หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 796
บทที่ 796
เจียงหย่วนเฉาล้มลงแล้วร่วงหล่นจากหน้าผาไปอย่างรวดเร็ว
“ใต้เท้า…” เสียงตะโกนร้องเรียกราวกับจะขาดใจดังขึ้น เจียงเฮ่อวิ่งถลาเข้ามา เขามองดูกองเลือดริมหน้าผากับเงาร่างที่ค่อยๆ กลายเป็นจุดสีดำนั่นพลางแผดเสียงร่ำไห้
“ใต้เท้า ท่านจะตายได้อย่างไรกัน ข้าไม่เชื่อๆ” หลังจากร้องไห้ครู่หนึ่งเจียงเฮ่อตะกายตัวลุกขึ้นมองเซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาอย่างระแวดระวัง
“พวกเจ้าอย่าเข้ามานะ ข้าขอเตือนไว้ก่อน พวกเจ้าอย่าเข้ามาเป็นอันขาด”
เพลานี้ทั้งสองได้แต่นิ่งเงียบเท่านั้น
เจียงเฮ่อเช็ดน้ำตาแล้วออกเดินไปทางริมหน้าผาก้าวหนึ่งก็หยุดชะงักคล้ายคิดอะไรขึ้นได้ เขาจึงพูดกับเฉียวเจา “คุณหนูหลีซาน ถึงแม้ใต้เท้าของข้าไม่ต้องการแล้ว แต่ข้ายังอยากอธิบายแทนใต้เท้าสักหน่อย ตอนที่ท่านถูกคนของซู่อ๋องลักพาตัวไป ใต้เท้าของข้าไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น พอใต้เท้าได้ข่าวก็ไปช่วยท่านทันที”
เจียงเฮ่อยิ่งพูดยิ่งคับข้องหมองใจแทนผู้เป็นนาย เขายกมือปาดน้ำตา “เห็นท่านได้รับบาดเจ็บ ใต้เท้าของข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่าทำผิดต่อท่าน แต่ตอนคนพวกนั้นทำร้ายท่านใต้เท้าไม่ล่วงรู้จริงๆ ท่านต้องเชื่อข้านะ”
“ข้าเชื่อเจ้า” เฉียวเจากล่าวเสียงเบา
เจียงเฮ่อเผยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า “ท่านเชื่อก็ดีแล้ว ข้า…ข้าไปหาใต้เท้าของข้าแล้วนะ ใต้เท้าของข้าเก่งกาจกล้าหาญ ไม่มีทางตายเช่นนี้แน่นอน ไม่แน่ว่าตอนนี้ใต้เท้ากำลังรอข้าพันแผลให้อยู่…”
ยามเสียงกล่าวถ้อยคำหลังขาดหายไปในสายลม เขาก็กระโจนกายลงจากหน้าผาไปแล้ว
ตรงริมหน้าผาเกิดลมแรงขึ้นดังฟิ้วๆ พัดมากระทบตัวคน ทั้งที่เป็นกลางฤดูร้อนกลับทำให้สั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย
เฉียวเจายืนนิ่งๆ เป็นเวลานานเท่าไรก็สุดรู้ นางรู้สึกแสบตึงผิวหน้าเลยยกมือขึ้นจับ ถึงพบว่ามีคราบน้ำตาไหลผ่านข้างแก้มที่เย็นเฉียบ
“เจาเจา พวกเราไปกันเถอะ” เซ่าหมิงยวนโอบไหล่นาง
ดังคำกล่าวว่าอุดมการณ์ต่างกัน ไม่อาจเดินเส้นทางเดียวกัน ถึงที่สุดแล้วเขากับเจียงหย่วนเฉาก็อยู่ร่วมกันไม่ได้ คนหนึ่งตายคนหนึ่งอยู่คงเป็นบทลงเอยที่ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว
“อื้อ” เฉียวเจาพยักหน้า
ระหว่างทางที่เดินกลับไปภาพเรื่องราวต่างๆ ในอดีตผุดขึ้นในห้วงความคิดของหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายเหตุการณ์ที่ประทับอยู่ในความทรงจำของนางกลับเป็นตอนที่นางกับเจียงหย่วนเฉาพบกันครั้งแรก
ยามนั้นเขายังเป็นเด็กหนุ่ม แสงแดดงดงามเช่นเดียวกับวันนี้
พวกรุ่ยอ๋องได้ข่าวว่าพรรคพวกกบฏถูกปราบปรามจนหมดสิ้นแล้วก็พากันโห่ร้องด้วยความปรีดาปราโมทย์อย่างสุดระงับ
ครั้นเห็นเซ่าหมิงยวนพาเฉียวเจาเดินมา รุ่ยอ๋องสาวเท้าพรวดเดียวเข้าไปจับสองมือของเซ่าหมิงยวนพลางกล่าว “ท่านโหว เรื่องในวันนี้ต้องขอบคุณท่านมาก คุณความดีของท่านจะจดจารึกอยู่ในใจข้าไม่มีวันลืม”
