หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 800
บทที่ 800
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่รอคอยด้วยอารมณ์แช่มชื่นเบิกบาน ถึงกับรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเชื่องช้าเป็นพิเศษ
ในที่สุดมีเสียงฝีเท้าดังลอยมาจากด้านนอก
ฮ่องเต้หน้าชื่นตาบานจะลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว แต่คิดถึงศักดิ์ฐานะใหม่ในเพลานี้ก็กระแอมเบาๆ เสียงหนึ่งแล้วเอนหลังพิงพนักบัลลังก์มังกรอย่างไว้ท่าที
“ฝ่าบาท กวนจวินโหวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋เสียค้อมกายกล่าวบอก
ถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่น้อยหลังฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ทว่าเว่ยอู๋เสียยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งขันทีตรวจฎีกาควบหัวหน้ากองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวาดังเก่า
เหตุผลข้อแรกคือฮ่องเต้ไม่มีผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะสับเปลี่ยน ข้อสองคือยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ หากเปลี่ยนคนเก่าแก่ที่ไม่มีความผิดทันที เกรงว่าจะมีคนพูดว่าเขาแล้งน้ำใจเกินไป
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อเทียบกับฮ่องเต้หมิงคังที่ปรนนิบัติรับใช้มาหลายสิบปี เจ้านายใหม่มีอุปนิสัยเป็นอย่างไรนั้นจำเป็นต้องเรียนรู้กันใหม่ ด้วยเหตุนี้เว่ยอู๋เสียไม่อาจไม่ตื่นตัวเฝ้าสังเกตสังกาอย่างเต็มที่
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ท่านโหวเชิญลุกขึ้น” ฮ่องเต้เห็นเซ่าหมิงยวนก็ทำหน้าตายิ้มแย้มฉับพลัน
เซ่าหมิงยวนยืดตัวตรง
“เว่ยอู๋เสีย ยกเก้าอี้ให้ท่านโหว”
เว่ยอู๋เสียเลิกคิ้วน้อยๆ มองเขาปราดหนึ่ง ฮ่องเต้พระองค์ใหม่โปรดปรานกวนจวินโหวอย่างมากจริงๆ
ฝ่ายเซ่าหมิงยวนยังมีท่าทางสงบนิ่ง “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่ทรงประทานที่นั่ง”
มองดูชายหนุ่มซึ่งนั่งด้วยท่วงท่าสง่าผึ่งผายดุจต้นสน รุ่ยอ๋องเพียงรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ เขาเอ่ยถามยิ้มๆ ด้วยสีหน้าเป็นกันเอง “ท่านโหวมาหาเรา มีธุระอันใดหรือ”
หรือจะให้ทำตามสัญญาเรื่องพระราชทานบรรดาศักดิ์อ๋องต่างสกุล?
แม้นเรามีความคิดนี้อยู่ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่โอกาสเหมาะนะ
กวนจวินโหวอาจจะมีความชอบติดตามมังกร แม้เรื่องเคลื่อนพลโดยพลการไม่อาจไล่เลียงให้ลึกลงไป แต่จะปูนบำเหน็จรางวัลอย่างออกนอกหน้าเพราะความชอบนี้ก็ไม่ได้
เขาตั้งใจว่ารอวันหน้ากวนจวินโหวสร้างความชอบในการรบอีกครั้งค่อยพระราชทานตำแหน่งอีกที
“ฝ่าบาท กระหม่อมอยากทูลขอลาราชการสักระยะหนึ่งเพื่อพาภรรยาเดินทางลงใต้ไปที่อำเภอจยาเฟิงสักครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอลาราชการ? ขอลาราชการอะไรกัน” ฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เราไม่อยากให้กวนจวินโหวขอลาราชการ!
