หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 86
สายฝนยังไม่ขาดเม็ด มาตรว่าเป็นพื้นถนนหินศิลาเขียว แต่เพราะมีแอ่งน้ำขังเพิ่มขึ้นนับไม่ถ้วน รถม้าจึงวิ่งแล่นไปได้อย่างไม่สะดวกคล่องตัวเท่าไรนัก ดีที่จวนสกุลหลีอยู่บนถนนสายตะวันตกนี่เอง จึงใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงแล้ว
ประตูใหญ่ของจวนปิดสนิท ยามเฝ้าประตูที่อยู่ด้านในแทะเมล็ดแตงอย่างสุดแสนเบื่อหน่าย เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูก็ลุกขึ้นอย่างไม่พึงใจ ตบๆ ฝุ่นตรงบั้นท้ายเดินออกไปแง้มประตูเป็นช่องเล็กๆ
“เจ้าเป็นใคร”
สารถีเอ่ยถามเสียงขรึม “ไม่ทราบว่าที่นี่คือจวนสกุลหลีใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วขอรับ” ยามเฝ้าประตูเห็นเสื้อบนตัวสารถีทำจากแพรพรรณไม่เลว มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสารถีของตระกูลผู้สูงศักดิ์ น้ำเสียงของเขาก็สุภาพขึ้นมากในบัดดล
สารถีได้ยินว่ามาถูกที่แล้ว หยักยิ้มเอ่ยว่า “รบกวนพี่ชายไปเรียนนายท่านของจวนให้ทราบว่าท่านหมอเทวดาหลี่มาเยี่ยมคารวะ”
“หมอเทวดาหลี่?” ยามหน้าประตูชะเง้อคอมองรถม้าที่จอดนิ่งอยู่หน้าจวนแล้วพยักหน้ากล่าวอย่างกุลีกุจอ “โปรดรอสักครู่ขอรับ ข้าจะเข้าไปรายงานเดี๋ยวนี้เลย”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงนั่งเอนกายอยู่บนตั่งสาวงาม กำลังให้ต่งมามาที่รู้วิชาแพทย์งูๆ ปลาๆ นวดดวงตาให้นางอยู่
ต่งมามานวดคลึงให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอย่างเงียบๆ นางระบายลมหายใจยาวเหยียด “ดวงตาข้านับวันยิ่งไม่ไหวแล้ว เคราะห์ดีมีเจ้าอยู่ ยังพอช่วยบรรเทาอาการได้เล็กๆ น้อยๆ”
ต่งมามาพูดปลอบใจด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนเบา “ยาตำรับใหม่ที่ท่านเซียงจวินไหว้วานให้ท่านหมอหลวงเปลี่ยนให้เมื่อพักก่อนได้ผลไม่เลวนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงส่ายหน้าไปมา “คงได้เท่านี้กระมัง ตอนนี้ตาขวาของข้ามองไม่เห็นโดยสิ้นเชิงแล้ว บัดนี้ก็อาศัยตาซ้ายมองสิ่งของ รอเมื่อตาซ้ายบอดไปอีก ชีวิตนี้คงหมดความหมายแล้ว”
“ท่านเซียงจวินอย่าคิดเช่นนี้สิเจ้าคะ ตาซ้ายของท่านไม่มีปัญหาอันใด”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองต่งมามาแล้วคลายยิ้ม “เจ้าอย่าหลอกข้าเลย ตาของข้าเองข้าย่อมรู้ดี นับแต่เปลี่ยนตำรับยาเป็นของหมอหลวง อย่างมากอาการของตาข้างซ้ายนี้ก็ทรุดช้าลง เกรงว่าผ่านไปอีกปีสองปีคงใช้การไม่ได้แล้วจริงๆ”
ต่งมามานิ่งเงียบไป
ครู่ใหญ่ต่อมา ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงขยับกายเปลี่ยนท่านอนแล้วกล่าวเสียงเอื่อยเฉื่อย “เป็นอะไรไปไม่พูดไม่จา”
ต่งมามาใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนปริปาก “อันที่จริง…”
“อันที่จริงอะไร” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเริ่มง่วงงุน นางหลับตาลงแล้วเอ่ยถาม
“อันที่จริงในกาลก่อนข้าเคยได้ยินอาจารย์บอกว่าโรคตาเช่นท่านเซียงจวินมีวิธีรักษาได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงลืมตาพรึบลุกขึ้นนั่งตัวตรง ตาซ้ายที่ยังมองเห็นข้างเดียวทอประกายวาววับ นางจ้องหน้าต่งมามา “วิธีอะไรรึ”
“อาจารย์เคยบอกว่าใช้วิชาเข็มทองเบิกม่านสามารถรักษาอาการนี้ได้เจ้าค่ะ”
“วิชาเข็มทองเบิกม่าน?”
