หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 803
บทที่ 803
เฉียวเจาพยักหน้าอย่างขึงขัง “ท่านวางใจได้ ข้าจดจำไว้แล้วเจ้าค่ะ”
นักชันสูตรเฉียนเบะปาก “เอาล่ะ เวลานี้อย่าเพิ่งพูดเรื่องเคร่งเครียดพวกนี้เลย มาคิดกันให้ดีๆ ว่าหลังจากนี้พวกเราจะไปที่ใดเถอะ”
หมอเทวดาหลี่ฟังแล้วทึ้งผมด้วยความกลัดกลุ้ม
อันว่าสุกรกลัวอ้วนพี คนกลัวมีชื่อเสียง* แผ่นดินแสนกว้างใหญ่กลับไม่มีสักแห่งที่เขาจะอยู่อย่างสงบไปได้ตลอด
“ท่านปู่หลี่ หรือไม่ท่านตามพวกข้ากลับเมืองหลวงดีกว่าเจ้าค่ะ” เฉียวเจาคิดถึงว่าหลังพบเจอกันครั้งนี้ก็ต้องแยกจากกันอีก หมอเทวดาหลี่อายุปูนนี้แล้ว นางหักใจไม่ได้
บัดนี้ฮ่องเต้หมิงคังสวรรคต ฮ่องเต้พระองค์ใหม่สืบทอดราชบัลลังก์ น่าจะไม่แตะต้องเสาหลักของบ้านเมืองอย่างกวนจวินโหวในชั่วเวลาสั้นๆ นี้ หมอเทวดาหลี่จึงน่าจะอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัยไร้ปัญหา
“ท่านปู่หลี่ ท่านกลับเมืองหลวงแล้วมีคนนอกมาขอให้ท่านรักษาโรค ถ้าท่านไม่เต็มใจ พวกข้าจะบอกปัดแทนให้เองเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาสั่นศีรษะ เผยรอยยิ้มแฝงนัยลึกล้ำ “มีคนเชิญข้าไปรักษาโรคจริงๆ พวกเจ้าก็ปฏิเสธไม่ได้”
เฉียวเจาอึ้งงันไปเล็กน้อย นางอดสบตากับเซ่าหมิงยวนไม่ได้
คำกล่าวนี้ของท่านปู่หลี่น่าขบคิดตีความอยู่บ้าง
ตรงนี้ไม่มีคนอื่น หมอเทวดาหลี่กวาดตามองไปรอบๆ แล้วลดสุ้มเสียงลงกล่าวว่า “เวลานี้รุ่ยอ๋องขึ้นครองราชย์แล้วกระมัง”
มาตรว่าเขาจะอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ทางทิศใต้ แต่เรื่องใหญ่อย่างฮ่องเต้หมิงคังสวรรคตนี้ก็ได้ยินได้ฟังแล้ว
“ขอรับ” เซ่าหมิงยวนยิ่งรู้สึกว่าหมอเทวดาหลี่ผิดจากปกติ
เสียงถอนใจเบาๆ ดังขึ้น “เป็นเช่นนี้สินะ วันหน้าฮ่องเต้ของพวกเจ้าพระองค์นี้สร้างความสงบมั่นคงไม่ไหวหรอก”
“ท่านหมอเทวดา ความหมายของท่านคือ…”
หมอเทวดาหลี่แค่นยิ้ม “พระธิดาพระองค์โตของฮ่องเต้ประสูติเมื่อไร”
“ปลายเดือนสิบเอ็ดรัชศกหมิงคังปีที่ยี่สิบหกเจ้าค่ะ” เฉียวเจานิ่งคิดอึดใจหนึ่งก่อนเอ่ยตอบ
“อย่างนั้นก็ใช่แล้ว ตอนนั้นรุ่ยอ๋องขอให้ข้าช่วยฟื้นฟูร่างกายให้ ข้ากำชับนักกำชับหนาว่าภายในหนึ่งปีจะใกล้ชิดสตรีไม่ได้ บัดนี้ดูไปแล้วเขาเห็นคำพูดของข้าเป็นลมพัดผ่านข้างหู”
“ท่านปู่หลี่…” เฉียวเจาได้ยินแล้วพาให้จิตใจหนักอึ้ง
หมอเทวดาหลี่โบกมือไปมา “เอาล่ะ พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าแค่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไกลๆ ก็ไม่ต้องสนใจเรื่องน่ากลุ้มพวกนี้ ดังนั้นไม่ต้องเอ่ยเรื่องกลับเมืองหลวงอีก”
คำกล่าวของเขาทำให้เฉียวเจาล้มเลิกความคิดที่จะหว่านล้อมต่อ ไพล่ไปถามถึงแผนการของเขาแทน
“หนนี้ข้าตั้งใจจะมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ ไปเก็บบัวหิมะชนิดหนึ่งมาทำยา” หมอเทวดาหลี่มองเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่ง “คนของเจ้าหนุ่มในแดนเหนือคงคุ้มครองความปลอดภัยให้ข้าได้กระมัง”
“ท่านวางใจได้ ตราบเท่าที่ไม่รุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของเป่ยฉี ท่านอยู่ทางทิศเหนือได้อย่างสบายใจไร้กังวลขอรับ”
