หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 80
บทที่ 80
เฉียวเจาสบตากับฉือชั่น สายตาของนางนิ่งสนิทไร้รอยกระเพื่อมไหวราวกับเมื่อครู่นี้มิได้เกิดเรื่องอันใดขึ้น
นางรู้ซึ้งถึงความพาลเกเรของคนผู้นี้มาตั้งแต่ในครั้งนั้นแล้ว คนอย่างท่านปู่ยังถูกตามตื๊อจนหมดปัญญา สุดท้ายงัดภาพเป็ดเล่นน้ำออกมาถึงไล่เขาไปได้
ฉือชั่นหรี่ตาลงอย่างไม่พึงใจ ทั้งที่เป็นเด็กสาวอายุแค่สิบสามปี เหตุใดมักวางท่าราวกับรู้เท่าทันทุกเรื่องอยู่ร่ำไป เขาเห็นแล้วขัดนัยน์ตายิ่งนัก
“หลีซาน…” ฉือชั่นพลันโน้มตัวไปข้างหน้า กล่าวเสียงเนิบนาบ “ภาพนั้นขาดอีกแล้ว”
“พี่ฉืออยากให้ข้าวาดใหม่อีกหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาคิดในใจว่ามิน่าถึงเลี้ยงน้ำชานาง ที่แท้ฟังเรื่องหยิบเหรียญในหม้อน้ำมันเป็นคำโกหก จุดประสงค์คืออยากให้นางวาดภาพเป็ดเล่นน้ำให้ใหม่ต่างหาก
“ไม่ใช่” ฉือชั่นกล่าวปฏิเสธ ชะรอยว่าท่าทางสงบเยือกเย็นเสมอๆ ของเฉียวเจาเป็นเหตุให้ใจเขาอยากต่อต้าน
สายตานิ่งเฉยของเด็กสาวแปรเปลี่ยนไป นางกะพริบตาปริบๆ มองบุรุษที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม เผยสีหน้างุนงงอย่างที่ไม่พบบ่อยนัก
ดวงตาของนางทั้งกลมโตทั้งหวานซึ้ง ปกติก็จะสุกใสแวววาวดุจพรายน้ำใส ขณะนี้ยังฉายแววประหลาดใจ ทำให้ฉือชั่นคิดไปถึงลูกกวางที่เพิ่งลืมตาดูโลกในป่าอย่างปราศจากเหตุผล
อุปนิสัยกับรูปโฉมของแม่นางน้อยผู้นี้ขัดแย้งกันอยู่บ้างจริงๆ ฉือชั่นแอบนึกในใจ
ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด จู่ๆ เขาก็อารมณ์ดีขึ้น แย้มปากยิ้มพลางกล่าวว่า “ในเมื่อภาพขาดไปแล้วก็ช่างปะไร เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเถอะ”
“เปลี่ยนเป็นอะไรเจ้าคะ”
ฉือชั่นยกมือเคาะพื้นโต๊ะเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า “คราวหน้าทำเนื้อกวางแผ่นทอดให้ข้าลองชิม”
อืม คนที่เหมือนลูกกวางทำเนื้อกวางแผ่น เพียงคิดก็รู้สึกตั้งตารอคอยแล้ว
เฉียวเจาแปลกใจครู่หนึ่งถึงพยักหน้ารับ “ได้เจ้าค่ะ”
ฉือชั่นเอาสองมือเท้าโต๊ะยันกายลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวเอื่อยๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าอำลาล่ะ”
เขาหมุนกายเดินไปสองก้าว เบือนหน้าไปมองปิงลวี่ด้วยหางตาพร้อมบอกกับเฉียวเจา “จำไว้ นี่แค่ดอกเบี้ยเล็กน้อยจากบุญคุณช่วยชีวิต ไม่นับเป็น ‘รางวัลก้อนโต’ ที่เจ้าเคยพูดไว้นะ”
เฉียวเจาลุกขึ้นยืน ไต่ถามอย่างสุขุม “พี่ฉืออยากได้รางวัลก้อนโตเป็นอะไร บอกอย่างชัดเจนจะดีกว่า ข้าจะได้เตรียมตัว”
“เตรียมตัว?” ฉือชั่นเริ่มอมยิ้ม “ไม่ต้องเตรียมตัว ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก รอคิดได้แล้วค่อยไปทวงกับเจ้าภายหลัง คุณหนูหลีมิใช่พวกติดหนี้แต่ไม่ยอมชดใช้กระมัง”
“เป็นหนี้บุญคุณช่วยชีวิต ข้าย่อมไม่กล้าไม่ชดใช้ ขอแค่ว่าข้อเรียกร้องของพี่ฉืออยู่ในขอบเขตที่ข้าสามารถทำได้”
ฉือชั่นมองพินิจเฉียวเจาชั่วครู่ถึงผงกศีรษะ “แน่นอนอยู่แล้ว”
จากนั้นเขาก็หมุนกายแล้วโบกมือพลางสาวเท้าปราดๆ ออกไป
“เอาล่ะ พวกเราก็กลับกันเถอะ” เฉียวเจาจับกระโปรงให้เข้าที่ ก้าวขาออกเดินไปหลายก้าวแล้วถึงสังเกตว่าข้างหลังไม่มีเสียงใครตามมา เลยหันศีรษะไปร้องเรียกอย่างงุนงง “ปิงลวี่?”