“เป็นการฝังเข็มเพื่อเปิดม่านสีขาวที่บดบังลูกตาไว้ออก สายตาก็จะกลับคืนเป็นปกติเจ้าค่ะ” ต่งมามากล่าวอธิบาย
“ในเมื่อมีวิธีเช่นนี้อยู่ เหตุใดเจ้าไม่บอกแต่แรก” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ยินว่าใช้เข็มทองฝังดวงตาก็ลอบขนลุกพองอยู่สักหน่อย แต่การมองเห็นได้อีกครั้งก็ล่อใจนางให้โอนเอนเหลือเกิน
ต่งมามากล่าวอย่างลุกลน “มิใช่ข้ามีเจตนาปิดบังนะเจ้าคะ ความจริงข้าได้ยินอาจารย์บอกว่าวิชาเข็มทองเบิกม่านนี้หายสาบสูญไปนานแล้ว บัดนี้ในใต้หล้าเหลือคนผู้เดียวที่ใช้วิชานี้ได้”
“เป็นผู้ใดกัน”
“หมอเทวดาหลี่ที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งท่านนั้นเจ้าค่ะ ข้าได้ยินข่าวว่าเขามาเมืองหลวงแล้วถึงเห็นว่าสมควรเอ่ยกับท่าน หากเชิญหมอเทวดาผู้นั้นมารักษาท่านได้ โรคตาของท่านเซียงจวินต้องหายดีแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงหรี่ตาลง
กระนั้นนางสืบข่าวได้ความว่าหมอเทวดาอยู่ในวังรุ่ยอ๋อง เห็นทีว่าคิดจะเชิญเขามาหาใช่เรื่องง่ายไม่
ในเวลานี้เองสาวใช้เข้ามารายงาน “ท่านเซียงจวิน มีแขกมาเยี่ยมคารวะเจ้าค่ะ”
“เป็นใครกัน แขกบุรุษหรือแขกสตรี” ขณะนี้จิตใจของหญิงชราตื่นเต้นพลุ่งพล่าน ได้ยินว่ามีอาคันตุกะมาเยือนก็ไม่ใคร่สนอกสนใจเท่าใดนัก
นางไม่ได้รับเทียบขอเยี่ยมคารวะล่วงหน้า ถ้าเป็นแขกสตรีจะเห็นได้ว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักธรรมเนียมมารยาท แต่ถ้าเป็นแขกบุรุษ ตอนนี้บุตรชายไปที่ว่าการไม่อยู่จวน ก่อนหน้านี้ไม่นานนายท่านผู้เฒ่าก็เดินทางกลับบ้านเดิมยังไม่กลับมา ในวันฝนตกเฉกนี้ นางคร้านจะออกไปพบแขกให้วุ่นวายเช่นกัน
“บอกว่าเป็นหมอเทวดาหลี่มาเยี่ยมคารวะเจ้าค่ะ”
“ผู้ใดนะ”
ท่านเซียงจวินผู้ไว้ตัวและสุขุมเป็นนิจถึงกับถามเสียงหลง ส่งผลให้สาวใช้ที่นำความมาบอกสะดุ้งตกใจ นางพูดตะกุกตะกัก “หมอ…หมอเทวดาหลี่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงลงจากตั่งสาวงาม เดินออกไปข้างนอกพร้อมกับกล่าวว่า “รีบไปจัดน้ำชากับขนมให้พร้อมโดยไว อย่าลืมบอกทางเรือนครัวให้เตรียมอาหารกลางวันเลี้ยงแขกแบบชั้นหนึ่งด้วย”
หญิงชราออกจากเรือนอย่างรีบร้อน สาวเท้าเร็วรี่ไปตามระเบียงที่ทอดตัวยาวล้อมรอบเรือน
ฝนต้นฤดูร้อนยังเจือกระไอเย็นๆ ละอองฝนที่พุ่งกระเซ็นเข้ามาทางด้านข้างทำให้นางสะท้านเยือกอย่างสุดระงับ
สาวใช้อาวุโสที่ดูแลการกินการอยู่ประจำวันของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงรีบไล่ตามออกมา เอาเสื้อคลุมตัวนอกห่มให้นาง “ฮูหยินผู้เฒ่า ระวังถูกไอเย็นเจ้าค่ะ”
สาวใช้มองดูเสื้อผ้าอาภรณ์บนตัวผู้เป็นนายแล้วมีใจอยากเตือนว่านี่มิใช่เครื่องแต่งกายไปพบแขก แต่เห็นท่าทางร้อนใจของนางแล้วก็กลืนคำพูดกลับลงคออย่างมีไหวพริบ
“ท่านหมอเทวดาล่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเร่งฝีเท้ามาตลอดทางจนถึงหน้าประตูใหญ่แล้วเอ่ยถามยามเฝ้าประตู
“รออยู่บนรถม้าด้านนอกขอรับ”
“บัดซบ ไฉนไม่เชิญเข้ามา!” ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเครียดขรึมไปทันใด นางออกคำสั่ง “เปิดประตูใหญ่โดยไว”
เปิดประตูใหญ่?!
