หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 89
“ท่านฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเช่นนี้หรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงซึ่งรีบเร่งฝ่าสายฝนมาที่นี่ได้ยินคำรายงานของชิงอวิ๋นแล้วหน้าบึ้งไปทันใด
ชิงอวิ๋นเป็นสาวใช้อาวุโสข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งได้ย่อมต้องมีหูตาเฉียบไว นางได้ยินวาจานี้แล้วรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านหมอเทวดาผู้นี้เจ้าอารมณ์อยู่บ้าง ท่านฮูหยินผู้เฒ่าเกรงว่าท่านจะเสียเกียรติเจ้าค่ะ”
“ดูออกได้เช่นไรว่าหมอเทวดาผู้นั้นเจ้าอารมณ์” ได้ยินถ้อยคำของชิงอวิ๋น ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงคลายโทสะลงบ้าง นางส่งสายตาบอกสาวใช้ที่มาพร้อมกับตน
อันว่าฟังคำพูดต้องจับน้ำเสียง หมอเทวดาผู้นั้นต้องก่อเรื่องอะไรขึ้นเป็นแน่ ถึงได้มีคำวิจารณ์เฉกนี้
สาวใช้สืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว เอาถุงผ้าปักใบหนึ่งยัดเยียดใส่มือชิงอวิ๋น
ชิงอวิ๋นปฏิเสธไม่รับ นางคลี่ยิ้มกล่าว “ท่านเซียงจวินคงไม่ทราบว่าตอนคุณหนูใหญ่อยู่ในนั้น แค่เรียกขานตามคุณหนูสามว่าท่านปู่คำเดียว ก็ถูกท่านหมอเทวดาตอกกลับทันที ทำเอาคุณหนูใหญ่วางหน้าไม่ถูกยกใหญ่ แต่คุณหนูใหญ่ของพวกเรามีนิสัยใจคอดีถึงไม่เสียกิริยามารยาท หาไม่แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นคนใจแคบ ตอนนั้นคงอดกลั้นไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้าไม่ให้ท่านเข้าไปเพราะคำนึงถึงท่านแต่ประการเดียว
คำพูดของชิงอวิ๋นแฝงความหมายนี้ไว้เป็นนัยๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม พาให้สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอ่อนละมุนลงมาก นางดื่มชาช้าๆ พลางกล่าว “คนมีความสามารถมักเจ้าอารมณ์อยู่บ้างอย่างช่วยไม่ได้”
พอพูดถึงตรงนี้ นางนึกถึงอาจารย์สอนเขียนพู่กันในสำนักศึกษาหญิงขึ้นมาได้
ทั้งที่มิใช่ปรมาจารย์ด้านอักษรวิจิตรชื่อดังอันใด พอได้ยินคำยุแยงของหลีซานไม่กี่คำก็ปักใจว่าเจียวเจียวมีความประพฤติด่างพร้อยจนขอลาออก แปลกคนจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงคิดไปถึงถ้อยคำอันเต็มไปด้วยหลักการและเหตุผลที่อาจารย์ผู้นั้นพูดจนน้ำลายแตกฟองตอนขอลาออกแล้วโกรธจนควันออกหู แต่นางหวั่นใจว่าตาเฒ่าคร่ำครึผู้นั้นจะออกไปพูดจาส่งเดชจนหลีเจียวเสื่อมเสียชื่อเสียง เลยได้แต่ยิ้มแย้มรับฟังอยู่ตลอด ซ้ำยังมอบเงินค่าเดินทางให้อีกก้อนโต ส่วนความคับแค้นในใจนั้นมิต้องไปเอ่ยถึงแล้ว
นางนั่งรออยู่ในโถงรับรองนานสองนาน จึงส่งสาวใช้ออกไปไถ่ถาม
สาวใช้ได้ข่าวแล้วก็กลับมารายงาน “ฮูหยินผู้เฒ่าจวนตะวันตกกำลังกินอาหารอยู่กับหมอเทวดาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงโมโหแทบลมจับ นางดื่มน้ำชาในถ้วยรวดเดียวจนหมดแล้วนั่งนิ่งไม่ขยับด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
อีกด้านหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจัดโต๊ะเลี้ยงแขก นางเชิญหมอเทวดาไปนั่งหัวโต๊ะแล้วให้เฉียวเจาอยู่ร่วมกินอาหารด้วย
