หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 794
บทที่ 794
รุ่ยอ๋องฟังแล้วเข่าอ่อนยวบ “ท่านโหว สะ…สูงถึงเพียงนี้ แล้วข้าก็ว่ายน้ำ…ไม่เป็น…”
ฉือชั่นแย้มปากยิ้ม “ท่านอ๋องวางพระทัย ข้าว่ายน้ำได้ไม่เลว”
รุ่ยอ๋องกลับไม่วางใจมากขึ้น เขาไม่เชื่อหรอกว่าในช่วงความเป็นความตายญาติผู้น้องที่ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมมาแต่วัยเยาว์จะคุ้มครองเขาได้
“ท่านโหว หรือไม่ท่านอยู่พาข้ากระโดดน้ำดีกว่ากระมัง”
“ท่านอ๋องทรงลืมไปแล้วหรือ กระหม่อมยังต้องไปดูข้างหน้าอีก”
รุ่ยอ๋องอารมณ์เย็นลงทันควัน หากทัพหนุนรุดมาถึงทันเวลา เขาก็ไม่ต้องกระโดดหน้าผาแล้ว
เซ่าหมิงยวนพยักหน้ากับหวังไห่เทาผู้บัญชาการกองครักษ์จินอู๋ “ใต้เท้าหวัง ทางนี้ขอมอบเป็นหน้าที่ท่านแล้ว”
พอเห็นเขาพาเฉียวเจาเดินไปข้างหน้า หวังไห่เทาอดพูดขึ้นไม่ได้ “ท่านโหว ด้านหน้าไฟไหม้รุนแรงเหลือเกิน ท่านไปเช่นนี้เกรงว่า…”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “ข้าจะคิดหาหนทางอื่นเอง”
พวกเซ่าจือติดตามไปเงียบๆ
ขณะนี้พระตำหนักกลายเป็นทะเลเพลิงโหมไหม้หนักหน่วง เปลวไฟลุกโชนสูงเสียดฟ้า
เขากุมมือเฉียวเจาแน่นพลางบอกเสียงนุ่มว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไรแน่”
“อื้อ” นางผงกศีรษะเบาๆ
เซ่าจือพลันหมอบลงเอียงหูแนบพื้นฟังเสียง
เซ่าหมิงยวนดึงเฉียวเจาให้หยุดยืนนิ่ง
ไม่ถึงชั่วครู่เซ่าจือเด้งตัวขึ้น รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ท่านแม่ทัพขอรับ ทัพหนุนน่าจะมาถึงแล้ว”
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนผ่อนคลายลงกว่าเดิม “เช่นนั้นก็ดำเนินการตามแผน”
“น้อมรับคำสั่ง”
พวกเซ่าจือแยกย้ายกันไต่ลงไปตามหน้าผาลาดชันอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวประหนึ่งวานร
เซ่าหมิงยวนย่อเข่าลงพลางบอกเฉียวเจา “ขี่หลังข้า”
นางขึ้นไปเกาะบนหลังเขาโดยไม่อิดเอื้อนรีรอ
แผ่นหลังของชายหนุ่มกว้างบึกบึนให้ความรู้สึกมั่นคงล้นเหลือดุจขุนเขา
เฉียวเจาแทบไม่รู้สึกโคลงเคลงสักเท่าไร บุรุษที่แบกนางไว้บนหลังเผ่นโผนไปมาไม่กี่ทีก็ปีนป่ายลงจากหน้าผา จากนั้นลอดผ่านช่องตรงไหล่เขาเลี้ยวเข้าถนนเล็กๆ สายหนึ่ง
เจียงหย่วนเฉามองดูพระเพลิงลุกไหม้รุนแรงขึ้นทุกทีๆ พลางชูมือสั่งให้หยุดโจมตี
“นายน้อย ไม่โจมตีต่อแล้วหรือขอรับ”
เขาส่ายหน้า “ไม่จำเป็นแล้ว ด้านหลังเรือนพำนักของรุ่ยอ๋องเป็นหน้าผาสูงชัน ตอนนี้พวกเขาน่าจะถอยร่นไปอยู่ตรงนั้น พวกเราแค่ดักอยู่ที่ทางออกตรงหุบเขาด้านล่าง ต่อให้พวกเขากระโดดหน้าผาก็ยากจะติดปีกบินหนี”
คนด้านข้างเริ่มหัวร่อไปตามๆ กัน “นายน้อยเหนือชั้นจริงๆ เลือกจู่โจมในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด ทำให้รุ่ยอ๋องกับพวกสุนัขรับใช้ทั้งหลายกลายเป็นตะพาบในไหไปแล้ว”
“ฮ่าๆๆ นายน้อยเหนือชั้น!” ทุกคนหัวเราะเสียงดัง
เจียงหย่วนเฉามองดูเปลวไฟที่ลุกลามไปทั่วพร้อมรอยยิ้มผุดขึ้นที่มาปาก แต่จู่ๆ เขาก็หน้าเปลี่ยนสีแล้วหันไปมองบางจุด
