หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 83
“นี่ท่านหมอเทวดาจะทำอะไร” รุ่ยอ๋องเห็นหมอเทวดาหิ้วห่อสัมภาระใบเล็กไว้ก็ตะลึงตาค้างทันใด
เขารู้เพียงว่าหมอเทวดาหลี่มีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ ไม่เคยได้ยินว่ายังหยั่งรู้อนาคตด้วย
หมอเทวดาหาได้ตอบคำถามของรุ่ยอ๋อง ดวงตาซึ่งไม่โตนักของเขาทอประกายวูบหนึ่งยามเขม้นมองไปที่ฉือชั่นซึ่งอยู่ข้างกายอีกฝ่าย
รุ่ยอ๋องรีบแนะนำ “ท่านหมอเทวดา คนผู้นี้คือญาติผู้น้องของข้าเอง”
“คิดไม่ถึงว่าจะมีความเป็นมาไม่ธรรมดาเลยนะนี่…” หมอเทวดากล่าวเป็นนัยๆ
ชายหนุ่มเห็นเขาแล้วความโกรธก็แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ
ตอนนั้นตาเฒ่าหงำเหงือกผู้นี้แย่งเอาผักกาดขาวที่เขาเก็บได้ไปอย่างไม่เกรงใจสักนิด
รุ่ยอ๋องฉวยจังหวะที่ไม่มีคนมองอยู่ ลอบเตะฉือชั่นทีหนึ่งพลางรำพึงในใจ
ญาติผู้น้องเกิดเสียสติอะไรขึ้นมาอีก นี่เป็นท่าทีขอร้องคนหรือไม่
ฉือชั่นมีเรื่องขอร้องอีกฝ่ายจึงสะกดไฟโทสะไว้ แสดงคารวะแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านหมอเทวดา…”
“ประเดี๋ยวก่อน!” หมอเทวดาหลี่ตะโกนขึ้นมาคำหนึ่ง
ฉือชั่นกับรุ่ยอ๋องพากันมองไปที่เขา
หมอเทวดาหลี่ชูห่อสัมภาระใบเล็กในมือขึ้น “ท่านอ๋อง ร่างกายท่านได้รับการบำรุงฟื้นฟูเตรียมไว้ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้แค่ทำตามใบสั่งยาของข้าก็พอ ข้าอาศัยอยู่ในวังอ๋องมานานถึงเพียงนี้ สมควรอำลาเสียที”
กล่าวจบเขาชายหางตามองฉือชั่นที่สีหน้าบูดบึ้งอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องปราดหนึ่ง หมุนกายออกเดินไปพร้อมกับนึกในใจว่า ท่าทางอย่างนี้ เห็นทีเจ้าหนุ่มโมโหร้ายผู้นี้จะมีเรื่องขอร้องข้า
หึๆ มิใช่ง่ายดายกว่าจะหลุดพ้นจากตัวปัญหาน่าปวดหัวนี้ ข้าไม่เบาปัญญาจนกระโดดเข้าไปพัวพันอีกหรอก
“ท่านหมอเทวดา โปรดหยุดฝีเท้าด้วย” รุ่ยอ๋องไล่กวดตามไปขวางหน้าเขา “ร่างกายข้ายังฟื้นฟูไม่เป็นปกติสมบูรณ์เลย จะขาดท่านไม่ได้จริงๆ”
บอกว่าห้ามแตะต้องสตรีภายในหนึ่งปีก็จะฟื้นฟูร่างกายได้อะไรกัน ขืนปล่อยตัวหมอเทวดาผู้นี้ไปตอนนี้ ถ้าเกิดหนึ่งปีให้หลังยังไม่เป็นปกติแล้วเขาจะไปร้องไห้กับผู้ใดเล่า
“สิ่งที่ท่านอ๋องขาดมิได้คืออาบน้ำสมุนไพรต่างหาก มิใช่ข้า” หมอเทวดามีสีหน้าไม่พอใจ
สมดังคำกล่าวว่าไม่เห็นกระต่ายอย่าได้ปล่อยเหยี่ยว* จริงๆ หรือจะพูดว่าพวกเชื้อพระวงศ์หาดีไม่ได้สักคนนะ
เขามองฉือชั่นแวบหนึ่งก่อนเอ่ยต่อท้ายในใจว่า รวมถึงเจ้าหนุ่มนี่!