หญิงชรามองเซ่าหมิงยวนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาปราดหนึ่งแล้วเอ่ยสั่ง “ชิงอวิ๋น พาพี่ชายท่านนี้ไปกินอาหารด้านหน้า”
ตามหลักแล้วเมื่อแขกมาเยี่ยมเยือน บ่าวไพร่ที่ติดตามมาด้วยจะไม่เข้ามาในโถงต้อนรับ ซึ่งทางจวนจะจัดที่ทางไว้ให้ เพียงแต่หมอเทวดาหลี่มีฐานะผิดจากสามัญ ทั้งยังพำนักอยู่ในสถานที่ที่ต้องระวังเป็นพิเศษอย่างวังของรุ่ยอ๋อง ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจึงไม่อยากเรื่องมากถึงมิได้จัดแจงโดยพลการ แค่ว่าตอนนี้ทุกคนกินอาหารอยู่ ปล่อยให้องครักษ์ที่แขกพามายืนอยู่อย่างนี้จะเป็นการต้อนรับอย่างไม่ทั่วถึงแล้ว
“ไม่ต้อง เขาไม่หิว” หมอเทวดาหลี่คีบเนื้อกวางแผ่นทอดพร้อมกับพูดโดยไม่เหลือบตาขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลอบส่งสายตาบอกเฉียวเจา
นางหลุบตาลงแสร้งทำไม่เห็น
ธนูดอกนั้น…ไม่ทำให้นางชิงชังเซ่าหมิงยวน และถึงขั้นไม่มีแม้แต่คำตัดพ้อต่อว่า ชั่วขณะที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของชาวต๋าจื่อ นางก็ล่วงรู้จุดจบของตนเองแล้ว ยามนั้นชาวต๋าจื่อผลักนางขึ้นไปบนกำแพงเมือง นางไม่เหลือกระทั่งโอกาสจะฆ่าตัวตาย หากปราศจากธนูดอกนั้นของเขา บทลงเอยของนางคงจะน่าอนาถยิ่งกว่านี้
กระนั้นไม่ว่าอย่างไร บุรุษที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมผู้นี้เคยยิงธนูเสียบทะลุอกนางกับมือ นางไม่ได้ใจกว้างถึงขนาดจะเชิญเขากินข้าวหรอก
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลอบขมวดคิ้ว ในใจคิดคำนึงว่า หมู่นี้หลานผู้นี้มิใช่หัวไวดีหรอกรึ วันนี้เป็นอะไรไป
“ท่านย่า ไม่เช่นนั้นก็ตั้งโต๊ะอีกตัวหนึ่งในโถงข้าง จัดสำรับให้พี่ชายองครักษ์กินอาหารเถอะเจ้าค่ะ เรื่องความปลอดภัยของท่านหมอเทวดาจะให้เกิดข้อผิดพลาดมิได้ พี่ชายองครักษ์คงไม่สะดวกออกไปจริงๆ” เพลานี้หลีเจี่ยวอ้าปากกล่าวขึ้นอย่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองไปทางหมอเทวดา
หมอเทวดาหลี่ปรายตามองชายหนุ่มที่ยืนหลุบตาอยู่พลางนึกในใจว่า เจ้าหนุ่มนี่อดข้าวสักมื้อไม่ถึงตายกระมัง ดูสีหน้าเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่
เซ่าหมิงยวนก้มศีรษะลงเล็กน้อย แสดงท่าทางไม่ต่างจากองครักษ์ทั่วไป เขากล่าวอย่างอ่อนน้อม “ท่านฮูหยินผู้เฒ่าไม่จำเป็นต้องวุ่นวายขอรับ ข้าไม่หิวจริงๆ”
“ตกลง จัดโต๊ะให้เขาเถอะ” หมอเทวดาหลี่เอ่ยปากแล้วชำเลืองมองเขา เจ้าบอกว่าไม่เอา แต่ข้าจะให้เจ้าเสียอย่าง
ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็มีสาวใช้เข้ามา ชิงอวิ๋นเป็นคนบัญชาการให้จัดโต๊ะเล็กที่มุมหนึ่งของโถงแล้วยกข้าวปลาอาหารมาวาง
เซ่าหมิงยวนเห็นหมอเทวดากล่าวเช่นนี้ก็เดินไปนั่งลงอย่างโอนอ่อนคล้อยตาม เขาล้างมือเสร็จก็กวาดตามองอาหารบนโต๊ะแล้วต้องลอบประหลาดใจ
อาหารที่จวนสกุลหลีเตรียมให้บ่าวไพร่ไม่ด้อยไปกว่าต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติเลย
ผู้ที่นำทัพออกศึกมานานและแทบจะไม่เคยพ่ายแพ้ย่อมต้องมิใช่นักรบเช่นที่คนธรรมดานึกภาพกันเป็นอันขาด ทั้งยังต้องเฉียบไวกับสิ่งผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ เป็นพิเศษ หลังเซ่าหมิงยวนหายประหลาดใจก็รู้สึกได้ว่าไม่ค่อยชอบมาพากลแล้ว
มีคนรู้ฐานะของข้า!