ชายหนุ่มออกแรงดึงมือคืน เขากล่าวตอบอย่างอ่อนน้อมแต่ยังคงความถือตัวเอาไว้ “ท่านอ๋องตรัสชมเกินไปแล้ว จงรักภักดีต่อแผ่นดินคือหน้าที่ที่ขุนนางทุกผู้ทุกนามพึงกระทำพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านโหวกล่าวได้ถูกต้อง จงรักภักดีต่อแผ่นดินคือหน้าที่ที่พวกกระหม่อมพึงกระทำพ่ะย่ะค่ะ” สมุหราชเลขาธิการสวี่พร้อมด้วยขุนนางทั้งหลายกล่าวประสานเสียงกัน
หลังรอดพ้นเภทภัยมาได้ ชั่วขณะนี้ในใจพวกเขามีเพียงความปีติยินดี
จากบันทึกพงศาวดาร ทุกคราที่มีการก่อกบฏแย่งชิงบัลลังก์ แต่ไรมาล้วนเป็นเส้นทางนองเลือด หากล้มเหลวย่อมไม่ต้องพูดถึง แต่ถ้าสำเร็จพวกเขาอยากแสดงความซื่อสัตย์ของขุนนางเก่าแก่ก็ต้องถูกฆ่าล้างสังหารอย่างไร้ความปรานี ถึงขั้นที่ครอบครัวของพวกเขาก็ล้วนหนีไม่พ้น วงศ์ตระกูลที่สืบทอดกันมาเป็นร้อยปีไม่แคล้วจบสิ้นลงในชั่วข้ามคืน
ดีเหลือเกินจริงๆ ที่ปราบกบฏได้ อีกทั้งพวกเขายังนับว่าได้ร่วมเป็นร่วมตายกับรุ่ยอ๋อง ภายภาคหน้าต้องได้เลื่อนตำแหน่งอย่างปราศจากข้อสงสัย
ขุนนางทั้งหลายคิดคำนึงถึงตรงนี้แล้วก็หน้าชื่นตาบานไปตามๆ กัน สายตาที่มองไปทางเซ่าหมิงยวนอีกครั้งก็ยิ่งไม่เหมือนเดิม
คราครั้งนี้พูดได้เลยว่าที่รอดตายมาได้เพราะกวนจวินโหวเพียงผู้เดียว ดูจากท่าทางนี้ของรุ่ยอ๋องวันหน้าเขาจะต้องได้รับความไว้วางใจอย่างยิ่งยวด
พวกเขาเคยคิดว่ากวนจวินโหวสร้างบารมีจนสั่นคลอนบัลลังก์ อดีตฮ่องเต้ต้องกำจัดเขาสักวันไม่ช้าก็เร็ว แต่อดีตฮ่องเต้กลายเป็นอดีตฮ่องเต้ไปแล้ว ทุกอย่างย่อมต่างออกไปเป็นธรรมดา
“ลำบากท่านโหวแล้ว”
“ท่านโหวต้องเหน็ดเหนื่อยแล้ว”
มีคนประสานมือคารวะเซ่าหมิงยวนนับไม่ถ้วน
ตอนนี้เองพลันได้ยินเสียงดังตึง ทุกคนเพ่งสายตามองไปถึงพบว่าเสนาบดีกรมพิธีการหมดสติไปแล้ว
“เร็วเข้า…รีบตามแพทย์หลวงมาให้เสนาบดีซู”
สิ้นเสียงนี้ไม่ทันไร มีขุนนางอาวุโสทยอยกันเป็นลมอีกหลายคน
หลังประสบผ่านเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนมาได้ ทุกคนต้องตกอยู่ในความตึงเครียดกันมานาน พอขณะนี้จิตใจผ่อนคลายลงเลยมีขุนนางสูงวัยหลายคนทนไม่ไหวแล้ว
“ตามแพทย์หลวงมา รีบตามแพทย์หลวงมา!” เสียงตะโกนบอกด้วยความตกใจดังขึ้นไม่ขาดสาย
รุ่ยอ๋องสะกดความยินดีเต็มอกไว้ โบกมือไปมาพลางบอก “ทุกท่านกลับที่พำนักก่อนเถอะ พักผ่อนให้เต็มที่หนึ่งวัน ไว้วันพรุ่งนี้ค่อยหารือกัน”
บัดนี้เสด็จพ่อกับน้องหกตายไปแล้ว พรรคพวกกบฏของซู่อ๋องก็ถูกกวาดล้าง แผ่นดินต้าเหลียงเป็นของเขาแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างน่ามหัศจรรย์เหลือเกิน ถึงกับทำให้เขาไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเลยสักนิด
“ถวายความยินดีต่อท่านอ๋อง…” หมู่ขุนนางกล่าวอย่างพินอบพิเทา
รุ่ยอ๋องฝืนกลั้นยิ้มเอาไว้พลางพยักหน้าอย่างสำรวม จากนั้นสาวเท้าออกเดินไปโดยมีขันทีล้อมหน้าล้อมหลังกลุ่มหนึ่ง
เขาเดินไปได้ครึ่งทางก็หยุดฝีเท้า ก่อนทำสีหน้าลำบากใจ “เพิ่งนึกขึ้นได้ ที่พำนักของข้าถูกไฟไหม้ไม่เหลือแล้ว”
