หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 806
บทที่ 806
เฉียวเจาจับมีดแน่นๆ และพยายามรักษาน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุด “ท่านคงรู้ว่ายาหมาเฟ่ยส่านมีอยู่แต่ในเรื่องเล่าขาน กระทั่งหมอเทวดาหลี่ศึกษาหลายสิบปีก็ยังไม่สัมฤทธิผล ฉะนั้นได้แต่พึ่งพาโชคดวงแล้ว ขณะนี้มีข้อดีเพียงข้อเดียวคือองค์หญิงใหญ่ฉางหรงทรงหมดพระสติแทบไม่รู้สึกพระองค์อยู่ บางทีอาจทนผ่านไปได้ไหว…”
นางพูดพลางลากมีดคมกริบผ่าท้องขององค์หญิงใหญ่ฉางหรง โลหิตไหลทะลักออกมาในพริบตา ถึงขั้นกระเซ็นไปที่สาบเสื้อของฉือชั่น
เขากำมือเป็นหมัดสุดแรงเกิดถึงสะกดข่มอารมณ์ชั่ววูบไว้ไม่ไปแย่งมีดจากมือเฉียวเจา
“กรรไกร” เฉียวเจาบอกเสียงดัง
ฉือชั่นแทบจะหยิบกรรไกรยื่นส่งให้ตามสัญชาตญาณ
เฉียวเจาใช้กรรไกรตัดไปตามช่องที่กรีดเปิดไว้เมื่อครู่นี้ ยามเห็นเลือดเนื้อของคนเป็นๆ ผสมปนเปกันจะบอกว่าในใจนางไม่รู้สึกรู้สาใดๆ คงเป็นไปไม่ได้ ทว่าในจังหวะนี้กลับไม่เปิดช่องให้คิดอะไรมาก นางโยนกรรไกรทิ้งแล้วออกแรงแหวกรอยแผลเปิดออกตรวจดูสภาพภายในช่องท้อง
ฉือชั่นพูดอะไรไม่ออกสักคำ เขามองตามทุกๆ อิริยาบถของเฉียวเจาไม่วางตา
“มีดเล่มที่สามจากซ้ายมือ”
เขายื่นส่งให้โดยไม่กล่าววาจาใด
เฉียวเจารับมีดไว้ นางเหลือบตามองฉือชั่นพลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ฉือ ตอนนี้ต้องให้ท่านแหวกรอยแผลเปิดออกอย่างที่ข้าทำเมื่อครู่ ข้าจะกรีดเปิดมดลูก”
“ข้า…” ฉือชั่นกัดริมฝีปากล่างเต็มแรงทีหนึ่ง
“ท่านทำได้” สีหน้าของหญิงสาวทอแววเด็ดเดี่ยว นางพูดเร่งเขา “เร็วเข้า”
ฉือชั่นหลับตาแล้วลืมขึ้นอีกครั้ง เขายื่นมือที่สั่นเทาออกไปวางบนท้องของมารดาแล้วจิตใจกลับสงบลง จากนั้นเขาแหวกรอยแผลให้กว้างขึ้นตามคำบอกของนาง
เฉียวเจาจับมีดในมือไว้มั่น เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพราวทั่วหน้าผากเรียบเกลี้ยงละม้ายหยดน้ำค้างใส
ทว่านางไม่เสียเวลาเช็ดออก ตั้งสมาธิจรดมีดกรีดมดลูกอย่างประณีตบรรจง
ตอนนั้นหมอเทวดาหลี่พูดกำชับกับนางโดยเฉพาะว่าในขั้นตอนนี้จะต้องระวังเป็นพิเศษ มิเช่นนั้นคมมีดจะทำร้ายทารกที่อ่อนแอเปราะบางได้
เวลาทั้งคล้ายผ่านไปอย่างรวดเร็วทั้งคล้ายผ่านไปเชื่องช้ามาก เฉียวเจาวางมีดลงแล้วล้วงมือเข้าไป
“หลีซาน...” ฉือชั่นรู้สึกอึดอัดตรงกลางอก เขาอยากพูดอะไรบ้าง แต่อ้าปากออกแล้วกลับพบว่าในหัวสมองว่างเปล่า
ในระหว่างที่เขาใจลอยอยู่ ศีรษะของทารกก็โผล่ออกมาแล้ว
ทารกในครรภ์มีเส้นผมเล็กละเอียดหร็อมแหร็มเปียกแฉะและมีคราบเลือดติดอยู่เล็กน้อย ฉือชั่นมองจนตาไม่กะพริบ ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดเขารู้สึกขอบตาร้อนผ่าวๆ
เขาเหม่อมองทารกร่างกระจ้อยร่อยที่โผล่ศีรษะน้อยๆ ออกมา ต่อจากนั้นก็เป็นลำตัวเล็กนุ่มนิ่ม
ทารกตัวเล็กบอบบางอย่างนั้นเหมือนกับลูกสุนัขตัวหนึ่ง