“ขาดมิได้ทั้งนั้นๆ” เพื่อทายาทสืบสกุลแล้ว รุ่ยอ๋องไม่มีน้ำโหกับหมอเทวดาหลี่แม้แต่น้อยนิด
ฉือชั่นเห็นแล้วประหลาดใจ ลอบคิดคำนึงว่ารุ่ยอ๋องป่วยเป็นอะไรกันแน่ ถึงก้มศีรษะโอนอ่อนต่อตาเฒ่าผู้นี้ถึงเพียงนี้
“ท่านหมอเทวดา พวกเราได้พบกันอีกแล้วนะ” ฉือชั่นดูออกว่าเขาไม่อยากแยแสตนก็เลยเป็นฝ่ายรุกก่อน
หมอเทวดาเลิกคิ้วขึ้น
เจ้าหนุ่มนี่หมายความว่าอะไร หรือคิดจะเปิดโปงเรื่องที่เกิดขึ้นทางแดนใต้ต่อหน้ารุ่ยอ๋อง
ฉือชั่นเห็นหมอเทวดาหลี่หน้าเปลี่ยนสีก็ยกมุมปากโค้งขึ้น กล่าวถ้อยคำแฝงความหมายลึกล้ำ “จะว่าไปแล้วคงเป็นชะตาต้องกัน ตอนนั้นท่านหมอเทวดาพาคนของ…”
“ประเดี๋ยวก่อน” หมอเทวดาหลี่ตัดบทเขาฉับพลัน มองสบสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของอีกฝ่ายแล้วเกือบหลุดปากสบถด่าออกมา
เจ้าหนุ่มนี่ช่างบัดซบนัก ถึงกับเอาชื่อเสียงของแม่นางน้อยผู้นั้นมาข่มขู่ข้า!
หมอเทวดาหลี่สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งเต็มแรง
น่าโมโหจริงๆ ทั้งที่แรกเริ่มเดิมทีแม่นางน้อยอยู่กับเจ้าหนุ่มบัดซบผู้นี้ ตอนนี้กลับใช้นางขู่ข้าเสียแล้ว
ฮึ ข้าเป็นคนที่ยอมให้ใครข่มขู่รึ!
“ท่านหมอเทวดาคงลืมไปแล้วว่าตอนนั้นเด็กสาว…”
“เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร” หมอเทวดาที่ยอมจำนนต่อคำขู่โดยสิ้นเชิงไต่ถามขึ้นอย่างรวดเร็ว
รอยยิ้มตรงมุมปากฉือชั่นขยายกว้างขึ้น
ชนะเดิมพันแล้ว!
เขานึกไว้แล้วเชียวว่าตาเฒ่าหงำเหงือกนิสัยน่าชังผู้นี้ยอมรับเด็กสาวผู้นั้นเป็นหลานสาวบุญธรรม ก็บ่งชัดแล้วว่าน้ำหนักของนางในใจตาเฒ่านั้นต้องไม่สามัญเลยทีเดียว
รุ่ยอ๋องที่ฟังอยู่ด้วยความฉงนฉงายอดถามขึ้นไม่ได้ “ท่านหมอเทวดากับญาติผู้น้องรู้จักกันจริงๆ หรือ”
“ไม่รู้จัก” ทั้งคู่ตอบเป็นเสียงเดียวกัน
รุ่ยอ๋อง “…” เห็นข้าเป็นคนโง่หรือไร!
