หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 90
หญิงชราหุบปากไม่ลงครู่ใหญ่ นางกลั้นใจเป็นนานถึงเอ่ยถามออกมาคำหนึ่ง “เจ้ารู้จักได้อย่างไร”
เฉียวเจาหยิบไม้ทุบคลายปวดมาทุบขาให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตามความเคยชิน นางทุบไปเอ่ยแก้ไป “ไม่ใช่รู้จักเจ้าค่ะ แต่จำหน้าได้ ท่านย่าลืมไปแล้วหรือ กวนจวินโหวเข้าเมืองมาในวันประสูติของพุทธองค์ ข้าถูกเบียดจนไปอยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่หรือ”
น้ำหนักมือของเฉียวเจาพอเหมาะพอดี ทั้งยังรู้หลักการรักษาโรค ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งได้นางช่วยทุบขาให้ก็รู้สึกผ่อนคลายสบายมาก แต่พอได้ยินถ้อยคำนี้กลับแข็งตึงไปทั้งเนื้อทั้งตัวอีก นางลอบตกใจ
กวนจวินโหวปลอมตัวเป็นองครักษ์ติดตามหมอเทวดามาเยือนที่จวน คงจะไม่ได้มาดูตัวหลานสาวนางกระมัง
ฮูหยินผู้เฒ่ามองเฉียวเจาอย่างพินิจ
เด็กสาววัยสิบสามยังหลงเหลือเค้าความอ่อนเยาว์อยู่ เพิ่งเริ่มฉายรัศมีความงามชวนให้ตะลึงเพียงน้อยนิด
จะว่าไปแล้ว หลานสาวผู้นี้ของนางมีรูปโฉมโนมพรรณดีเลิศ เพียงแต่ว่าออกจะเด็กเกินไปสักหน่อย
หญิงชราปล่อยใจลอยไปไกลชั่วขณะ ชิงอวิ๋นจึงเอ่ยเตือนขึ้นอย่างระมัดระวัง “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเซียงจวินยังอยู่ในโถงรับรองนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดึงความคิดคืนมาทันใด แย่แล้ว ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้!
“เจ้ากลับเรือนหยาเหอก่อนนะ ท่านย่าจะไปพบท่านย่าใหญ่ของเจ้า”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเกาะแขนชิงอวิ๋นเดินไปอย่างเร่งร้อน ขณะที่เฉียวเจานั่งอยู่บนม้านั่งขาเตี้ยมิได้ลุกขึ้น
สาวใช้อาวุโสอีกคนนามว่าหงซงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ตอนนี้ฝนตกหนักขึ้น ข้าหยิบเสื้อฝนมาให้ท่านนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก” เฉียวเจาบอกเสียงเรียบ
พอมองสบสายตางุนงงของหงซง นางมองไปทางโถงรับรองก่อนกล่าว “ประเดี๋ยวท่านฮูหยินผู้เฒ่าคงเรียกตัวข้าไป รบกวนพี่หงซงช่วยชงน้ำผึ้งมาให้ข้าสักถ้วยเถอะ”
หงซงสะกดความแปลกใจไว้ รีบหมุนกายเข้าไปในห้องชงชาหยิบน้ำผึ้ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงรอคอยอยู่ในโถงรับรองด้วยความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทันทีที่เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเข้ามาก็บันดาลโทสะ “วิธีต้อนรับแขกของน้องสะใภ้นับวันยิ่งทั่วถึงไม่มีบกพร่องแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทำไขสือกล่าวยิ้มๆ “ท่านเซียงจวินชมเกินไป ท่านหมอเทวดาไม่เหมือนแขกทั่วไป ข้าก็ต้องตั้งอกตั้งใจรับรองให้รอบคอบที่สุด ดีที่ไม่มีอะไรตกหล่น ไม่เช่นนั้นถ้าทำขายหน้าจวนสกุลหลีของเรา ข้าคงสู้หน้าท่านไม่ได้”
แต่น่าจะตกหล่นเพียงเรื่องเดียวก็คือลืมท่านเซียงจวินไว้ที่นี่
“เรื่องต้อนรับท่านหมอเทวดา น้องสะใภ้กลับทุ่มเทใจนัก แต่ไม่รู้สึกว่าปล่อยให้ข้าคอยนานไปสักหน่อยหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเห็นอีกฝ่ายทำไม่รู้ไม่ชี้ก็บอกตรงๆ เสียเลย
ตลอดเวลาที่ผ่านมานางเคยไม่ได้รับการเหลียวแลเยี่ยงนี้เมื่อใดกัน พักนี้จวนตะวันตกไม่ให้เกียรติจวนตะวันออกมากขึ้นทุกที