เซ่าหมิงยวนมองฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่ทำหน้าตึงๆ ด้วยสีหน้าหลากใจ หากในใจปราศจากความยำเกรง เขากล่าวอธิบายอย่างใจเย็น “กระหม่อมอยากไปเซ่นไหว้สกุลเฉียว ขอพระองค์โปรดพระราชทานอนุญาตด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ฮ่องเต้ไม่เต็มใจอย่างสุดแสน แต่ก็หาเหตุผลคัดค้านไม่ได้อีก
แน่นอนว่าเขาคือฮ่องเต้ เขาสามารถทำตามอำเภอใจได้ แต่นี่คือกวนจวินโหว กวนจวินโหวที่ช่วยเขาไว้ถึงสองครั้ง เรื่องเล็กเท่านี้เขายังต้องให้เกียรติอีกฝ่าย
“เอาเถอะ เราอนุญาต” ฮ่องเต้ตอบตกลงอย่างไม่เต็มอกเต็มใจแล้วกล่าวสำทับ “ท่านโหวต้องกลับมาเร็วๆ นะ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เซ่าหมิงยวนรู้สึกไม่วายว่ามีตรงที่ใดไม่ชอบมาพากล แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร เขาเดินออกจากประตูตำหนัก ปัดๆ ฝุ่นที่ไม่มีอยู่บนตัวแล้วรีบกลับจวน
สองวันต่อมาเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนเตรียมสัมภาระและผู้ติดตามเท่าที่จำเป็นแล้วเดินทางออกจากเมืองหลวงเงียบๆ คนที่มาส่งคือเฉียวโม่ เฉียวหว่าน และฉือชั่น
ในศาลาสิบลี้* เฉียวโม่รินสุราจอกหนึ่งให้เซ่าหมิงยวน “ถิงเฉวียน ในสภาขุนนางมีงานยุ่ง ข้ายังปลีกตัวไม่ได้ในตอนนี้ ไหว้วานเจ้าจุดธูปโขกศีรษะให้กับบิดามารดาและญาติพี่น้องแทนข้าด้วย”
“พี่เฉียวโม่วางใจเถอะขอรับ ข้าจะทำแทนให้เอง”
“พี่เขย ยังมีข้าอีกคนนะเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนยิ้มกับเฉียวหว่าน “พี่เขยไม่ลืมหรอก”
ดรุณีน้อยบ่นอุบอิบอย่างเสียดายมาก “ความจริงข้าอยากกลับไปเยี่ยมที่นั่นพร้อมกับพี่เขยด้วยเจ้าค่ะ”
นางก็อยากไปจุดธูปสักดอกและโขกศีรษะหลายๆ ทีให้ท่านพ่อท่านแม่ด้วยตนเอง แต่พี่ใหญ่ไม่อนุญาต บังคับให้นางอยู่กับเรือนท่องตำราปักผ้าท่าเดียว
เฉียวโม่ตบไหล่น้องสาวเบาๆ “เอาน่า รอวันหน้าพี่ใหญ่ลาราชการได้จะพาเจ้ากลับไป”
เฉียวหว่านสลัดความเสียดายทิ้งไปทันควัน นางเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นดีใจ “พี่ใหญ่ไม่หลอกข้านะ”
“พี่ใหญ่เคยหลอกเจ้าเมื่อไรกัน”
นางกะพริบตาปริบๆ “หลังพี่ใหญ่แต่งงานแล้วมีวันพักใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวโม่กระแอมเบาๆ เสียงหนึ่ง ก่อนปั้นหน้าขรึมกล่าวว่า “เรื่องนั้นต้องรอปีหน้าแล้ว”
อดีตฮ่องเต้สวรรคต แม้ว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่ไว้ทุกข์เพียงสามเดือน แต่ภายในปีนี้ราษฎรห้ามแต่งงานออกเรือน การผูกดองระหว่างเฉียวโม่กับสกุลสวี่จึงต้องเลื่อนออกไปเป็นธรรมดา
“ปีหน้าก็ได้เจ้าค่ะ ขอเพียงพี่ใหญ่พาข้ากลับไปจริงๆ”
“หรือไม่ให้หว่านวานไปพร้อมกับพวกข้าก็ได้เจ้าค่ะ” เฉียวเจาเอ่ยปากขึ้น
เฉียวหว่านตาเป็นประกาย นางมองพี่ชายด้วยสายตาวาดหวัง
“ไม่ล่ะ เจ้าเด็กผู้นี้อายุไม่น้อยแล้ว ให้อยู่กับเรือนขัดเกลาจิตใจ ปีหน้าข้าจะพานางกลับไปเอง”
เฉียวเจาได้ยินดังนั้นจึงไม่พูดอะไรอีก
“เอาล่ะ อย่าโอ้เอ้อยู่เลย รีบไปเถอะ” ฉือชั่นเอ่ยเร่งอย่างหงุดหงิดน้อยๆ
เขาไม่มีทางอารมณ์ดีอยู่แล้ว พอคิดถึงว่าสองคนนี้ได้ออกไปท่องชมธรรมชาติ แต่เขายังต้องถกแขนเสื้อเปิดศึกน้ำลายกับเจ้าพวกลูกเต่าในราชสำนักพวกนั้น อีกทั้งกลับถึงเรือนยังต้องเจอกับมารดาท้องโตอีก เกิดเป็นเขาช่างน่าเบื่อหน่ายเหลือแสนจริงๆ
“ไปเถอะ” เซ่าหมิงยวนคลายยิ้ม เขาประสานมือให้กับเฉียวโม่และฉือชั่น จากนั้นจูงเฉียวเจาเดินไปที่รถม้า
