หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 798
บทที่ 798
ขณะที่หลีกวงเหวินกำลังวิตกกังวล หลิวซื่อนายหญิงรองมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพอดี นางได้ยินกับหูแล้วอดเม้มปากยิ้มไม่ได้ “พี่ใหญ่จะห่วงเรื่องนี้ไปด้วยเหตุใดกันเจ้าคะ ข้าว่าถึงฮ่องเต้จะทรงมีอันเป็นไปก็ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูสามของพวกเราหรอก”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยื่นมือไปหยิกนางหมับทีหนึ่ง
ในเรือนมีพวกเบาปัญญาหลายคนเช่นนี้ ข้าเหลือจะทนแล้ว!
หลีกวงเหวินกลับรู้สึกว่าถ้อยคำนี้ถูกหูมาก เขาฉีกยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริทันที “เช่นนั้นก็ขอให้สมพรปากน้องสะใภ้นะ”
“พวกเจ้าออกไปให้หมด” หญิงชราชี้ไปที่หน้าประตู นางไม่อยากพูดแล้ว
หลิวซื่อซึ่งถูกไล่ออกมายังพูดปลอบใจหลีกวงเหวินอีกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าก็คงวุ่นวายใจด้วยความเป็นห่วงเหมือนกัน”
หลีกวงเหวินผงกศีรษะ “อื้อ ข้ารู้”
พอกลับถึงเรือนหยาเหอ เขาไปหาฝูเกอเอ๋อร์ที่ห้องเหอซื่อ
“ฝูเกอเอ๋อร์ดีขึ้นบ้างหรือไม่”
สองวันมานี้เด็กน้อยท้องไม่ค่อยดี ดวงหน้าเล็กๆ ซูบลง ไม่คึกคักร่าเริงจนชวนให้สงสาร
เหอซื่อป้อนน้ำให้เขาแล้วพูดอย่างกลุ้มใจอยู่บ้าง “ยังไม่ดีขึ้นเลยเจ้าค่ะ พวกหมอเดี๋ยวนี้ล้วนมีฝีมือชั้นสามัญ ไหนเลยจะเทียบได้กับเจาเจาของเรา ว่าไปแล้วเจาเจาไปจากเมืองหลวงหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับมาได้เมื่อไร”
ดังคำกล่าวว่าบุตรอยู่ห่างไกลไปพันลี้ มารดาห่วงหาอาทรมิรู้วาย แม้บุตรสาวจะออกเรือนไปแล้ว ในใจของคนเป็นมารดายังคงห่วงใยเสมอ
หลีกวงเหวินกลัวนางจะเป็นกังวล จึงไม่ได้เอ่ยถึงการคาดคะเนของตน เขาเพียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “น่าจะใกล้กลับมาแล้ว ไม่เห็นหรือว่าอากาศเริ่มหนาวขึ้นแล้ว”
เหอซื่อฟังแล้วยิ้มออก ดวงตาของนางแฝงรอยวาดหวัง “ฝูเกอเอ๋อร์เรียกพี่สาวได้แล้ว รอเจาเจากลับมาได้ยินจะต้องดีใจแน่นอน ฝูเกอเอ๋อร์ของเราเป็นเด็กฉลาดจริงๆ เพิ่งย่างหนึ่งขวบครึ่งก็เรียกพี่สาวเป็น เหมือนเจาเจาไม่มีผิด”
หลีกวงเหวินหัวเราะขลุกขลัก
อายุหนึ่งขวบครึ่งเรียกพี่สาวได้เกี่ยวอะไรกับความฉลาด? ช่างเถอะ ภรรยาดีใจก็พอ
กองกำลังรักษาวังที่ออกจากเมืองหลวงเร่งรุดเดินทางไม่หยุดพัก ไม่นานนักก็มาถึงเขาชิงเหลียง
เมื่อพวกเขามาถึงแล้ว ทุกคนต่างระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง
ฮ่องเต้สวรรคตกะทันหัน นี่มิใช่เรื่องเชิดหน้าชูตาอันใด ทันทีที่แพร่กระจายออกไป นอกจากจะสั่นคลอนจิตใจปวงประชาไม่ว่า ยังจะกระตุ้นให้พวกต๋าจื่อกำเริบเหิมเกริมได้
หลังจากประชุมหารือกันเหล่าขุนนางเห็นพ้องต้องกันให้ปิดข่าวฮ่องเต้สวรรคตให้มิดชิดก่อนในตอนนี้ รอกลับถึงเมืองหลวงแล้วค่อยแพร่ข่าวว่าฮ่องเต้ล้มประชวร สุดท้ายอาการทรุดหนักรักษาไม่ได้จึงสละบัลลังก์ให้รุ่ยอ๋อง
“กลับเมืองหลวงได้แล้วใช่หรือไม่” รุ่ยอ๋องได้ยินว่าทุกอย่างเตรียมการพร้อมพรัก ในใจเขาก็เริ่มลิงโลดไปก่อนล่วงหน้าแล้ว