“มีดเล่มที่สองจากขวามือ”
ฉือชั่นใช้มือข้างที่ว่างอยู่หยิบมีดมา
เฉียวเจาไม่รับไว้ นางใช้มือกวาดโพรงปากทารกเอาของเหลวเหนียวๆ ออกมาพลางพูดเร่ง “พี่ฉือ ท่านมาตัดสายสะดือที”
ฉือชั่นมองดูโลหิตที่เปรอะเปื้อนไปทั่วด้วยความรู้สึกที่แทบจะชาด้านแล้ว เฉียวเจาสั่งให้ทำอะไร เขาก็ทำไปตามนั้น
เมื่อตัดสายสะดือขาด เสียงร้องไห้แผ่วเบาของทารกก็ดังขึ้นทันที
เฉียวเจาระบายลมหายใจเฮือกแล้วเอ่ยสั่ง “ส่งเด็กไปให้หมอตำแยที่รออยู่ด้านหน้าดูแลแล้วรีบกลับมาช่วยข้า อย่าลืมว่ามือที่จับประตูแล้วต้องเช็ดด้วยสุราอีกที”
ฉือชั่นอุ้มทารกแรกเกิดเดินพรวดๆ ไปที่หน้าห้องก่อนยกเท้าถีบประตูเปิดออก จากนั้นจะส่งตัวทารกให้หมอตำแยที่ชะเง้อชะแง้รอคอยอยู่ด้านนอก แล้วค่อยเอาเท้าเกี่ยวบานประตูปิดตามเดิมและใช้ศีรษะดันกลอนประตูลงดาลเสร็จ ย้อนกลับไปอยู่ข้างๆ เฉียวเจาอย่างว่องไว
เสียงร้องอุทานเป็นระลอกดังมาจากนอกห้อง ยังมีคนตบประตูแรงๆ “คุณชาย! องค์หญิงใหญ่ทรงเป็นอย่างไรบ้างกันแน่”
“ผู้ใดกล้าเข้ามา ข้าจะเอาชีวิตคนผู้นั้น!” ฉือชั่นตวาดเสียงกร้าว
ยามนี้เฉียวเจากำลังใช้เข็มเงินฝังรอบบาดแผลขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงเพื่อห้ามเลือด เหงื่อเม็ดโตๆ ไหลหยาดจากหน้าผากผ่านจมูกเล็กจิ้มลิ้มปลายเชิดขึ้นลงไปที่ลำคอ
อาภรณ์ตรงแผ่นหลังของนางเปียกชุ่มแนบติดตัว ยิ่งขับเน้นเรือนกายผอมบางอ้อนแอ้น
“ข้า…ข้ายังทำอะไรได้อีก” ฉือชั่นถามเสียงแหบแห้ง
เสียงพูดของหญิงสาวราบเรียบไม่แฝงอารมณ์ใด “ช่วยเช็ดเหงื่อให้ข้าเถอะ จะให้เหงื่อหยดลงบนแผลไม่ได้”
ชายหนุ่มหลุบตามองมือที่เปรอะเลือดเป็นดวงๆ อย่างละล้าละลังชั่วอึดใจ ก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นเขาเห็นนางเอาอีกสิ่งหนึ่งออกมาจากช่องท้องขององค์หญิงใหญ่ฉางหรง”
“นี่คืออะไร” เขาถามอย่างอดใจไม่อยู่
เฉียวเจาวางสิ่งที่เอาออกมาชิ้นนั้นลงในถาดบนโต๊ะด้านข้างแล้วพูดอธิบาย “นี่คือรก หรือก็คือกระเปาะม่วง*”
ฉือชั่นนิ่วหน้าทันใด
คำเรียกว่ากระเปาะม่วง…ข้าเคยได้ยินคำนี้มาก่อน
“ข้าจะเย็บแผลให้องค์หญิงใหญ่ฉางหรงก่อน พี่ฉือ ตอนนี้ยังต้องให้ท่านช่วย…” เฉียวเจาบอกจุดที่ต้องเอาใจใส่อย่างละเอียด
เพราะต้องเย็บแผลหลายชั้นจึงมีขั้นตอนที่ยากลำบาก ผ้าโปร่งบางที่ใช้ดูดซับโลหิตถูกใช้มากเท่าไรก็สุดรู้ ตอนถึงฝีเข็มสุดท้ายเฉียวเจาก็เปียกเหงื่อโชกไปทั้งตัวเหมือนช้อนตัวขึ้นจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น
สภาพของฉือชั่นในเวลานี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร
มาตรว่าเขาเป็นเพียงลูกมือตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ในสถานการณ์อย่างนี้เพียงตรองดูก็รู้ได้ว่าจิตใจของเขาต้องตึงเครียดปานใด ถึงเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งดุจเหล็กก็ยากจะทานทนได้ไหว
