หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 87
หมอเทวดาหลี่นั่งอยู่บนรถม้าเรียบร้อยแล้วยังไม่สบอารมณ์อยู่มาก พูดตำหนิเซ่าหมิงยวนไม่หยุดปาก “ข้าว่านะเจ้าหนุ่ม เจ้าทำอะไรได้บ้าง มาผิดที่แล้วก็ไม่รู้จักปริปากบอกสักคำ”
ชายหนุ่มถูกด่าอย่างไร้ความผิด เขาพูดแก้ต่างด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าไม่คุ้นเคยกับที่นี่ขอรับ”
มิใช่แค่ถนนสายตะวันตกนี้ ถึงเป็นที่ที่เขาไปบ่อยๆ เมื่อครั้งวัยแรกรุ่น บัดนี้ล้วนแปลกตาไปมาก
อ้อ…บนถนนสายตะวันตกมีสถานที่หนึ่งซึ่งเขาคุ้นเคยมากในความทรงจำ นั่นก็คือหอชุนเฟิง
เขาเคยเป็นเด็กหนุ่มคึกคะนองมาก่อน เคยห้อม้าตะโกนร้องเพลงกับเหล่าสหายรักเฉกเดียวกับพวกคุณชายมากมายในเมืองหลวง เพียงแต่ในปีที่เขาอายุสิบสี่ปี บิดาซึ่งเป็นดั่งเสาหลักล้มป่วยที่แดนเหนือ คนทั้งวงศ์ตระกูลเจียนล่มจมอับปาง ในเวลานั้นเขาสวมชุดนักรบเพื่อท่านและตัดสินใจลาจากความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของเมืองหลวงไปอย่างแน่วแน่
ก่อนออกเดินทาง สหายรักซึ่งยังเป็นเด็กหนุ่มใกล้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เลี้ยงส่งอำลาเขาที่หอชุนเฟิง
เพลานั้นพวกเขาอายุยังน้อย ยามอยู่ในเรือนไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มสุรา ทว่าวันนั้นทุกคนดื่มจนเมาหัวทิ่มหัวตำที่นั่น หยางเอ้อร์ยังกอดขาเขาร่ำร้องเสียงสะอึกสะอื้นจะตามเขาไปแดนเหนือด้วยกัน สุดท้ายเขาหมดความอดทนกับเจ้าส่วนเกินที่เกาะติดขาตนเองในที่สุด ตีท้ายทอยหยางเอ้อร์จนสลบให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป
ก่อนไปจากเมืองหลวง เขานึกแต่เพียงว่าจะช่วยแก้ปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าให้ท่านพ่อชั่วคราวเพื่อคุ้มครองชาวตระกูลทุกคน แต่เมื่อไปถึงแดนเหนือจริงๆ ได้เห็นชาวเป่ยฉีทำร้ายราษฎรต้าเหลียงอย่างไร้ความเมตตาพวกนั้นกับตา เขาชักดาบสู้แล้วก็ไม่มีโอกาสได้เก็บกลับเข้าฝักอีกเลย
พวกชาวต๋าจื่อเป็นเดรัจฉานที่สามารถลักพาตัวชาวต้าเหลียงตามชายแดนไปแล่เนื้อหมักเกลือทำเป็นเสบียงแห้งในฤดูหนาวที่ขาดแคลนพืชพันธุ์ธัญญาหาร เป็นคนโฉดชั่วที่ผลัดกันย่ำยีสตรีต้าเหลียงต่อหน้าผู้คน จากนั้นก็เฉือนเต้านมของพวกนางมาย่างไฟจนสุกกินแกล้มสุราฤทธิ์แรงพลางหัวเราะกันเสียงดัง
คราใดที่คิดถึงเรื่องพวกนี้ เมืองหลวงที่หรูหรางดงามเมื่อครั้งเป็นเด็กหนุ่มก็จะไร้ซึ่งสีสัน กลายเป็นภาพฝันเลือนรางในความทรงจำของเขา
สำหรับเขาแล้ว คำกล่าวที่ว่า ‘ไม่กำจัดผู้รุกรานแผ่นดิน จะมีเหย้าเรือนไปเพื่ออันใด’ มิใช่ถ้อยคำองอาจห้าวหาญอันใด มันเป็นเพียงทางเลือกเดียวของบุรุษที่มีมโนสำนึกผู้หนึ่ง
ชั่วเวลาที่คนทั้งสองพูดคุยกันไปได้สองคำ รถม้าก็หยุดจอด สารถีตะโกนบอกจากข้างนอก “ท่านหมอเทวดา ถึงแล้วขอรับ”
หมอเทวดาหลี่ไม่ขยับกาย เอื้อมมือไปแหวกม่านประตูออกไต่ถามสารถีที่กระโดดลงรถม้าไปแล้ว “หนนี้ไม่ผิดอีกใช่หรือไม่”
“ไม่ผิดแล้วๆ เมื่อครู่ข้าวิ่งไปถามยามเฝ้าประตู ที่นี่คือจวนตะวันตกของสกุลหลีอย่างแน่นอนขอรับ” สารถีกล่าวเสียงปนหอบ