เขาตวัดสายตามองเฉียวเจาแล้วดึงสายตากลับอย่างว่องไวทันทีโดยไม่ส่อพิรุธ
ถึงแม้เมื่อครู่แม่นางหลีผู้นี้จะไม่แสดงสีหน้าใดๆ มาโดยตลอด แต่นางน่าจะจดจำได้ว่าเขาเป็นใครแต่แรก
เซ่าหมิงยวนยกตะเกียบคีบซานเย่า* ที่รสชาตินุ่มนวลคล่องคอกินคำหนึ่งแล้วรำพึงในใจ
คิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยที่ขว้างต้นกระบองเพชรใส่ข้า จริงๆ แล้วก็เป็นมิตรดี
หลีเจี่ยวนั่งถัดจากฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง แต่จิตใจไม่ได้อยู่ที่อาหารเบื้องหน้าเลย
นางสบช่องที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ชายตามองไปทางมุมโถงข้างหลายครา แต่กลับไม่เห็นกวนจวินโหวที่แต่งกายเป็นองครักษ์มองมาทางตนเองเลย
หลีเจี่ยวยากจะสะกดความผิดหวังในใจไว้ได้ อีกทั้งรู้สึกจนปัญญาเหลือจะกล่าว
จะอย่างไรนางคงไปบอกเขาเองกับปากไม่ได้ว่าอาหารที่เขากินอยู่เป็นนางที่แอบสั่งให้เรือนครัวจัดเตรียมให้กระมัง
หลังมื้ออาหาร หมอเทวดาหลี่ดื่มน้ำชารสอ่อนพลางพูดกำชับกับเฉียวเจา “ประเดี๋ยวท่านปู่ยังมีธุระ คงต้องกลับก่อน แต่ระยะนี้ข้าจะอยู่ที่เมืองหลวงตลอด ถ้าเจ้ามีเรื่องอยากพบก็ฝากให้เจ้าหนุ่มนี่มาบอกข้า”
เขาพูดพร้อมกับยกมือชี้ไปที่ชายหนุ่ม
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาอึ้งงันไปพร้อมกัน
“เจ้าบอกที่ที่ส่งข่าวถึงเจ้าได้ให้แม่หนูเจารู้ไว้ ธรณีประตูวังอ๋องนั้นสูงยิ่งนัก เข้าไปไม่ง่าย”
เซ่าหมิงยวนยิ้มฝืดๆ ในใจ
ธรณีประตูวังอ๋องสูงเข้าไปไม่ง่าย แต่ที่พำนักของข้าก็บอกกับใครไม่สะดวกเช่นกัน หาไม่แล้วเมื่อฐานะของข้าเปิดเผยออกมาในภายหลัง ผู้อาวุโสของนางจะคิดเห็นเช่นไร
เขาประจักษ์แก่ใจดีว่าหมอเทวดาท่านนี้กระทำอะไรไม่กริ่งเกรงใครหน้าไหนอยู่บ้าง กำลังจะบอกปัดอย่างละมุนละม่อม เฉียวเจาก็อ้าปากพูด “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ถ้าท่านปู่หลี่คิดถึงข้าก็มาเยี่ยมข้าสิ”
ครั้นเห็นนางปฏิเสธ หมอเทวดาหลี่ก็ได้คำตอบในใจ เขายิ้มกริ่มเอ่ยขึ้น “ก็ดี เอาเป็นว่าวันหน้าถ้าเจ้ามีเรื่องอยากพบข้า ไปหาเจ้าหนุ่มนี่ก่อนก็แล้วกันนะ”
“เจ้าค่ะ” เฉียวเจาพยักหน้า
หมอเทวดาหลี่หัวเราะขลุกขลัก เขาหยั่งเชิงแม่นางน้อยได้แล้ว นางจำหน้าเจ้าหนุ่มบัดซบผู้นี้ได้แต่แรกตามคาด
เขาก็ว่าแล้วเชียว วันนั้นแม่หนูเจายังขว้างต้นกระบองเพชรใส่เจ้าหนุ่มนี่อยู่เลย ไฉนจะจำหน้าไม่ได้เล่า
รอเมื่อส่งพวกหมอเทวดากลับไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถึงบอกให้หลีเจี่ยวออกไป จากนั้นจับจูงมือเฉียวเจาไว้พร้อมพูด “หลานเจา ข้ามองออกนะว่าองครักษ์ที่ท่านหมอเทวดาพามาด้วยผู้นั้นมิใช่ชั้นสามัญ เจ้าบอกกับท่านย่าทีว่าเขาเป็นใครกันแน่”
หากที่เหนือความคาดหมายของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคือเฉียวเจาได้ยินคำพูดของตนแล้วมิได้บ่ายเบี่ยงเฉไฉใดๆ สักนิด นางตอบอย่างตรงไปตรงมา “เขาคือกวนจวินโหวเจ้าค่ะ”
“ใครนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสงสัยว่าตนเองหูฝาดไป
“กวนจวินโหว แม่ทัพที่กลับมาจากแดนเหนือท่านนั้นอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
หญิงชราอ้าปากค้าง พูดอีกนัยหนึ่งก็คือเมื่อครู่นี้ตอนนางกับหลานสาวสองคนร่วมกินอาหารกับหมอเทวดา กวนจวินโหวผู้เลื่องลือระบือนามนั่งหลบมุมเงียบๆ เฝ้ามองอยู่ด้านข้างอย่างนั้นหรือ
* ซานเย่า เป็นพืชหัวใช้ในการประกอบอาหาร อีกทั้งเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและบำรุงม้ามได้