“ถิงเฉวียน…” ฉือชั่นมองตามแผ่นหลังของสหายแล้วอดส่งเสียงเรียกไม่ได้
คนทั้งสองหยุดฝีเท้า
สีหน้าแววตาของฉือชั่นมีรอยเก้อเขินผุดขึ้น เขาแสร้งวางท่านิ่งเฉยขณะเอ่ยถาม “พวกเจ้าไปไม่นานก็กลับมากระมัง”
“ราวเดือนสองเดือน”
“ตกลง รีบไปรีบกลับ” ฉือชั่นโบกมือไปมา
เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนขึ้นไปบนรถม้าแล้วยื่นหน้าออกมาทางหน้าต่าง จนกระทั่งมองไม่เห็นเงาร่างในศาลาถึงปล่อยผ้าม่านลง
“สือซีอยู่คนเดียวในเมืองหลวงคงหงอยเหงาเป็นแน่” เซ่าหมิงยวนเปิดกล่องอาหารบนโต๊ะเล็ก แล้วหยิบผลไม้ที่วางอยู่ในนั้นออกมา
กล่องอาหารแบ่งเป็นชั้นๆ ใส่น้ำแข็งไว้ตรงช่องระหว่างกลาง ผลไม้ที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำสดใหม่เหลือหลาย มีไม้จิ้มทำจากเงินสลักลายวิจิตรเสียบไว้
เซ่าหมิงยวนจิ้มแตงโมชิ้นหนึ่งยื่นไปใกล้ๆ ริมฝีปากเฉียวเจา
นางกินแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับมุมปาก ถึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “อีกสองเดือนองค์หญิงใหญ่ฉางหรงน่าจะทรงมีพระประสูติกาลแล้ว”
เซ่าหมิงยวนนิ่งขึงไปเล็กน้อยก่อนจะแจ่มแจ้งในบัดดล เขาเป็นชายชาตรีผู้หนึ่ง ย่อมมิได้เอาใจใส่เรื่องในเรือนหลังของครอบครัวอื่น ที่แท้สหายรักเป็นห่วงเรื่องนี้นั่นเอง
“องค์หญิงใหญ่ฉางหรงทรงตั้งพระครรภ์ครั้งนี้มีอันตรายมาก สือซีคงกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่านแม่เขาตอนคลอดบุตร”
เซ่าหมิงยวนส่ายหน้าอย่างขันๆ “สือซีเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจเสมอมา เจ้าเชี่ยวชาญการทำคลอดหรือไม่”
“ข้าจะทำเป็นได้อย่างไร อย่างมากตอนสถานการณ์วิกฤตข้าสามารถฝังเข็มห้ามเลือดช่วยให้คลอดได้ ถึงตอนนั้นคนที่พึ่งพาได้จริงๆ ยังคงเป็นหมอตำแยที่มีประสบการณ์สูง” เฉียวเจาพูดตามตรง นางร่ำเรียนวิชาแพทย์มาจากหมอเทวดาหลี่ซึ่งไม่เคยทำคลอดมาก่อน
ครั้นคิดถึงว่าการเดินทางลงใต้หนนี้จะได้พบกับท่านปู่หลี่แล้ว นางก็ตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
เพลานี้เป็นฤดูน้ำหลาก พวกเฉียวเจาเปลี่ยนไปเดินทางทางน้ำและไปถึงอำเภอจยาเฟิงอย่างราบรื่นในเวลาอันรวดเร็ว
ทั้งสองหยุดแวะจัดเตรียมเสบียงของใช้เพิ่มเติมในตัวเมือง จากนั้นมุ่งหน้าตรงไปที่สวนซิ่งจื่อในหมู่บ้านไป๋อวิ๋น
หลังจากความจริงเรื่องคดีของสกุลเฉียวได้รับการเปิดเผยให้รู้กันทั่ว เซ่าหมิงยวนสั่งให้คนมาที่นี่เพื่อซ่อมแซมสุสานสกุลเฉียวใหม่และส่งทหารเก่าที่ปลดประจำการเพราะบาดเจ็บสองคนมาเฝ้าไว้
ทิศใต้ในช่วงเดือนเจ็ดถึงเดือนแปดเป็นเวลาพฤกษ์พรรณบานสะพรั่ง เพราะมีทหารสองคนคอยเฝ้าไว้ สุสานของชาวสกุลเฉียวที่เป็นเนินดินเล็กๆ เรียงรายกันไปจึงสะอาดเรียบร้อยไม่มีต้นหญ้ารกชัฏสักต้น
เฉียวเจาเห็นแล้วตื้นตันใจสุดจะกล่าว นางคุกเข่าลงโขกศีรษะตรงหน้าหลุมศพของท่านปู่เฉียวจัวทีแล้วทีเล่า
ท่านปู่ หลานพาหลานเขยที่ท่านเลือกด้วยตนเองในครั้งนั้นกลับมาเยี่ยมท่านแล้ว
สายตาของท่านปู่แหลมคมเสมอเลยเจ้าค่ะ
เซ่าหมิงยวนคุกเข่าอยู่ข้างๆ นาง เขาโขกศีรษะอย่างขึงขังพลางรำพึงในใจ
ท่านปู่ขอรับ ท่านวางใจได้ ข้าจะดีต่อเจาเจาไปตลอดชีวิต
ทั้งคู่พักอยู่ในสวนซิ่งจื่อหลายวันถึงออกเดินทางอีกครั้งไปยังหมู่บ้านที่หมอเทวดาหลี่เร้นกายอาศัยอยู่
* ศาลาสิบลี้ เป็นศาลาพักผ่อนสำหรับนักเดินทาง มีห่างกันทุกๆ สิบลี้