ยามเฝ้าประตูอึ้งงันไป ตามปกติน้อยครั้งนักที่จะได้เปิดประตูบานนี้ ตอนนี้กลับจะเปิดประตูใหญ่ต้อนรับแขก หมอเทวดาอะไรคนนั้นสูงศักดิ์ถึงเพียงนี้
ยามเฝ้าประตูลอบฉงนใจ หากไม่กล้าชักช้าเชือนแช กระวีกระวาดเปิดประตูใหญ่ออกด้วยมือไม้ว่องไว
ประตูใหญ่ทาสีแดงเข้มเปิดอ้าออกจนบังเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงย่างเท้าออกไป เดินซอยเท้าสองสามก้าวแล้วกล่าวเสียงดัง “ไม่ทราบว่าท่านหมอเทวดาให้เกียรติมาเยือน ถึงเสียมารยาทมิได้รีบออกมาต้อนรับ ท่านโปรดอย่าได้ตำหนิโทษ”
สาวใช้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังเร่งรีบตามไปกางร่มให้ฮูหยินผู้เฒ่า
ม่านประตูรถม้าถูกเลิกขึ้น องครักษ์เรือนกายสูงชะลูดผู้หนึ่งก้าวลงมา เขาหมุนกายแล้วยื่นมือไป ทว่าผู้เฒ่าข้างในไม่แยแส กระโดดลงมาเองอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว
หมอเทวดาหลี่เหยียบฝ่าเท้ายืนบนพื้นอย่างมั่นคงแล้วเงยหน้ามองไปทางประตูจวนสกุลหลี จากนั้นเบนสายตาไปหยุดที่ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเจียง ดวงตาที่ไม่โตนักทั้งคู่ก็หรี่ลง
แปลกนัก ยายเฒ่าผู้นี้กับคนเมื่อคราวที่แล้วดูจะหน้าตาไม่เหมือนกัน
เขายิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าไม่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรเคยพบหน้าเพียงครั้งเดียว อีกทั้งผ่านไปนานป่านนี้ เขาก็ไม่แน่ใจอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้จึงถามเพื่อให้แน่ใจอีกครา “ที่นี่คือจวนสกุลหลี?”
คำถามนี้สร้างความงุนงงให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียง แต่นางยังตอบด้วยรอยยิ้มสุภาพมีมารยาท “เป็นจวนอันต่ำต้อยของข้าเอง ด้านนอกฝนตกอยู่ เชิญท่านหมอเทวดารีบเข้าไปเถอะ”
“สถานที่ดูคุ้นตาอยู่หรอก แต่ไฉนเจ้าของมิใช่คนเดิม ข้าจำได้ว่าหน้าตาของยายเฒ่าที่พบกันวันนั้นดูสบายตากว่านี้” หมอเทวดาหลี่พึมพำกับตนเอง
แม้เสียงพูดของเขาจะเบามาก ซ้ำยังถูกกลบด้วยเสียงฝน แต่ช่วยไม่ได้ที่หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเป็นโรคทางตา ประสาทหูกลับดีขึ้นอย่างน่าประหลาด นางได้ยินเสียงงึมงำของเขาอย่างชัดเจนก็โกรธจนเนื้อเต้นริกๆ
“ไม่ถูก ฮูหยินผู้เฒ่าที่ข้าพบวันนั้นไม่ใช่ท่าน นางไม่ได้เป็นโรคตา” หมอเทวดาอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญอันล้นเหลือของตนลงความเห็นในที่สุด
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงได้ยินแล้วก็เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นเช่นไรทันที นางข่มใจพูดอธิบายอย่างพิพักพิพ่วน “ท่านหมอเทวดาคงไม่ทราบว่าจวนสกุลหลีของพวกข้าแบ่งเป็นจวนตะวันตกและจวนตะวันออก ครั้งก่อนท่านคงจะไปทางจวนตะวันตกที่ห่างจากจวนตะวันออกไปแค่ตรอกสายเดียวเท่านั้น”
ไม่ทันสิ้นเสียงฮูหยินผู้เฒ่าเจียง หมอเทวดาหลี่ก็หมุนกายกระโดดกลับขึ้นไปบนรถม้า ทั้งยังไม่ลืมดึงตัวเซ่าหมิงยวนที่แต่งกายเป็นองครักษ์ขึ้นมาด้วย “ที่แท้มาผิดที่ เจ้าสารถีโง่เง่าสิ้นดีจริงๆ ยังไม่รีบไปอีก”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วยังรำพึงอีกคำหนึ่ง “โชคดีที่ห่างออกไปแค่ตรอกสายเดียว”
รถม้าเลี้ยวหัวกลับแล้วแล่นเอื่อยๆ จากไปโดยไม่รีรอลังเล ทิ้งฮูหยินผู้เฒ่าเจียงไว้ที่เดิมกลางม่านฝนด้วยจิตใจที่สับสนว้าวุ่นเป็นพิเศษ