ชายหนุ่มมองเฉียวเจาปราดหนึ่ง เห็นใบหน้าของนางซีดขาวอิดโรยมาก แต่แผ่นหลังของนางยังเหยียดตรงแหน็ว บันดาลให้ความรู้สึกในใจเขาสับสนปนเปเป็นพิเศษในชั่วขณะ
“ท่านแม่ข้า นาง…” พอเห็นองค์หญิงใหญ่ฉางหรงหลับตาสนิทโดยตลอด ฉือชั่นรู้สึกราวกับตัวเขาอยู่ที่ริมทะเลในราตรีมืดมิด มีคลื่นลูกใหญ่ที่คาดเดาทิศทางไม่ได้กำลังพุ่งมาหาเขา
เฉียวเจาเอามือเช็ดกระโปรงลวกๆ ค่อยจุ่มสองมือลงล้างในอ่างน้ำแล้วเช็ดสองสามทีอย่างว่องไว จากนั้นหยิบขวดกระเบื้องสีขาวในหีบเทยาลูกกลอนออกมาเม็ดหนึ่ง ก่อนง้างแผงฟันขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงให้อ้าออกแล้วป้อนมันเข้าปาก ถึงมีเวลาตอบคำตอบของฉือชั่นในตอนนี้
“ระยะอันตรายขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงมิใช่ขณะนี้” เฉียวเจาเหนื่อยจนเข่าอ่อนยืนทรงตัวไม่มั่นคงแล้ว นางจึงพิงฉากกั้นพลางพูด
“นี่หมายความว่าอะไร” ฉือชั่นซักไซ้
“ขอน้ำให้ข้าถ้วยหนึ่งได้หรือไม่”
เขารินน้ำอุ่นถ้วยหนึ่งยื่นส่งให้ทันที
เฉียวเจารับเอาไว้ มือที่ถือถ้วยน้ำสั่นเทาจนควบคุมไม่อยู่
นางดื่มรวดเดียวหมดแล้วทำถ้วยน้ำหล่นพื้นโดยไม่ระวัง มันแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ ในพริบตา
แต่เสี้ยวเวลานี้ไม่มีใครสนใจเหตุการณ์เล็กๆ ที่แทรกขึ้นนี้ เฉียวเจาเม้มปากก่อนจะพูดต่อว่า “เมื่อครู่องค์หญิงใหญ่กับทารกในครรภ์อยู่ในภาวะล่อแหลมวิกฤตมาก ชักช้าไปพริบตาเดียวอาจกลายเป็นหนึ่งศพสองชีวิต ดังนั้นข้าเลยไม่ทันได้บอกอะไร”
“อื้อ ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกมาสิ” ฉือชั่นจ้องตานางพลางรับฟังอย่างตั้งใจ
“พระอาการขององค์หญิงใหญ่เมื่อครู่นี้สุดปัญญาที่จะใช้วิธีคลอดตามธรรมดาได้แล้ว”
ฉือชั่นพยักหน้า “หมอตำแยกับแพทย์หลวงล้วนบอกอย่างนี้”
พระครรภ์ขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงไม่ปกติมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ถึงได้เตรียมหมอตำแยเจ็ดแปดคนไว้ล่วงหน้า แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือประสบการณ์สูง ในบรรดานั้นมีมือฉมังในการหมุนเปลี่ยนท่าทารกอยู่ถึงสองสามคน ทว่าก่อนหน้านี้พวกนางลองทำดูแล้วแต่ล้มเหลวหมด
“อาการเช่นนี้จำต้องผ่าท้องคลอดบุตร เดิมทีการใช้วิธีนี้ในสภาพที่ไม่มีวิธีระงับความเจ็บปวดแทบเป็นไปไม่ได้ที่หญิงตั้งครรภ์จะทานทนไหว แต่เพราะองค์หญิงใหญ่ทรงหมดพระสติไม่รู้สึกพระองค์กลับทำให้สะดวกขึ้น ตอนนี้นับได้ว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าดูแลรักษาองค์หญิงใหญ่อย่างดี ไม่ถึงสิบวันก็จะสามารถเสวยอาหารได้ตามปกติ แต่จะให้พ้นระยะอันตรายต้องอีกสองเดือนเจ้าค่ะ”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
* ในภาษาจีนคำว่า ‘กระเปาะม่วง’ หมายถึงรกเด็ก เนื่องจากพอนำรกออกมาแล้วทิ้งไว้จะกลายเป็นสีม่วง