ขณะนี้เป็นเวลาก่อนอรุณรุ่งพอดี ดวงดาวบนฟ้าล้วนหม่นแสง แต่เพราะเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่นี้ท้องฟ้าจึงยังไม่มืดมิดลง
ท่ามกลางแสงเพลิงเขามองเห็นคนจำนวนมากมายกำลังแห่แหนมาทางนี้จนมืดฟ้ามัวดิน เสียงฝีเท้ากระทบพื้นทรงพลังเป็นระเบียบราวกับว่าภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนตามไปด้วย
“นายน้อย นั่นคืออะไร” สีหน้าของคนด้านข้างเปลี่ยนไปทันใด
ดวงตาของเจียงหย่วนเฉาทอแววเครียด เขาเห็นอักษรคำว่า ‘เซ่า’ บนผืนธงได้รางๆ
“ทัพเป่ยเจิง” หลังทอดสายตามองครู่หนึ่งเขาก็มั่นใจในการคาดเดาของตนในที่สุด
ในกองทัพเป่ยเจิงมีทหารมากกว่าครึ่งที่ออกปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ธงสัญลักษณ์ของกองทัพสกุลเซ่า
“เหตุใดถึงมีทัพเป่ยเจิงได้”
เจียงหย่วนเฉาแค่นเสียงเยาะ “ต้องเป็นกวนจวินโหวแอบเคลื่อนกำลังทหารมาเองอยู่แล้ว”
เหตุการณ์ยึดอำนาจเมื่อสองวันก่อนเป็นเขาวางอุบายอยู่ลับหลัง บัดนี้ดูไปแล้วกวนจวินโหวก็มิได้อยู่เฉยเช่นกัน
“นายน้อย ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี”
เจียงหย่วนเฉาชักดาบยาวตรงเอวออกมา “ยังจะทำอย่างไรได้ ย่อมต้องรับศึกแน่นอน”
กองทัพสกุลเซ่าตีวงล้อมเข้ามาอย่างว่องไว ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอุตลุดทันที
เซ่าหมิงยวนยืนอยู่บนที่สูง ใช้สัญญาณมือสั่งการจัดกระบวนทัพสู้รบ ด้านข้างเขามีเงาร่างเล็กอ้อนแอ้นยืนอยู่
ภายใต้การบัญชาการรบของชายหนุ่ม เหล่าทหารของกองทัพสกุลเซ่ามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อีกทั้งได้เปรียบในเรื่องจำนวนคน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วคนของฝ่ายเจียงหย่วนเฉาก็กลายเป็นเม็ดทรายกระจัดกระจาย ไม่นานนักก็เริ่มเพลี่ยงพล้ำล่าถอยไปเรื่อยๆ
แสงแรกของวันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้าลอยเคลื่อนขึ้นไปเหนือยอดเขา
พระเพลิงโหมแรงดับมอดแล้ว เผยให้เห็นซากปรักหักพังดำเป็นตอตะโกกับศพคนไหม้เกรียม
ทว่าเศษซากไหม้สีดำพวกนี้ถูกชโลมด้วยเลือดสดๆ สีแดงฉานอีกครา
แต่โลหิตที่หลั่งไหลในครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นของพรรคพวกกบฏของซู่อ๋อง
“นายน้อย ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังคนมากเหลือเกิน อีกทั้งกรำศึกมาอย่างโชกโชน คนของพวกเราใกล้จะต้านทานไม่อยู่แล้ว” กลางสมรภูมิอันดุเดือดคนผู้หนึ่งใช้ดาบสกัดทวนยาวที่แทงมาแล้วกล่าวเสียงกระหืดกระหอบ
เจียงหย่วนเฉาตวัดดาบยาวฟันทหารนายหนึ่งกระเด็นออกไปแล้วเอ่ยเสียงกระด้าง “ต้านไม่อยู่ก็ต้องต้าน!”
เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามเศษสถานการณ์รบโหดร้ายรุนแรงขึ้น
คนผู้หนึ่งกุมแขนที่ขาดไว้ ก่อนพูดเสียงแตกพร่าว่า “นายน้อย ให้ข้าคุ้มกันท่านถอยออกไปก่อนเถอะ”
เจียงหย่วนเฉาไม่หยุดมือ “ถอยอะไร สู้ต่อ!”