ปิงลวี่ที่เอาสองมือกุมแก้มไว้เพิ่งได้สติตอนนี้ นางเดินรี่เข้ามาพูดเสียงแหลมสูง “คุณหนู ท่านเห็นหรือไม่เจ้าคะ เมื่อครู่นี้คุณชายฉือท่านนั้นยิ้มแล้วรูปงามจริงๆ แทบจะทำให้ข้าหายใจไม่ออกเลยทีเดียว!”
เฉียวเจายกมือตบไหล่ปิงลวี่ “ใจเย็น มีอะไรกลับไปถึงรถม้าค่อยพูดนะ”
ปิงลวี่ปิดปากสั่นศีรษะสุดแรง จนกระทั่งสองนายบ่าวกลับถึงรถม้าที่จอดตรงเชิงเขา นางถึงจับแขนเสื้อของเฉียวเจาแล้วซักไซ้อย่างตื่นเต้นต่อจากก่อนหน้านี้ “คุณหนูเจ้าคะ บุญคุณช่วยชีวิตอะไร ภาพวาดอะไร ดอกเบี้ยอะไร”
ข่าวใหญ่ๆ น่าตื่นเต้นเยอะแยะมากมายไปหมดจนนางตั้งรับไม่ทันอยู่สักหน่อย
“เรื่องพวกนี้ล้วนบอกไม่ได้ทั้งสิ้น” เฉียวเจายิ้มหวานพลางพูด
“เอ๊ะ?” สาวใช้น้อยแทบสำลัก นางยกมือกุมอกกล่าววิงวอน “คุณหนู เห็นแก่ที่บ่าวจงรักภักดีและกล้าหาญชาญชัย อย่างไรก็ต้องแย้มพรายอะไรให้ข้ารู้บ้างเถอะนะเจ้าคะ หรือไม่ท่านบอกสักนิดว่าคุณชายฉือที่รูปงามเหลือหลายท่านนั้นเป็นคนตระกูลใด”
“มารดาของเขาคือองค์หญิงใหญ่ฉางหรง”
“เชื้อพระวงศ์หรือนี่!” ปิงลวี่สูดหายใจดังเฮือก ก่อนจะหยุดตรึกตรองเล็กน้อยแล้วส่ายหน้าเป็นพัลวัน “จบกันๆ”
“หือ?”
ปิงลวี่มองมือซ้ายทีมือขวาที จากนั้นแบสองมือออกแล้วกล่าวว่า “เลือกได้ยากอย่างสิ้นเชิง ระหว่างท่านฉือเชื้อพระวงศ์รูปงามกับกวนจวินโหวผู้หล่อเหลาทรงบารมี จะให้คนใดเป็นท่านเขยดี”
“…” เฉียวเจานิ่งเงียบไปชั่วครู่ ค่อยยกมือหยิกแก้มปิงลวี่ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทว่า “ตื่นๆ เลิกฝันได้แล้ว”
ฐานะของแม่นางน้อยหลีเจากับสองคนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องต่อกันแม้แต่น้อยนิด ส่วนเฉียวเจาก็ตายไปนานแล้ว ชาตินี้นางไม่คาดหวังจะมีเหย้ามีเรือนแล้ว
นางมีเรื่องที่อยากทำมากมายเหลือเกิน จะมีเวลาแต่งงานเป็นภรรยาใครที่ใดกันเล่า
เฉียวเจามองออกไปข้างนอกทางหน้าต่างรถม้า
นอกหน้าต่างฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล งดงามไร้ขอบเขต
นางดึงสายตากลับแล้วเอนกายพิงหมอนอิง พลางรำพึงในใจ หวังว่า ‘รางวัลก้อนโต’ ที่ฉือชั่นต้องการเป็นสิ่งที่ข้าให้ได้จึงจะดี
อีกด้านหนึ่งหลังจากสุดท้ายพวกฉือชั่นหาที่ปลอดเปลี่ยวต่อยตีกันอุตลุดยกหนึ่งแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
ฉือชั่นคลึงหางตาที่เขียวช้ำพลางเดินไปทางวังองค์หญิงใหญ่พลางคิดอย่างขุ่นใจ เจ้าบัดซบสองคนนั่น ตกลงกันไว้แล้วว่าชกตัวไม่ชกหน้านะ
เขาเพิ่งก้าวเข้าประตู เถาเซิงเด็กรับใช้ก็เข้ามาต้อนรับ “คุณชาย…”
เถาเซิงเห็นคุณชายของตนอยู่ในสภาพสะบักสะบอมก็สูดหายใจเข้าดังเฮือก เขาพูดอย่างฮึดฮัดว่า “คุณชาย เป็นฝีมือใครขอรับ ข้าจะไปเอาคืนแทนท่านเอง ถึงจะโดนซ้อมก็ชกที่หน้าไม่ได้นะ”