“แค่มีโอกาสได้พบหน้าท่านหมอเทวดาคราหนึ่งเท่านั้น ท่านหมอเทวดา พวกเรามิสู้ไปสนทนากันข้างนอกเถอะ”
หมอเทวดาหลี่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นใจ เขาข่มความโกรธไว้แล้วพยักหน้า
ถ้ามิใช่เพราะรู้สึกว่าแม่หนูหลีคล้ายกับแม่หนูเฉียว เขาไม่วุ่นวายใจกับเรื่องนี้แน่
เจ้าหนุ่มผู้นี้ช่างไร้ยางอาย ต่ำช้า และหน้าหนาสิ้นดี!
“จะไปที่ใดก็รีบไปสิ!” หมอเทวดากลอกตาขึ้น สะบัดแขนเสื้อสาวเท้าออกไปก่อนก้าวหนึ่ง
“ท่านหมอเทวดาโปรดหยุดฝีเท้าด้วย” รุ่ยอ๋องไล่ตามไป ฉวยจังหวะทีเผลอเอื้อมมือไปชิงห่อสัมภาระในมือหมอเทวดามา ฉีกยิ้มจนตายิบหยีแล้วกล่าวขึ้นว่า “ห่อสัมภาระนี้หนักพิกล ข้าช่วยหิ้วให้ท่านเถอะ”
ฉือชั่นแอบเบ้ปาก ไม่พบกันหลายวัน รุ่ยอ๋องหน้าด้านหน้าทนขึ้นอีกแล้ว
หมอเทวดาหลี่มีไฟโทสะสุมอกอยู่เพราะฉือชั่น คร้านจะถือสาหาความกับรุ่ยอ๋อง เขาโบกมือไปมาพลางบอก “ข้าจะออกไปคุยกับคุณชายท่านนี้ก่อน”
ฉือชั่นกับหมอเทวดาเดินออกจากห้อง เห็นองครักษ์สิบกว่าคนยืนเรียงรายกันเป็นแถวๆ จนเต็มพรืดอยู่ในลานกว้าง จ้องมองพวกเขาตาเขม็งอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
ฉือชั่นหมุนกายไปถาม “ท่านอ๋อง นี่หมายความว่าอันใดหรือ”
หมอเทวดาแค่นเสียงฮึ
รุ่ยอ๋องเอ่ยอธิบาย “ญาติผู้น้องไม่รู้อะไร พักก่อนมีหนหนึ่งท่านหมอเทวดาออกไปข้างนอกแล้วพบกับเรื่องไม่คาดฝันหลายเรื่องมาก ฉะนั้นเวลาท่านจะไปที่ใด พาคนติดตามไปด้วยเพิ่มขึ้นเป็นการระมัดระวังไว้จะดีกว่า”
หากมิใช่คนที่อยากพบหมอเทวดาคือกวนจวินโหว เขาไม่มีทางปล่อยให้หมอเทวดาออกนอกวังเป็นอันขาด
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ฉือชั่นได้ยินแล้วไม่อยากถามอะไรต่ออีก ปล่อยให้องครักษ์เหล่านั้นติดตามไปด้วยตามสบาย
ข้างนอกฝนตกหนักขึ้นทุกทีประหนึ่งผืนม่านลูกปัดแก้วใสแขวนประดับกลางฟ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ได้ยินแต่เพียงเสียงน้ำไหลลงมาตามกระเบื้องหลังคาผสานกับเสียงเม็ดฝนหล่นกระทบพื้นดังเปาะแปะๆ
พอหมอเทวดาพลั้งย่ำเท้าลงแอ่งน้ำขังก็ด่าทอคำหนึ่ง “อากาศบัดซบนัก! นี่จะไปคุยกันที่ใด” เขาเหลียวหน้าถาม
ฉือชั่นชี้ไปทางรถม้าที่จอดอยู่ตรงหัวมุม “หอชุนเฟิงที่ถนนสายตะวันตก ท่านหมอเทวดาขึ้นรถม้าก่อนเถอะ”
การเดินกลางสายฝนนั้นเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดใจจริงๆ หมอเทวดาหลี่ไม่พูดพร่ำทำเพลง ปีนเข้ารถม้าแล้วสะบัดรองเท้าที่เปียกแฉะคราหนึ่ง