คนผู้นั้นร้อนใจแล้ว “นายน้อย ตราบเท่าที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา* นะขอรับ”
เจียงหย่วนเฉาที่กำลังเลือดเข้าตาไม่โอนเอนคล้อยตาม
ตราบเท่าที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผาคืออะไรกัน
คนพวกนี้กบดานมายี่สิบกว่าปี พอเปรียบเทียบกับคนของกวนจวินโหวตอนนี้ถึงรู้ว่าอ่อนด้อยปานใด
การหลบซ่อนมาเนิ่นนานหลายปีได้เปลี่ยนพวกเขาไปแล้ว พวกเขาไม่ใช่ทหารนักรบที่ดีอีกต่อไป อีกทั้งไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าชาวป่าชาวเขาสักเพียงใด หากกบดานต่อไป หรือว่าอีกหลายปีให้หลังจะให้นำพาตาเฒ่าโขยงหนึ่งมาชิงแผ่นดินคืน
ส่วนเขานั้นเพราะการเดินทางไปหลิ่งหนานคราหนึ่งทำให้สืบพบศักดิ์ฐานะที่แท้จริงของตน
จากขอทานเร่ร่อนข้างถนนกลายเป็นบุตรชายบุญธรรมของเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินจนมาถึงบุตรกำพร้าของซู่อ๋อง เขายังต้องอดกลั้นไปถึงเมื่อไรจึงจะครอบครองสิ่งที่ตนปรารถนาได้อย่างเปิดเผยเต็มภาคภูมิ
เจียงหย่วนเฉาทอดสายตาฝ่าประกายเงาดาบกระบี่ไปทางหน้าผาเวิ้งว้างไม่ไกล
ล้วนแซ่เจียงเหมือนกัน มีสายเลือดสูงศักดิ์ไหลเวียนอยู่ในกายเหมือนกัน อาศัยอะไรต้องยกบัลลังก์ให้คนไร้ค่าเฉกรุ่ยอ๋องเท่านั้น
เขาไขว่คว้าจังหวะที่ดีที่สุดไว้ได้แล้ว หากยังทำการไม่สำเร็จ วันหน้าก็ไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว
เขาหนีไปแล้วจะมีอันใด
ถึงตอนนั้นเขาต้องเก็บชื่อแซ่เป็นความลับ หลบหนีซ่อนตัวไปทุกที่เหมือนสุนัขเร่ร่อน
เขาไม่ยอมมีชีวิตอยู่อย่างนั้นเด็ดขาด!
สีหน้าของเจียงหย่วนเฉาทอแววเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น เขาฟันดาบใส่คอผู้โจมตีฉับ
ศีรษะของคนผู้นั้นลอยกระเด็นไป โลหิตอุ่นจัดสาดกระเซ็นเปรอะทั่วร่างของเขา
เจียงหย่วนเฉาเช็ดคราบเลือดที่กระเด็นโดนใบหน้าเขาออก เผยรอยยิ้มอย่างตัดสินใจสู้ตาย
ให้เขาทุ่มสุดกำลังสักตั้ง ไม่สำเร็จก็ชีพดับอย่างมีศักดิ์ศรี
เมื่อฟ้าสว่างมากขึ้นเสียงต่อสู้ฆ่าฟันค่อยๆ เบาบางลง กองทัพสกุลเซ่าเริ่มกลายเป็นฝ่ายไล่ต้อนสังหารพรรคพวกกบฏของซู่อ๋อง
“นายน้อย ขอร้องท่านล่ะ ท่านรีบหนีเถอะ ขืนไม่หนีอีกจะไม่ทันกาลแล้วจริงๆ”
“นั่นสิ ใต้เท้า พวกเราถอยก่อนเถอะ จะทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ไม่ได้นะขอรับ” เจียงเฮ่อช่วยพูดกล่อมด้วย
เจียงหย่วนเฉาหันดาบยาวมาจ่อปลายจมูกเขา ก่อนพูดเสียงห้วนว่า “หากพูดพล่ามอีกข้าจะฆ่าพวกเจ้าก่อนเลย”
เจียงเฮ่อกระทืบเท้าแล้วไม่พูดอะไรอีก ถ้ารู้แต่แรกว่าจะลงเอยเช่นนี้ที่เขาอุตส่าห์ฝึกปรือวิชาแปลงโฉมปลอมตัวเป็นขอทานก็เสียเปล่าไปแล้วจริงๆ
“ใต้เท้าเจียง มาถึงขั้นนี้แล้วท่านยังจะดันทุรังอีกหรือ” สุ้มเสียงสงบนิ่งของบุรุษแทรกขึ้นกลางเสียงอาวุธกระทบกัน ทั้งที่ไม่ใช่เสียงดังก้องแต่กลับลอยมากระทบหู
เจียงหย่วนเฉามองเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่งแล้วเบนสายตาไปหยุดที่ใบหน้าของเฉียวเจา
“ใต้เท้าเจียง ท่านยอมแพ้เถอะ” เซ่าหมิงยวนกล่าวเสียงเรียบๆ
* ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา หมายถึงตราบใดที่ยังมีชีวิต ตราบนั้นก็ยังมีอนาคตและความหวัง