ทรงมีภัย ข้าในฐานะราษฎรชาวต้าเหลียงพึงควรทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ ก็ตามกงกงท่านนี้ไปดูสักหน่อยเถอะ”
ขันทีได้ยินนางเอ่ยปากแล้วอดระบายลมหายใจเฮือกไม่ได้ เขามองนางด้วยสายตาตื้นตันใจแทบน้ำตาไหลเลยทีเดียว
ท่านหัวหน้ากองสั่งไว้ว่าถ้าเขาเชิญฮูหยินของกวนจวินโหวไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกลับไปอีก ให้จบชีวิตของตนเองไปเสียเลย
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า” เซ่าหมิงยวนกุมมือนาง พอเห็นขันทีขยับปากจะพูดอะไรบางอย่าง เขากล่าวเสียงปึ่งชา “จุดนี้ไม่เปลี่ยนแปลงเด็ดขาด”
“ตกลงขอรับ ฮูหยินท่านโหวเตรียมตัวพร้อมแล้วเชิญตามข้าน้อยไปเถอะ”
ทั้งสองเปลี่ยนรองเท้าสำหรับออกไปข้างนอก จากนั้นอาศัยความมืดบดบังติดตามขันทีมุ่งหน้าไปยังพระตำหนักที่ประทับ
ถึงแม้การเข้าทางภูเขาด้านหลังจะลำบากยากเย็น แต่เซ่าหมิงยวนรับมือเรื่องเช่นนี้ได้สบายมาก เขาให้เฉียวเจาขี่หลังแล้วเผ่นโผนโจนทะยานไปกลางป่าเขาละม้ายวานร ไม่นานนักก็ได้พบกับเว่ยอู๋เสีย
เขาเห็นคนทั้งคู่แล้วเผยรอยยิ้มเหมือนยกภูเขาออกจากอก “ท่านโหวกับฮูหยินมาถึงเสียที พวกท่านตามข้ามาโดยไว”
เว่ยอู๋เสียนำทางพาเข้าไป ชั่วครู่เดียวเฉียวเจาก็ได้พบกับฮ่องเต้หมิงคัง
ฮ่องเต้หมิงคังนอนนิ่งอยู่บนแท่นบรรทม ม่านโปร่งบางซ้อนกันหลายชั้นถูกรวบขึ้นเผยให้เห็นดวงหน้าขาวซีดแกมเขียวจางๆ
ยามนี้บุรุษผู้เคยอยู่บนจุดสูงสุดดูไปแล้วไม่แตกต่างอันใดกับคนชราทั่วไปที่ป่วยหนักร่อแร่
เฉียวเจาสาวเท้าเข้าไป
“ฮูหยินท่านโหว ท่านเห็นว่าฮ่องเต้จะทรงฟื้นเร็วขึ้นได้หรือไม่” เว่ยอู๋เสียเอ่ยถามอย่างกระวนกระวายใจยิ่ง
นางยื่นมือไปแตะข้อมือของฮ่องเต้หมิงคัง เม้มปากไม่พูดไม่จาอยู่นานสองนาน
เว่ยอู๋เสียวิตกกังวลมากขึ้น เขายกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากอย่างห้ามไม่อยู่
มู่อ๋องก่อเหตุขึ้นในครั้งนี้ดึงเอากองกำลังรักษาวังทั้งหมดเข้ามาประหัตประหารกันจนกลายเป็นเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงเลย
หากต้องรอฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาในอีกสองวันให้หลัง หวั่นใจว่าทุกอย่างจะสายเกินไป
เวลาผ่านไปทีละน้อยทีละนิด เฉียวเจาดึงมือกลับแล้วมองไปทางเว่ยอู๋เสีย “เว่ยกงกง ด้านนอกยังต้านทานได้อีกนานเท่าไร”
เขายังไม่ทันอ้าปากตอบ นางก็ถามซ้ำขึ้นครา “เมื่อทุ่มกำลังต้านทานไว้เต็มที่ สามารถยันไว้ได้นานเพียงใด”
เว่ยอู๋เสียตรึกตรองแล้วเอ่ยตอบ “อย่างมากถึงยามอู่พรุ่งนี้”
“ไม่ได้ เวลานั้นไม่ได้” เฉียวเจาส่ายหน้าทันใด “ข้าทำให้ฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นได้เร็วที่สุดคือพลบค่ำวันพรุ่งนี้ เร็วกว่านี้ก็สุดปัญญาแล้ว”
“แต่ว่า…”
“เว่ยกงกง ข้าเพิ่งก้าวเข้าสู่วิถีแห่งแพทย์ได้ไม่นาน หาใช่เทวดาเดินดินไม่”
สีหน้าของเว่ยอู๋เสียฉายอารมณ์ปรวนแปร เขาลังเลอยู่เป็นนานถึงกัดฟันกล่าวว่า “ได้ เช่นนั้นก็ยามพลบค่ำวันพรุ่งนี้”
เฉียวเจาพูดขึ้นอีก “ถึงกระนั้นก็ตามที ทำให้ฮ่องเต้ทรงฟื้นเร็วขึ้นยังมีผลเสียด้วย”
“ผลเสียอะไร”
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วกระมังว่าถึงฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมาก็อยู่ต่อได้นานเค่อเดียว หากฟื้นเร็วขึ้นล่ะก็…”
“หรือว่าจะอยู่ได้ไม่ถึงแม้สักชั่วเค่อหนึ่ง?”
“กลับมิใช่ แต่หลังจากฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมาจะมีโลหิตไหลจากทวารทั้งเจ็ดจนสวรรคต ถึงตอนนั้นควรจะให้คำอธิบายต่อเหล่าขุนนางผู้สูงศักดิ์เช่นไร ยังเป็นเรื่องน่าปวดเศียรเวียนเกล้าสำหรับเว่ยกงกงแล้ว”
เว่ยอู๋เสียมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่ในสภาพการณ์ยามนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้วเลยได้แต่พยักหน้า “เรื่องนี้ข้าจะคิดวิธีเอง ตอนนี้เชิญฮูหยินท่านโหวฝังเข็มเถอะ”
“เว่ยกงกงตรองดูดีแล้วจริงๆ นะ” เฉียวเจาหยิบเข็มเงินออกมา นางขอคำยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย “เมื่อฝังเข็มนี้ลงไปก็จะไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก”
“ข้าคิดดีแล้ว เชิญฮูหยินฝังเข็มได้เลย!”
เฉียวเจาพยักหน้า นางจับเข็มในมือแน่นๆ แล้วแทงลงไปที่จุดชีพจรกลางกระหม่อมของฮ่องเต้หมิงคัง
ชั่วพริบตานั้นคิ้วของฮ่องเต้หมิงคังกระตุกริกๆ เว่ยอู๋เสียแทบลงไปหมอบกับพื้น แต่พอมองปราดหนึ่งฮ่องเต้ยังอยู่ในสภาพคนตายที่ยังหายใจอยู่ดังเก่า เขาถึงคลายความตกใจลงได้