ในที่สุดก็อดทนจนได้กลับเมืองหลวงเสียที สองวันมานี้เขาไม่กล้าหลับตานอนเลย ถึงจะพำนักในเรือนที่กวนจวินโหวยกให้ แต่ทันทีที่ปิดตาก็ยังฝันร้ายอยู่ดี
เพียงน่าเสียดายที่กวนจวินโหวเคร่งครัดธรรมเนียมของกษัตริย์กับขุนนางเกินไป อยากให้เขานอนเป็นเพื่อนเขาก็บ่ายเบี่ยงบอกปัดตลอด
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง สามารถออกเดินทางได้แล้วตอนนี้”
“อย่างนั้นก็ออกเดินทางเลย” รุ่ยอ๋องโบกมือคราหนึ่งขบวนเดินทางก็เคลื่อนตัวมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงภายใต้การอารักขาของกองกำลังรักษาวัง
หากมองจากภายนอกทุกอย่างดูไม่ผิดแผกไปจากตอนขามาแต่อย่างใด ทว่าภายในจิตใจของขุนนางทั้งหลายกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
หลายปีมานี้นานๆ ทีจะได้มาหลบร้อนที่เขาชิงเหลียงสักหน ฮ่องเต้กับมู่อ๋องก็สิ้นชีพอยู่ที่นี่เสียแล้ว วันหน้ารุ่ยอ๋องไม่มีทางมาอีกแล้วเป็นแน่
ดูทีว่าพวกเขาคงไม่มีโอกาสท่องเที่ยวด้วยเงินหลวงอีกต่อไป
ขบวนเกียรติยศของฮ่องเต้หมิงคังยังไม่เปลี่ยนแปลง มีรถม้าของไทเฮาตามติดอยู่ด้านหลังรถม้าพระที่นั่งงามหรูหรา
หยางไทเฮาซึ่งนั่งอยู่ในรถม้ามีใบหน้าซีดเซียว ดูชราภาพกว่าตอนขามาถึงห้าหกปี
แม้ว่าพระโอรสจะประพฤติตนเหลวไหลอย่างไรก็ยังกตัญญูต่อนาง แต่ครั้นเป็นพระนัดดาได้ขึ้นครองราชย์ จะอย่างไรสายสัมพันธ์ก็ห่างกันไปหนึ่งชั้นแล้ว
หลังกลับถึงเมืองหลวงและจบสิ้นการไว้ทุกข์ถวายความอาลัย เรื่องแรกที่ต้องจัดการก็คือให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่อภิเษกสมรสกับหลานสาวในสกุลเดิมของนางให้ได้!
หยางไทเฮาคิดคำนึงถึงตรงนี้แล้วใบหน้าก็ผ่อนคลายขึ้น
“ไหลสี่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หยางไทเฮาลืมตาขึ้น จากนั้นหลุบตาลงต่ำพลางลูบเล็บนิ้วที่ตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบไปมาเบาๆ “ข้าได้ยินว่าสองวันมานี้ท่านอ๋องกับกวนจวินโหวใกล้ชิดกันมากหรือ”
บัดนี้เวลาจะกล่าวตอบเรื่องเกี่ยวกับรุ่ยอ๋อง ไหลสี่ไม่กล้าพูดจาตามสบายอย่างในกาลก่อนอีก
เพราะรุ่ยอ๋องคือผู้ที่กำลังจะเป็นฮ่องเต้แล้ว
“กวนจวินโหวมีความชอบจากการช่วยเหลือท่านอ๋องไว้ จะทรงใกล้ชิดกับกวนจวินโหวก็เป็นเรื่องธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ”
หยางไทเฮาเหยียดมุมปากขึ้น “กวนจวินโหวผู้นั้นไม่คล้ายเป็นคนที่จะยอมตนอยู่ใต้อำนาจใครได้”
ไหลสี่ฟังแล้วใจกระตุกวูบหนึ่ง เขาก้มหน้าเงียบๆ ไม่กล้าพูดตอบส่งเดช
หยางไทเฮาเอนหลังอยู่บนตั่งขาเตี้ยพลางหลับตาลง
กวนจวินโหวอยู่ในตำแหน่งสูงกุมอำนาจใหญ่เอาไว้ ทั้งยังสร้างคุณความชอบล้นฟ้า อีกทั้งได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ หากเป็นเช่นนี้ในระยะยาวเกรงว่าจะมิใช่เรื่องดี
อันที่จริงหยางไทเฮาไม่พึงใจในตัวรุ่ยอ๋องมาแต่ไหนแต่ไร พระนัดดาผู้นี้อ่อนแอเหลาะแหละเกินไปและเป็นคนหูเบา หาใช่ผู้มีคุณสมบัติเป็นประมุขของแผ่นดินสักนิด
โอรสสวรรค์ที่เป็นเช่นนี้มักเปิดช่องให้ขุนนางใหญ่ที่คิดไม่ซื่อกุมอำนาจในราชสำนักได้ง่ายดายมาก อาจถึงขั้น…เปลี่ยนราชวงศ์
ต้องฉวยจังหวะที่กวนจวินโหวยังไม่อาจใช้มือเดียวปิดฟ้า ทำให้รุ่ยอ๋องตีตนออกห่างจากเขาก่อนจึงจะดี