“เอาล่ะ ถ้าผิดอีกล่ะก็ ข้าจะวางยาเบื่อหนูเจ้าสักห่อให้ตายๆ ไปเสีย”
ภายในเรือนชิงซง คุณหนูใหญ่หลีเจี่ยวกำลังพูดคุยยิ้มหัวกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอย่างสนุกสนาน
ในบรรดาคุณหนูทั้งสี่คนของจวนตะวันตก หลีเจี่ยวกำพร้ามารดาตั้งแต่เล็ก จึงได้รับความเมตตาสงสารจากฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมากที่สุด ยิ่งได้อยู่ร่วมกันมานานหลายปีนี้ ในใจหญิงชราแล้วนางย่อมต่างจากผู้อื่น
ขณะที่หญิงชรากำลังเปล่งเสียงหัวร่อไม่หยุดกับวาจาชวนหัวของหลานสาวคนโตนั้นเอง สาวใช้อาวุโสนามชิงอวิ๋นก็เข้ามารายงาน
“ฮูหยินผู้เฒ่า ยามประตูมารายงานอยู่ด้านนอกว่าหมอเทวดาหลี่มาเยี่ยมคารวะเจ้าค่ะ”
“หมอเทวดาหลี่?” หญิงชราประหลาดใจอยู่บ้าง “ฟังไม่ผิดแน่นะ? เป็นท่านหมอเทวดาหลี่จริงๆ หรือ”
“ไม่ผิดเจ้าค่ะ ข้าซักถามสาวใช้ที่มาบอกความซ้ำหลายหน”
ชิงอวิ๋นเป็นคนหนักแน่นรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่กังขาอีก ตบหลังมือหลีเจี่ยวเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เจี่ยวเอ๋อร์ เจ้ารออยู่ในนี้อย่าออกไปนะ”
แม้จะพูดว่าด้วยอายุอานามของหมอเทวดาแล้ว สตรีในเรือนไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงกันเสียงครหา แต่เขามาเยือนถึงเรือนเช่นนี้เป็นคราแรก ยังไม่รู้ว่านิสัยใจคอของหมอเทวดาผู้นี้เป็นอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถึงสั่งให้หลานสาวหลบหน้าหลบตาด้วยความสุขุมรอบคอบไว้ก่อน
“เจ้าค่ะ” หลีเจี่ยวพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งให้ชิงอวิ๋นประคองเดินไปที่นอกประตูใหญ่ด้วยตนเอง
พอหมอเทวดาเห็นนางก็ผงกศีรษะหงึกหงัก “คราวนี้ถูกต้องแล้ว”
เขามองเห็นสายตาแฝงรอยฉงนจางๆ ของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแล้วมิได้พูดอธิบายอะไรต่อ เพียงบอกจุดประสงค์ที่มาตามตรงทันทีว่า “วันนี้ข้ามาที่นี่เพราะอยากพบหลานสาวบุญธรรมของข้าผู้นั้น”
“เชิญท่านหมอเทวดาเข้าไปนั่งในจวนก่อน”
หมอเทวดาพยักหน้าแล้วก้าวขาเดินเข้าไป
เซ่าหมิงยวนรับปากไว้ว่าจะคุ้มครองความปลอดภัยให้เขาก็ไม่กล้าชะล่าใจ เดินตามไปด้วยอย่างเงียบๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกวาดสายตามองไปที่ตัวชายหนุ่มรอบหนึ่ง รู้สึกได้รางๆ ว่าองครักษ์คนนี้ผิดจากสามัญอยู่สักหน่อย แต่มิได้ขบคิดให้ลึกลงไป นางเดินย้อนกลับไปยังเรือนชิงซงพร้อมกับหมอเทวดาหลี่
เมื่อทั้งคู่เข้าไปนั่งในโถงเรือนแล้ว ชิงอวิ๋นยกชาร้อนสองถ้วยมาวางให้ทันที
“ไม่คิดว่าเจ้าหลานอกตัญญูนั่นยังทำให้ท่านหมอเทวดาต้องเป็นห่วงพะวงอีก ข้าละอายแก่ใจจริงๆ”
แต่ไรมาหมอเทวดาหลี่ไม่ชอบถ้อยคำแสดงมารยาทเหล่านี้ เขาโบกมือไปมาพลางกล่าว “ท่านฮูหยินผู้เฒ่าไม่จำเป็นต้องพูดจาตามมารยาทอีกแล้ว ตอนนี้หลานสาวบุญธรรมข้าอยู่ที่ใด เชิญนางออกมาให้ข้าได้เห็นหน้าเถอะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งบอกยิ้มๆ “ช่างบังเอิญนัก เพราะวันนี้ฝนตก พวกหลานสาวล้วนไม่ได้ไปสำนักศึกษาหญิง ท่านหมอเทวดากรุณารอสักครู่ ข้าจะสั่งให้คนไปตามหลานเจามาเดี๋ยวนี้เลย”
