หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 802
บทที่ 802
หมอเทวดาหลี่อธิบายให้เฉียวเจาฟังอย่างละเอียด
ถึงมารดาเด็กจะหมดลมหายใจไปแล้วก่อนผ่าท้อง แต่สำหรับหมอเทวดาหลี่ที่คลุกคลีกับศพจนคุ้นชินแล้วไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด เขาถึงขั้นยื่นเข็มที่ร้อยด้ายจากใยเปลือกหม่อนไว้เรียบร้อยส่งให้เฉียวเจาซ้อมมือ
นางรับเข็มกับด้ายไว้ด้วยสีหน้าที่ยังนับสงบนิ่ง มือก็ไม่สั่นเทา
หมอเทวดาหลี่มองนางเย็บแผลเสร็จแล้วพยักหน้ายิ้มๆ “ถึงอย่างไรก็เป็นสตรี บาดแผลนี้เย็บได้ถี่แน่นดี”
เรียวคิ้วของหญิงสาวกระตุกริก มีเพียงในเวลาเช่นนี้นางถึงจะสำแดงฝีมือด้านเย็บปักถักร้อยได้ดีกว่าปกติ
ตอนนี้เองนักชันสูตรเฉียนอุ้มทารกที่เช็ดตัวสะอาดสะอ้านแล้วเดินออกไป เขาเหลียวซ้ายแลขวารอบหนึ่งถึงตะโกนถาม “ญาติอยู่ที่ใด! มาอุ้มเด็กผู้นี้ไปเร็วเข้า”
บิดามารดาของชายหนุ่มแทบจะวิ่งถลาเข้ามา “เด็ก?! เด็กมาจากที่ใด”
นักชันสูตรเฉียนดึงแขนเสื้อขึ้นอย่างหงุดหงิด “ก็ต้องเป็นลูกสะใภ้ของเจ้าคลอดออกมาอยู่แล้ว หลานของเจ้า…”
เขายังพูดไม่ทันจบบิดามารดาของชายหนุ่มก็ร้องเสียงหลง “หลาน?! ท่านบอกว่านี่คือหลานของข้าหรือ”
“เอ๊ะ! ไม่อย่างนั้นเป็นของข้ารึ” นักชันสูตรเฉียนหงุดหงิดมากขึ้น
บิดามารดาของชายหนุ่มยื่นมือมาอุ้มทารกไป มองดูใบหน้าย่นยู่ยี่ของทารกตัวแดงๆ ในผ้าห่อตัวแล้วร้องไห้โฮๆ สุดเสียงอย่างกลั้นไม่อยู่
ทารกน้อยได้รับความตกใจก็ส่งเสียงร้องไห้ตาม
ชายหนุ่มตะลึงงันไปครู่หนึ่งถึงปรี่เข้ามาถาม “ชุนฮวาเล่า ชุนฮวาเป็นอย่างไร”
นักชันสูตรเฉียนแค่นเสียงพูด “นี่ เจ้าหนุ่มช่างโลภมากไม่รู้จักพอ รักษาเด็กไว้ได้ก็เป็นบุญโขแล้ว ยังคิดว่ามารดาเด็กจะรอดชีวิตด้วยอีกหรือ”
“พวกเจ้าใช้มีดผ่าท้องชุนฮวาใช่หรือไม่” ชายหนุ่มจะยื่นมือไปขยุ้มคอเสื้อเขา แต่ถูกเยี่ยลั่วยึดตัวไว้
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงมขึ้นฉับพลัน
นักชันสูตรเฉียนกล่าวเยาะๆ “ใช้มีดอะไรกัน เจ้าฟังผิดแล้ว ตอนนั้นพวกข้าขอกรรไกรต่างหาก หลังนวดเค้นให้เด็กหลุดออกมาจากครรภ์ของภรรยาเจ้าแล้วจะได้ใช้ตัดสายสะดือ”
“ปล่อยนะ! ข้าจะไปดูชุนฮวา” ชายหนุ่มตะคอกใส่เยี่ยลั่ว
เขาคลายมือออกด้วยสีหน้าเฉยเมย ขอเพียงไม่ทำร้ายหมอเทวดาหลี่กับนักชันสูตรเฉียน คนผู้นี้จะไปดูลิงค่างที่ใดเขาก็ไม่สนใจ
ชายหนุ่มเป็นอิสระแล้วพุ่งเข้าไปในเรือน
สตรีออกเรือนแล้วนอนนิ่งอยู่บนเตียงไร้สุ้มเสียงใด
เฉียวเจากำลังจับอาภรณ์ของนางให้เข้าที่
“ถอยไป…” ชายหนุ่มถลันเข้าไป
เฉียวเจาหลบออกไปทางด้านข้างก่อนแล้ว
“ชุนฮวา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ชายหนุ่มยื่นมือที่สั่นระริกไป