ขุนนางทั้งหลายกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “ทูลเชิญท่านอ๋องเสด็จไปยังวังชิงหวา”
วังชิงหวาก็คือพระตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้หมิงคังยามเสด็จมาหลบร้อนที่เขาชิงเหลียง
รุ่ยอ๋องบอกปัดทันควัน “นี่ไม่ได้หรอก ทำเช่นนั้นผิดแบบแผนธรรมเนียม”
บัลลังก์ใกล้จะตกอยู่ในมือเขาแล้ว เวลานี้อย่าให้เกิดเสียงติฉินนินทาโดยไม่จำเป็น ถ้าเกิดวันหน้าถูกจดบันทึกลงในพงศาวดาร เช่นนั้นเขาจะเสียหายครั้งใหญ่
ยิ่งกว่านั้นเสด็จพ่อสวรรคตในวังชิงหวา ไม่เป็นมงคลเกินไป เขาไม่ไปอยู่ที่นั่นหรอก
ขุนนางทั้งหลายยังพยายามคะยั้นคะยอ แต่รุ่ยอ๋องยืนกรานปฏิเสธ
พวกขุนนางพึงพอใจในการวางตัวของรุ่ยอ๋องมากพอดู แต่ก็เริ่มปวดเศียรเวียนเกล้ากับเรื่องที่พำนักของเขา
จะสะสางปัญหาวุ่นวายถึงเพียงนี้มิใช่จะกระทำได้ในวันสองวัน อย่างไรก็ต้องจัดการให้เรียบร้อยถึงจะออกเดินทางกลับเมืองหลวงได้ เช่นนั้นช่วงนี้จะปล่อยให้รุ่ยอ๋องนอนกลางดินกินกลางทรายไม่ได้กระมัง
นอกจากวังชิงหวากับที่พำนักของรุ่ยอ๋องที่ถูกไฟเผาวอดวายไปแล้ว เรือนที่มีขนาดใกล้เคียงกันอีกแห่งก็คือที่พำนักของมู่อ๋อง แต่คิดถึงที่มู่อ๋องลงมือชิงบัลลังก์ ย่อมไม่มีขุนนางคนใดเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้กาลเทศะ
รุ่ยอ๋องแย้มยิ้ม “นี่มีอะไรต้องลำบากใจเล่า ข้าไปอยู่รวมกับท่านโหวก็ได้ ถึงอย่างไรอีกไม่นานก็กลับเมืองหลวงแล้ว”
อะไรนะ! เซ่าหมิงยวนนึกว่าตนเองหูฝาด เขาเลิกคิ้วสูง
รุ่ยอ๋องกล่าวด้วยรอยยิ้มเก้อกระดาก “ท่านโหว ข้าเห็นว่าเรือนพำนักของท่านกว้างขวางดีก็อยู่เบียดๆ ไปก่อนชั่วคราวเถอะ”
คำปฏิเสธมารอที่ปลายลิ้น แต่เซ่าหมิงยวนกลืนกลับลงคอไปเงียบๆ
ช่างเถอะ ในเมื่อหนุนรุ่ยอ๋องขึ้นครองบัลลังก์แล้วจะล่วงเกินเขาไปไย
“ท่านอ๋องพึงพระทัยในเรือนพำนักของกระหม่อมนับเป็นบุญของกระหม่อม ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมจะสั่งให้คนเก็บของออกมาเดี๋ยวนี้เลย ท่านอ๋องจะได้ทรงเข้าพำนักโดยเร็วที่สุด”
“เก็บของออก?” รุ่ยอ๋องอึ้งงันไป
เซ่าหมิงยวนคลายยิ้ม “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะพาฮูหยินไปพักที่เรือนของสือซีชั่วคราว”
“ไม่ต้องหรอก” รุ่ยอ๋องชักไม่พอใจ
ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด หลังจากผ่านความเป็นความตายคราวนี้มาได้ เขารู้สึกว่าอยู่ข้างกายกวนจวินโหวถึงจะสบายใจที่สุด
“ท่านอ๋อง ไม่ต้องรู้สึกกระดากพระทัยเลย ทรงถูกพระทัยที่ใดก็บรรทมที่นั่น จัดเตรียมที่ประทับให้พระองค์มิใช่เรื่องสมควรหรอกหรือ กระหม่อมพาพวกท่านโหวไปเก็บข้าวของนะพ่ะย่ะค่ะ” ฉือชั่นพูดรับลูกพร้อมรอยยิ้มกริ่ม
“เอ่อ…” รุ่ยอ๋องทำตาปริบๆ มองดูฉือชั่นพาเซ่าหมิงยวนจากไป เขาถอนใจอย่างเสียดาย
“ท่านอ๋อง…” เสียงเรียกอย่างขลาดๆ ดังลอยมา
รุ่ยอ๋องถึงสังเกตเห็นหลีเจี่ยวที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก บันดาลให้เขาละอายใจอยู่บ้างทันใด
อะ ตอนหนีออกมาเผลอลืมชายารองไปเลย