“ได้เช่นนั้นก็ดี”
พวกเขารุดไปถึงตัวอำเภอตอนเจียนฟ้ามืด เลือกหาโรงเตี๊ยมสามัญแห่งหนึ่งเข้าพักแรม หลังกินอาหารเย็นแล้วหมอเทวดาหลี่แคะฟันพลางเอ่ยกับเซ่าหมิงยวน
“เจ้าหนุ่มตามข้ามา พวกเราคุยกันสักหน่อย”
ยามนี้แสงจันทร์อ่อนละมุนดุจสายน้ำ สะท้อนเงาไม้ไหววูบวาบ หมอเทวดาหลี่เดินไปหยุดยืนตรงที่โล่งกว้าง
ชายหนุ่มหยุดยืนตาม
“เรื่องที่ข้าพูดวันนี้เจ้าต้องจำใส่ใจไว้”
“ท่านหมอเทวดาวางใจได้ ผู้เยาว์จดจำได้แล้ว”
หมอเทวดาหลี่กระแอมเบาๆ “เรื่องที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ก็ต้องจำใส่ใจไว้เหมือนกัน”
เซ่าหมิงยวนนิ่งขึงไป
หมอเทวดาหลี่ตบไหล่เขาแรงๆ พลางพูดทอดถอนใจ “คนหนุ่มต้องรู้จักบันยะบันยัง”
กล่าวคำนี้จบเขาก็เดินส่ายอาดๆ จากไป ทิ้งเซ่าหมิงยวนที่หน้าแดงก่ำเป็นผลตำลึงสุกไว้ที่เดิม
ข้าบันยะบันยังมากแล้วชัดๆ!
สองวันให้หลังตรงริมถนนชานเมืองมีรถม้าติดม่านสีเขียวแบบธรรมดาๆ คันหนึ่งจอดอยู่ หมอเทวดาหลี่ยืนอยู่ด้านข้าง ขณะที่นักชันสูตรเฉียนลูบขนม้าทีแล้วทีเล่า
“เอาล่ะ พวกเราแยกกันตรงนี้เถอะ พวกข้าไปทิศเหนือ ส่วนพวกเจ้าอยากไปทางใดก็ตามใจ ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา”
เขาโบกมือแล้วหมุนกายกระโดดขึ้นรถม้าไปอย่างมาดมั่น
เยี่ยลั่วนั่งอยู่ตรงคานรถม้าสะบัดแส้
“เยี่ยลั่ว ดูแลท่านผู้เฒ่าทั้งสองให้ดีๆ”
“ขอรับ” เขาขานตอบสั้นกระชับยิ่ง
“ไปได้แล้ว” หมอเทวดาหลี่ยื่นศีรษะโผล่มาทางหน้าต่างพลางโบกมือ
รถม้าแล่นไปเอื่อยๆ เฉียวเจายืนอยู่ริมทางยังได้ยินเสียงบ่นกระปอดกระแปดของนักชันสูตรเฉียนลอยแว่วมา
“ข้าว่านะเหล่าหลี่ เจ้าไม่เขียนสารบอกชุ่ยฮวาสักหน่อยก็จะจากไปอย่างนี้จริงๆ หรือ”
“อยากเขียนเจ้าก็เขียนเองสิ”
“แต่เป็ดกับไก่ที่พวกเราเลี้ยงไว้พวกนั้นจะทำอย่างไรเล่า”
“ก็มีชุ่ยฮวาให้อาหารนี่”
“เห็นหรือไม่ สุดท้ายยังต้องให้ชุ่ยฮวาช่วยอยู่ดี”
“ช่วยอะไรกัน ไข่ไก่เป็นของเรือนนาง แม้แต่แม่ไก่ที่ฟักไข่ก็เป็นของเรือนนาง พูดกันตรงๆ เป็ดกับไก่พวกนั้นเดิมก็เป็นของนางอยู่แล้ว นางไม่ให้อาหารแล้วใครจะให้”
“เฮ้อ…ปวดใจแทนชุ่ยฮวาจริงๆ เจ้ามันเป็นตาเฒ่าไร้น้ำใจไมตรี”
รถม้าวิ่งห่างไปทีละน้อย เซ่าหมิงยวนจูงมือเฉียวเจาพลางเอ่ย “พวกเราก็ไปกันเถอะ อย่างที่ท่านหมอเทวดากล่าว ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ข้าว่าท่านผู้เฒ่าทั้งสองอยู่ด้วยกันก็สำราญใจมากนะ”
เฉียวเจาปรับอารมณ์ให้เป็นปกติแล้วอมยิ้มพยักหน้า “นั่นสิ อันที่จริงขอเพียงมีสหายที่ถูกคอกัน อยู่ที่ใดก็ไม่โดดเดี่ยว ท่านผู้เฒ่าทั้งสองอยู่ด้วยกันได้ ข้าก็สบายใจขึ้นมากแล้ว”
ทั้งสองออกเดินทางกลับโดยใช้เส้นทางน้ำดุจเก่า
ตอนเรือแล่นถึงเขตแม่น้ำของอวี๋สุ่ย เซ่าหมิงยวนยืนโอบไหล่เฉียวเจาอยู่ตรงหัวเรือพลางยกมือชี้ “เลี้ยวตรงนั้นก็จะไปที่หลิ่งหนาน”
แม้ว่าเรื่องราวจะคลี่คลายจบสิ้นไปแล้ว แต่พอได้ยินคำว่า ‘หลิ่งหนาน’ เฉียวเจายังคงใจกระตุกวูบหนึ่งอย่างสุดระงับ นางมองสบดวงตาสีดำสนิทของอีกฝ่าย แล้วกล่าวอย่างหัวไวเฉียบแหลม “สร้อยลูกประคำไม้กฤษณาเส้นนั้น…”
เซ่าหมิงยวนอมยิ้มพยักหน้า เขาพูดกระซิบข้างหูนาง “ของพวกนั้นเอาออกมาแล้ว”
“เอ๊ะ?”