หมอเทวดาหลี่กลอกตาขึ้น “นางเป็นอย่างไร เจ้าไม่ประจักษ์แจ้งแก่ใจหรือไร”
ชายหนุ่มผู้นี้พาลหาเรื่องจริงๆ ทั้งที่ตอนเชิญพวกเขามา สตรีผู้นี้ก็อาการร่อแร่แล้ว โดยปกติคงไม่แคล้วเป็นหนึ่งศพสองชีวิต ตอนนี้เด็กรอดมาได้ยังไม่รู้จักพอ นี่คิดจะขู่กรรโชกพวกเขาอีกหรือ
ระหว่างที่หมอเทวดาหลี่คิดคำนึงอยู่ ชายหนุ่มก็ร้องเรียกเสียงโหยหวน “ชุนฮวา! ชุนฮวา… เจ้าตื่นสิ”
เขาเขย่าร่างที่เย็นเยียบของภรรยา แต่จู่ๆ คล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้ จึงตลบชายเสื้อของนางขึ้น เขาเห็นรอยแผลยาวๆ บนท้องนาง ดวงตาทั้งคู่ก็แดงก่ำดุจโลหิต หันขวับไปมองหมอเทวดาหลี่ด้วยแววตาขุ่นขวาง “เจ้า! เจ้าฆ่าชุนฮวาตาย เจ้าผ่าท้อง…”
ชายหนุ่มยังพูดไม่จบ หมอเทวดาหลี่ก็ยกเท้าถีบหน้าเขา
“ศีรษะเจ้าโดนลาเตะใช่หรือไม่” หมอเทวดาหลี่ลดเท้าลงแล้วเอ่ยถามเสียงดุดัน
ชายหนุ่มซึ่งโดนถีบจนมีรอยรองเท้าติดอยู่บนใบหน้างงงันไป ดึงสติคืนมาไม่ได้ในชั่วขณะ
“ภรรยาเจ้าตายไปแล้ว แต่บุตรชายเจ้ายังมีชีวิตอยู่ หรือเจ้าอยากให้คนทั้งหมู่บ้านรู้กันหมดว่าต้องผ่าท้องมารดาเขาเพื่อเอาเขาออกมา”
ชายหนุ่มกลอกตาไปมา เขามองหมอเทวดาหลี่อย่างเลื่อนลอย
“เจ้าหนุ่ม คนเราต้องมียางอายสักนิดนะ ตอนเจ้าเรียกข้ามา ภรรยาเจ้าเจียนจะหมดลมอยู่รอมร่อ ตอนนี้เจ้าจะมาโยนความผิดให้ข้าหรือ”
“ภะ…ภรรยาข้าตายแล้ว ข้าจะทำอย่างไร”
หมอเทวดาหลี่เบ้ปาก “ข้าจะเป็นภรรยาของเจ้าก็ไม่ได้ เจ้าโทษข้าไปก็เปล่าประโยชน์ จริงสิ เตรียมค่ารักษาด้วยนะ”
“ค่ารักษา?”
หมอเทวดาหลี่แค่นหัวร่ออย่างมีน้ำโห “ไม่เก็บค่ารักษา เจ้านึกว่าข้าไม่ต้องหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องหรือ”
น่าขันสิ้นดี เข็มเย็บแผลใช้ครั้งนี้แล้วก็ต้องเปลี่ยนใหม่ นี่มิต้องใช้เงินรึ ด้ายพิเศษที่ทำจากใยเปลือกหม่อนมิต้องใช้เงินรึ ยังมีเป็ดไก่ที่เขาเลี้ยงไว้ในเรือนพวกนั้นที่ต้องกินข้าวกินน้ำมิต้องใช้เงินรึ
“จำไว้นะ ปิดปากให้สนิท อย่าให้ชาวบ้านชาวช่องที่นี่รู้ว่าบุตรชายเจ้าเกิดออกมาอย่างไร วันหน้าเขาถึงจะใช้ชีวิตอย่างปกติได้”
หมอเทวดาหลี่กล่าวเตือนเป็นคำสุดท้ายแล้วสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง “แม่หนูเจา พวกเราไปกันเถอะ”
เฉียวเจารีบเดินตามไป
เมื่อทั้งคู่ออกจากเรือน คนที่มุงดูอยู่ก็เข้ามารุมล้อมทันที
“ท่านหมอหลี่ ท่านเป็นเทวดาเดินดินอย่างแท้จริง มารดาข้าเป็นอัมพาตมาสิบกว่าปีแล้ว ท่านช่วยไปตรวจดูให้หน่อยเถอะ”
“นี่ มารดาเจ้าเป็นอัมพาตสิบกว่าปีเองจะน่าเวทนาเท่าบิดาข้าที่ตาบอดมาครึ่งชีวิตหรือ ท่านหมอหลี่ ท่านช่วยไปตรวจอาการพ่อข้าก่อนเถอะ”
ขณะที่ผู้คนมะรุมมะตุ้มยื้อแย่งกันอยู่ มีคนส่งเสียงตะโกนขึ้นกะทันหัน “ซื่อวาออกมาแล้ว!”