หยางไทเฮาหมายมาดอยู่ในใจ จากนั้นค่อยๆ หลับใหลไปตามแรงโยกไหวเบาๆ ของรถม้า
ผ่านไปไม่กี่วัน ขบวนเดินทางยาวเหยียดก็มาถึงเมืองหลวง
หมู่ราษฎรล้อมวงมองดูความครึกครื้นเช่นไรไม่จำเป็นต้องบรรยายเป็นคำพูด ส่วนขุนนางมากมายที่ไม่ได้ตามไปด้วยก็แอบส่งคนมาสืบสถานการณ์ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติถึงคลายใจลงได้ชั่วคราว
วันต่อมาข่าวฮ่องเต้ล้มประชวรเพราะตรากตรำเดินทางก็แพร่ออกมา
จิตใจของเหล่าขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ยังถูกปิดหูปิดตาไว้คล้ายถูกปกคลุมด้วยเงามืดชั้นหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ
กระนั้นทางสกุลหลีไม่มีเงามืดใด ภายในจวนถูกปัดกวาดเช็ดถูจนสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะทุกซอกทุกมุมเพื่อรอคอยบุตรสาวและบุตรเขยที่กลับจากการท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือน
วันรุ่งขึ้นเฉียวเจาก็กลับมาเยี่ยมสกุลเดิมพร้อมกับเซ่าหมิงยวน
ยามเฝ้าประตูของจวนสกุลหลีได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้จับตาดูไว้ตลอด พอเห็นรถม้าของจวนกวนจวินโหวแต่ไกลก็เปิดประตูใหญ่ออกและส่งข่าวเข้าไปด้านในอย่างฉับไว
ตอนเฉียวเจาให้ชายหนุ่มพยุงลงจากรถม้า ผู้ดูแลจวนสกุลหลีก็มารออยู่บนบันไดหินนอกประตูใหญ่แล้ว
“ท่านโหว นายหญิงสาม พวกฮูหยินผู้เฒ่าล้วนรอคอยอยู่ในเรือนชิงซงขอรับ”
“ลำบากเจ้าแล้ว” เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะกับเขาเล็กน้อยก่อนกุมมือนางพาเดินเข้าไปด้านใน
ทั้งคู่ถูกมองด้วยสายตาอิจฉาแกมชื่นชมตลอดทาง
หลังจากเขากับนางเดินผ่านไป พวกสาวใช้น้อยคุยกระซิบกระซาบกัน “ท่านโหวกับนายหญิงสามรักกันดีจริงๆ ตอนกลางวันยังจูงมือกันด้วย”
“นั่นน่ะสิ หากเป็นข้าล่ะก็คงเขินอายน่าดู”
สาวใช้ด้านข้างสัพยอกอย่างขันๆ “เจ้าอยากได้สามีแบบท่านโหวสินะ”
สาวใช้ที่โดนสัพยอกก็ด่ากลับยิ้มๆ
เฉียวเจาได้ยินเสียงซุบซิบของพวกสาวใช้แว่วๆ นางจึงพูดเอ็ดเสียงเบา “ชอบทำรุ่มร่าม ถูกพวกสาวใช้หัวเราะเยาะแล้วเห็นหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ความคิดของคนรอบข้างจะมีความสำคัญอันใด”
หากมิใช่เรื่องที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย เขาไม่จำเป็นต้องยี่หระต่อสายตาผู้อื่นอีกแล้ว เขาชอบจูงมือภรรยาทุกวัน ไม่ใช่กงการอะไรของใคร
มุมปากของหญิงสาวกระตุกริก แต่นางยังคงปล่อยตามใจเขา
หลีกวงเหวินได้ยินว่าบุตรสาวกับบุตรเขยมาถึงแล้วอยากจะถลันออกไปใจจะขาด แต่คำนึงถึงเกียรติของผู้เป็นพ่อตาถึงยอมนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเรียบร้อยพลางชะเง้อมองไปทางหน้าประตูบ่อยๆ
ชั่วประเดี๋ยวก็มีเสียงฝีเท้าดังลอยมา เมื่อสาวใช้ตรงหน้าประตูเลิกม่านไม้ไผ่ขึ้น เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนเดินเคียงคู่กันเข้ามา
สายตาของหลีกวงเหวินจับจ้องมือที่กุมประสานกันของคนทั้งสองอย่างห้ามไม่อยู่
เซ่าหมิงยวนปล่อยมือออกอย่างว่องไว
เอ่อ…ถึงแม้ข้าจะไม่ยี่หระสายตาคนอื่น แต่ท่านพ่อตามิใช่คนอื่นนะ