ลมแม่น้ำพัดดัง เซ่าหมิงยวนสวมกอดคนในวงแขนแน่นขึ้น “ข้าไม่คิดจะแตะต้องของพวกนั้น ตั้งใจว่าจะแอบขนไปเก็บไว้ในที่เหมาะๆ เผื่อสำหรับวันหน้าเกิดเหตุหนึ่งในหมื่นขึ้น แต่ถ้าไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็ทิ้งไว้ให้เป็นสินเจ้าสาวของบุตรสาวเราแล้วกัน”
“คิดไกลเกินไปแล้ว” ลมหายใจอุ่นจัดของบุรุษรินรดซอกคอ หญิงสาวรู้สึกจั๊กจี้ นางผลักเขาออกเบาๆ
เซ่าหมิงยวนแลมองสายน้ำไหลรินพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ไกลสักหน่อย ข้าวางแผนไว้หมดแล้ว อีกหน่อยพวกเรามีบุตรสามคน บุตรชายสองคนบุตรสาวหนึ่งคน และจะให้ดีบุตรสาวต้องเป็นน้อง อย่างนี้ก็มีพี่ชายสองคนรักใคร่ทะนุถนอม”
“บุตรชายคนหนึ่งไม่พอหรือ อยากได้สองคน?”
เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง “อย่างน้อยต้องสองคน เด็กชายล้วนซุกซน คาดคะเนว่าต้องโดนตีบ่อยๆ จะได้ผลัดกัน”
เฉียวเจาอึ้งงัน “…” บิดาผู้นี้วางแผนได้รอบคอบจริงๆ ช่างหวังดีต่อบุตรชายเหลือเกิน
ทั้งสองเดินทางไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า กว่าจะถึงเมืองหลวงก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
เฉียวโม่ได้รับข่าวแล้วพาเฉียวหว่านมารอที่ท่าเรือชานเมืองหลวง คนที่มาด้วยกันยังมีจูเยี่ยนซื่อจื่อของจวนไท่หนิงโหว
“พี่ใหญ่ ท่านว่าบนเรือลำนั้นใช่พวกพี่เขยหรือไม่เจ้าคะ” ดรุณีน้อยมีสายตาดี เหลือบเห็นเงาร่างในชุดสีน้ำเงินเข้มแต่ไกล นางพลันดึงแขนเสื้อของพี่ชายพลางร้องถามอย่างคึกคัก
“อื้อ เป็นพี่เขยของเจ้า”
ระหว่างที่สนทนากันเรือก็แล่นเข้ามาใกล้ ผืนน้ำใต้แสงสนธยาเป็นประกายระยิบระยับวับวาว เซ่าหมิงยวนจูงเฉียวเจาลงจากเรือ
พวกเฉียวโม่เดินลิ่วๆ เข้าไปต้อนรับ
“พี่เขย พี่หลี พวกท่านกลับมาเสียที” เฉียวหว่านวิ่งเข้าไปคล้องแขนกับเฉียวเจา
“กลับมาแล้วหรือ” เฉียวโม่ยกยิ้มตบไหล่เซ่าหมิงยวนเบาๆ
ใบหน้าของจูเยี่ยนแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มดุจเดียวกัน
“ทุกคนล้วนสบายดีกระมัง” เซ่าหมิงยวนมองเฉียวโม่กับจูเยี่ยนพลางถามไถ่
“ในเรือนเป็นปกติดีทุกอย่าง” เฉียวโม่กล่าว
ด้านจูเยี่ยนกลับหุบยิ้มลงเล็กน้อย เขาสองจิตสองใจชั่วครู่ถึงเอ่ยขึ้น “พักนี้สือซีมีปัญหาอยู่บ้าง”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“องค์หญิงใหญ่ฉางหรงทรงใกล้จะมีพระประสูติกาล แต่พระอาการไม่ค่อยดีนัก”
* สุกรกลัวอ้วนพี คนกลัวมีชื่อเสียง เป็นสำนวน หมายถึงคนกลัวมีชื่อเสียงเป็นจุดเด่นแล้วนำความเดือดร้อนมาถึงตัว เหมือนกับหมูที่อ้วนพีมักถูกนำไปเชือดก่อน