ทั่วทั้งบริเวณพลันตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนมองไปทางหน้าประตู
“ลูกแม่ เจ้าเป็นอะไรไป อย่าทำให้แม่ตกใจนะ เจ้าดูบุตรชายของเจ้า น่ารักน่าชังมากเพียงใด” มารดาของชายหนุ่มอุ้มทารกเข้าไปหาเขา
ชายหนุ่มเห็นหน้าของบุตรชายแล้วร่ำไห้เสียงดัง “ท่านแม่ ชุนฮวาจากไปแล้ว ลูกข้าเกิดออกมาก็กำพร้ามารดา…”
“สุดปัญญา นี่คือชะตากรรม รักษาเด็กไว้ได้ถือว่าสวรรค์เมตตาแล้ว”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย “ใช่ ต้องขอบคุณท่านหมอหลี่ที่ช่วยให้ชุนฮวาคลอดบุตรออกมา”
“นั่นสิ พวกเราต้องขอบคุณท่านหมอหลี่ให้ดีๆ เอ๊ะ ท่านหมอเล่า”
ทุกคนเพิ่งสังเกตเห็นในขณะนี้ว่าพวกหมอเทวดาหลี่หายไปไม่เห็นวี่แววแล้ว
เพลานี้กลุ่มของเฉียวเจาออกจากหมู่บ้านเดินไปตามทางเดินคั่นระหว่างที่นา
“ท่านปู่หลี่ ท่านจะไปจากที่นี่อย่างนี้หรือเจ้าคะ”
“ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นวันหน้าคงไม่มีทางอยู่อย่างสงบสุขแล้ว ไม่ไปแล้วจะรออะไร” หมอเทวดาหลี่อารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด
นักชันสูตรเฉียนเอ่ยแทรกขึ้นกลั้วเสียงหัวเราะ “เหล่าหลี่เอ๊ย เจ้าหักใจจากไปอย่างนี้จริงๆ หรือ แล้วชุ่ยฮวาที่อยู่เรือนติดกันจะทำอย่างไรเล่า”
หมอเทวดาหลี่ชกแขนเขาหมัดหนึ่งอย่างเดือดดาล พูดเสียงขุ่นๆ ว่า “อยู่ต่อหน้าพวกผู้เยาว์ พูดอะไรเหลวไหล!”
เขาอยู่ในช่วงดวงตกจริงๆ มาถึงหมู่บ้านแห่งนี้อะไรๆ ก็ดีไปหมด ยกเว้นคนข้างเรือนที่แปลกชอบกลเหลือเกิน เอาไข่เป็ดไข่ไก่มาให้เขาแทบจะวันเว้นวัน
เขาไม่ชอบกินไข่ กลับได้ไข่มามากมายอย่างนั้นจนตอนหลังไม่มีที่เก็บแล้ว พวกมันเลยฟักออกมาเป็นลูกเจี๊ยบลูกเป็ดหมด!
ดวงตาของเฉียวเจาเป็นประกายระยับ นางกล่าวยิ้มๆ “ท่านปู่เฉียน ชุ่ยฮวาที่ท่านพูดถึงคือท่านป้าหวังผู้นั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ผิด” นักชันสูตรเฉียนหัวเราะร่า
“ท่านป้าผู้นั้นเป็นคนอัธยาศัยดีจริงๆ เจ้าค่ะ” นางถอนใจเฮือกหนึ่งอย่างเสียดายอยู่มาก
ท่านปู่หลี่อยู่โดดเดี่ยวมาทั้งชีวิต ตอนนี้ดวงความรักกำลังสดใสก็มีอันต้องจากไปอย่างนี้ ช่างน่าเสียดายดีแท้
หมอเทวดาหลี่ถลึงตาใส่นางอย่างดุดัน “ที่สอนเจ้าวันนี้ล้วนจดจำได้แล้วใช่หรือไม่”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้เฉียวเจาหุบยิ้มกล่าวอย่างจริงจัง “จำได้แล้วเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่พยักหน้า “จำได้ก็ดี ข้ายังมีเรื่องต้องกำชับเจ้าอีก”
“บอกมาได้เลยเจ้าค่ะท่านปู่หลี่”
“วิธีการผ่าท้องคลอดบุตรนี้ วันหน้าไม่ถึงคราวสุดวิสัยจะใช้ไม่ได้” หมอเทวดาหลี่ทำสีหน้าเคร่งขรึม เขาสั่งกำชับจบแล้วอธิบาย “คนใต้หล้าโง่งม อีกทั้งให้ความสำคัญกับบุตรสืบสกุล ดูแคลนสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทันทีที่วิธีนี้แพร่ออกไปจนรู้กันทั่ว สตรีที่สามารถฝ่าด่านคลอดบุตรได้แต่เดิมอาจต้องจบชีวิตเพราะเลือกใช้วิธีนี้อย่างไร้ความผิด”