นางกล่าวจบก็เอ่ยสั่งชิงอวิ๋น “ไปที่เรือนหยาเหอเชิญคุณหนูสามมาที่นี่”
“เจ้าค่ะ” ชิงอวิ๋นขานรับแล้วออกไปทำตามคำสั่ง
หลีเจี่ยวซึ่งซ่อนตัวอยู่ห้องด้านในได้ยินเสียงสนทนาดังลอยมาจากโถงเรือนแล้วลอบกัดฟันกรอดๆ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลีซานถึงได้บังเอิญโชคดีอะไรนักหนา หลังถูกลักพาตัวไปแล้วไม่ต้องตกทุกข์ได้ยากสักน้อยนิดไม่ว่า ยังได้รู้จักกับหมอเทวดาอีก
ไม่รู้ว่ารูปโฉมโนมพรรณของหมอเทวดาเป็นอย่างไร
หลีเจี่ยวบังเกิดความสนใจใคร่รู้จึงแอบเคลื่อนกายมาที่หน้าประตู แหวกม่านแล้วมองลอดออกไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง
เป็นเพราะตำแหน่งที่เด็กสาวยืนอยู่ทำให้คนที่นางมองเห็นในแวบแรกมิใช่หมอเทวดาหลี่ แต่เป็นเซ่าหมิงยวนที่ยืนอยู่ข้างกายเขา
ยังพาองครักษ์มาด้วยหรือนี่
หลีเจี่ยวขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็คลายออก
จริงสิ ได้ยินว่าตอนนี้หมอเทวดาท่านนี้พักอยู่ในวังรุ่ยอ๋อง ออกมาข้างนอกมีองครักษ์ของวังอ๋องคอยคุ้มครองก็เป็นเรื่องปกติ
นางไม่สนใจองครักษ์เท่าไร เลื่อนสายตาไปหยุดที่ตัวหมอเทวดาหลี่
หลังพินิจดูอยู่ชั่วอึดใจ หลีเจี่ยวยกมุมปากโค้งขึ้นเงียบๆ
หมอเทวดาที่เรียกขานกัน ดูไปแล้วเป็นชายชราธรรมดาๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น ยังไม่ชวนมองเทียบเท่าองครักษ์ผู้นั้นเลยนะ
เมื่อคิดไปเช่นนี้ นางก็เบนสายตากลับไปที่ตัวองครักษ์หนุ่มอีกครา
เขามองมาทางนี้แวบหนึ่งราวกับรับรู้ได้ แล้วดึงสายตากลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใด
แต่ชั่วพริบตานั้น หลีเจี่ยวรู้สึกเพียงว่าในหัวสมองอื้ออึงไป นางลนลานถอยกลับไปซ่อนตัวหลังม่านประตู หัวใจเต้นโครมครามจนแทบกระดอนออกมานอกอก
องครักษ์ผู้นั้น องครักษ์ผู้นั้น…
นางยกมือกุมอกจวบจนอารมณ์สงบลงทีละน้อยๆ ถึงยื่นนิ้วเรียวงามกลมกลึงไปแหวกม่านออกเป็นรอยแยกเล็กๆ อีกที เพ่งพิศชายหนุ่มที่ยืนหลุบตาอยู่ด้านข้างหมอเทวดาอย่างนอบน้อมผู้นั้น
นางดูไม่ผิด นั่นมิใช่องครักษ์ที่ใดเลย แต่เป็นกวนจวินโหวที่นางเห็นตรงริมถนนในวันประสูติของพุทธองค์
หรือจะมีคนหน้าตาคล้ายกัน
ไม่ๆ
วันนั้นเพราะหลีซานพูดคุยกับกวนจวินโหวต่อหน้าธารกำนัล นางยืนอยู่ริมถนนจึงจดจำลักษณะของกวนจวินโหวได้อย่างแม่นยำ
คนที่แต่งกายเป็นองครักษ์ในโถงเรือนคือกวนจวินโหวอย่างปราศจากข้อสงสัย
เหตุใดเขาต้องแต่งกายเป็นองครักษ์ หากที่สำคัญกว่าคือเพราะอะไรกวนจวินโหวถึงติดตามหมอเทวดามาที่จวนสกุลหลี
ปัญหาเหล่านี้วนเวียนอยู่ในใจหลีเจี่ยว ทำให้ห้วงความคิดของนางยุ่งเหยิงไปหมด
ในเวลานี้เองเสียงรายงานของสาวใช้ดังมาจากข้างนอก “คุณหนูสามมาแล้วเจ้าค่ะ”
หลีเจี่ยวสะดุ้งโหยง นางหยุดความคิดที่สับสนอลหม่านไว้ แล้วมองไปทางหน้าประตู
ม่านประตูทำจากผ้าเนื้อละเอียดสีเขียวแกมดำถูกเลิกขึ้น เฉียวเจาเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มพริ้มพรายประดับมุมปาก