ครั้นปะทะเข้ากับสายตาพิฆาตของผู้เป็นนาย เถาเซิงถึงรู้ตัวว่าพลั้งปากไป เขาทำคอย่นหัวเราะฝืดๆ กล่าวว่า “ข้าหมายความว่าใครกันที่ไม่รู้กาลเทศะปานนั้น ถึงกับบังอาจทำร้ายคุณชาย…”
ฉือชั่นเหยียดแขนไปหิ้วตัวเด็กรับใช้ไปด้านข้าง สาวเท้าก้าวยาวเดินหน้าตึงเข้าไปข้างใน
เถาเซิงรีบไล่ตามไป เขาเพิ่งนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ในเวลานี้ “คุณชาย กวนจวินโหวส่งคนมาบอกว่ารอท่านอยู่ที่หอชุนเฟิงบนถนนใหญ่สายตะวันตกขอรับ”
“กวนจวินโหว? ตั้งแต่เมื่อไร”
“สักพักหนึ่งแล้วขอรับ ข้าบอกว่าท่านไม่อยู่ในวัง คนบอกความกล่าวว่ากวนจวินโหวจะไปรอที่หอชุนเฟิงก่อน ท่านกลับมาเมื่อไรก็เชิญไปที่นั่นขอรับ”
หอชุนเฟิงเป็นหอสุราชื่อดังของเมืองหลวง ถึงสถานที่ไม่ใหญ่นัก อีกทั้งไม่ได้ตั้งอยู่ในจุดที่คึกคักเฟื่องฟูที่สุด ทว่าเหนือกว่าที่ปิดร้านดึก สุราที่ขายมีรสชาติถึงใจ
“เตรียมม้า”
เถาเซิงวิ่งตึงๆ ออกไป ครู่เดียวก็จูงอาชาสีดำแซมขาวที่ผู้เป็นนายขี่เป็นประจำออกมา
ฉือชั่นถึงคลายความหงุดหงิดลงบ้าง เขาคิดคำนึงในใจ เจ้าเด็กรับใช้เบาปัญญาปานนี้ก็นับว่าไม่เลี้ยงเสียข้าวสุกแล้ว บางครั้งยังรู้จักดูสีหน้าคนบ้างสักหน
เขารับสายบังเหียนไว้แล้วพลิกกายขึ้นม้าและสั่งกำชับ “เจ้าไม่ต้องตามไปหรอก ไปบอกกล่าวตงอวี๋กูกูให้รู้สักคำว่าวันนี้ข้าจะกลับดึกสักหน่อย”
“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ” เถาเซิงลอบสะเทือนใจ แต่ปากยังขานรับ
นับแต่คุณชายเดินทางไปทิศใต้เป็นต้นมา นับวันก็ไม่ยอมให้เขาติดตามมากขึ้นทุกที
ฉือชั่นมิได้สนใจว่าเด็กรับใช้จะคับข้องเสียใจอย่างไร บังคับเจ้าอาชาควบเท้าออกวิ่งตะบึงไปตามถนนสายใหญ่ที่ผู้คนบางตาลงเรื่อยๆ ไม่นานนักก็รุดมาถึงหอชุนเฟิง
ป้ายธงหน้าร้านสีเขียวกับสีขาวสองผืนคลี่สะบัดล้อลม ผืนธงเขียวเขียนอักษรคำว่า ‘ชุนเฟิง’ ด้วยลายเส้นพลิกพลิ้วทรงพลัง ขณะที่ผืนธงขาววาดรูปกาสุราใบใหญ่
ประตูหอสุราเปิดอ้ากว้าง เสี่ยวเอ้อร์แต่งกายเรียบร้อยสองคนยืนต้อนรับอยู่ซ้ายขวา
ฉือชั่นพลิกกายลงจากหลังม้า เสี่ยวเอ้อร์ผู้หนึ่งก้าวเข้ามารับสายบังเหียนและกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “คุณชายมาแล้ว เชิญที่ห้องส่วนตัวชั้นบนขอรับ”
คุณชายสูงศักดิ์ที่มาดื่มสุราบ่อยๆ เช่นพวกฉือชั่น ผู้รับใช้เจนจัดพวกนี้ล้วนต้องรู้จัก
เสี่ยวเอ้อร์นำทางฉือชั่นขึ้นไปชั้นบน เดินไปจนสุดระเบียงแล้วเข้าสู่ห้องส่วนตัวที่เซ่าหมิงยวนจับจองไว้
เมื่อเห็นฉือชั่นเข้ามา ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างตามลำพังก็ลุกขึ้นยืน