ฉือชั่นขมวดคิ้วก่อนจะลอดตัวตามเข้าไป
ภายในตัวรถม้ายังนับว่ากว้างขวาง ทว่าคนสองคนที่นั่งอยู่ต่างฝ่ายต่างขวางหูขวางตากัน บันดาลให้รู้สึกอึดอัดคับแคบเป็นพิเศษ
หมอเทวดาหลี่เขยิบบั้นท้ายถอยออกพลางคิดคำนึงในใจ ตอนนั่งบนรถม้ากับแม่หนูหลีตั้งนานปานนั้นก็ไม่เห็นรู้สึกว่าเบียดนี่นา
เขาตวัดสายตามองฉือชั่นแล้วยิ้มเยาะ ดูไปแล้วเจ้าหนุ่มนี่ยังคงน่ารังเกียจเหลือเกินจริงๆ
“เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ เอาชื่อเสียงของเด็กสาวผู้หนึ่งมาบีบคั้นข้า ไม่รู้สึกละอายแก่ใจบ้างหรือ โดยเฉพาะแม่นางน้อยผู้นั้นมีไมตรีกับเจ้าอยู่หลายส่วนด้วย”
ฉือชั่นโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน “ท่านหมอเทวดาอย่าได้เข้าใจผิด ข้ากับแม่นางน้อยผู้นั้นไม่ได้มีไมตรีต่อกันสักน้อยนิด”
เขากวาดตามองหมอเทวดาหลี่แวบหนึ่งแล้วเหยียดยิ้มมุมปาก “ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็เป็นนางที่มีไมตรีต่อข้า หาใช่ข้ามีไมตรีต่อนางเด็ดขาด”
ผู้ใดใส่ใจก่อนผู้นั้นเป็นฝ่ายแพ้ เขาไม่มีทางปล่อยให้ตาเฒ่าหงำเหงือกผู้นี้ชิงความได้เปรียบไปได้
หมอเทวดาโมโหจนตัวสั่น เขาถามด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “ตกลงว่าที่มาหาข้านี่เป็นเรื่องไร้สาระใดกัน”
“ท่านหมอเทวดาอย่าได้ร้อนใจ รอเมื่อพวกเราไปถึงหอชุนเฟิงแล้วค่อยๆ คุยกัน ดูทีว่าท่านอยู่ในวังรุ่ยอ๋องคงจะอับเฉาน่าดู สิ่งใดไหนเลยจะสำราญใจเท่ากับดื่มสุราในหอสุราเล่า”
“พูดมานานสองนาน ข้าเพิ่งได้ยินถ้อยคำเดียวที่เป็นภาษาคน” หมอเทวดาหลี่พูดอย่างปราศจากความเกรงใจใดๆ
ฉือชั่นเบ้มุมปาก ไม่แยแสอีกฝ่าย
แต่ไรมาเขาใจกว้างกับผู้พ่ายแพ้อย่างมาก
ถนนหนทางกลางสายพิรุณมีผู้คนบางตาดูว่างโหรงเหรง ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับ
ป้ายธงสีเขียวขาวหน้าหอชุนเฟิงโดนสายฝนซัดสาดจนเปียกแฉะลู่ลง เสี่ยวเอ้อร์ยืนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางเกียจคร้านเฉื่อยชา
ครั้นรถม้าคันหนึ่งพร้อมองครักษ์หลายสิบคนหยุดอยู่หน้าร้าน เสี่ยวเอ้อร์สองคนก็กระฉับกระเฉงขึ้นทันควัน ออกไปต้อนรับเชื้อเชิญลูกค้าเข้าร้าน
ฉือชั่นทิ้งพวกองครักษ์ไว้ด้านนอก พาหมอเทวดาหลี่เข้าสู่ห้องส่วนตัวห้องหนึ่งแล้วถึงเปิดเผยจุดประสงค์ที่มาหาเขา
* ไม่เห็นกระต่ายอย่าได้ปล่อยเหยี่ยว เป็นสำนวนจีน หมายถึงยังไม่เห็นเป้าหมายก็อย่าเพิ่งลงมือ