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดกลั้วเสียงหัวเราะร่า “ท่านเซียงจวินพูดเช่นนี้เห็นเป็นคนอื่นคนไกลแล้ว พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน จะนับเป็นแขกอะไรกัน”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียง “…” ยายเฒ่าคู่สะใภ้ไปหัดลูกไม้นี้มาจากผู้ใดกัน
ในเมื่อจะประชันกันว่าใครหน้าหนากว่า เช่นนั้นนางก็ไม่เกรงใจแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกระแอมกระไอให้คอโล่งถึงพูดอย่างตรงไปตรงมา “น้องสะใภ้ วันนี้หมอเทวดามาที่นี่เพื่อเยี่ยมหลานเจากระมัง”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งได้ยินคำนี้แล้วรู้สึกไม่ค่อยเข้าที แต่เรื่องที่เห็นกันทนโท่เช่นนี้จะปฏิเสธก็ไม่ได้ นางจำต้องพยักหน้าพลางตอบ “ตอนท่านหมอเทวดาพาหลานเจาส่งกลับมาก็บอกว่าจะมาเยี่ยมนาง เดิมทีข้านึกว่าเป็นคำพูดตามมารยาท คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมาแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเห็นด้วยอย่างเต็มที่ ใครจะไม่คิดว่าเป็นเพียงคำพูดตามมารยาทเล่า คนผู้นั้นเป็นถึงหมอเทวดาที่ราชสำนักชักชวนมาเป็นขุนนางก็ยังปฏิเสธไม่ไป แต่กลับถูกชะตากับหลานเจา
“นั่นสิ วันนี้ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ ท่านหมอเทวดาก็ยังมา เห็นได้ว่าใส่ใจหลานเจาจริงๆ จริงสิ ข้าได้ยินว่าเขารับหลานเจาเป็นหลานสาวบุญธรรมด้วย มีเรื่องเช่นนี้หรือไม่”
“มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรู้สึกไม่เข้าทีมากขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยกมือนวดคิ้วที่ขนบางหร็อมแหร็ม พลางกล่าวทอดถอนใจว่า “น้องสะใภ้ก็รู้ว่าตาข้างขวาข้าบอดไปแล้วส่วนตาข้างซ้ายพอมองเห็นได้อย่างถูๆ ไถๆ ทีแรกคิดว่าวันใดที่มองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง รอถึงลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็หมดเคราะห์หมดกรรมไป แต่สวรรค์มีเมตตา หมอเทวดามาเมืองหลวง ซ้ำยังบังเอิญว่าเขากับหลานเจามีวาสนาได้เป็นปู่หลานกัน ชะรอยว่านี่จะเป็นฟ้าลิขิตให้ข้ากลับมามองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง”
“ท่านหมอเทวดารักษาโรคตาชนิดนี้ได้หรือ” ปากเอ่ยถาม แต่ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกลับยิ้มเยาะ
ท่านเซียงจวินผู้นี้ตาบอดไปข้างหนึ่งยังชอบเอาชนะคะคานเพียงนี้ ถ้ารักษาโรคตาจนหายดีจริงๆ จะแผลงฤทธิ์ถึงเพียงใดก็ยังไม่แน่
“ขนาดคนที่ย่างเท้าข้างหนึ่งเข้าประตูผีไปแล้ว ท่านหมอเทวดายังดึงกลับมาได้ นับประสาอะไรกับโรคตาเล็กๆ น้องสะใภ้ เจ้าส่งคนไปเรียกหลานเจามาที่นี่เดี๋ยวนี้เลยเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดกับนาง”
“ท่านเซียงจวินมีเรื่องอะไรพูดกับข้าก็เหมือนกันมิใช่หรือ ประเดี๋ยวข้าไปสั่งกำชับเด็กผู้นั้นก็สิ้นเรื่อง”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงทำหน้าขรึมลงน้อยๆ “เหตุใดรึ ข้าอยากพบหน้าหลานสาวสักหน่อย น้องสะใภ้ยังจะกีดกันด้วยหรือ หรือน้องสะใภ้สงสารที่หลานเจาต้องแสดงความกตัญญูต่อยายเฒ่าตาบอดอย่างข้า”
เมื่ออ้างถึงหน้าที่กตัญญูต่อผู้อาวุโสขึ้นมา ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งได้แต่สั่งให้ชิงอวิ๋นไปเชิญคุณหนูสาม
ชิงอวิ๋นออกจากโถงรับรองเดินย้อนไปทางเดิมก็สวนกลับหงซง นางเอ่ยถามว่า “คุณหนูสามกลับไปแล้วใช่หรือไม่”
หงซงส่ายหน้า “ยังเลย คุณหนูรออยู่ที่ห้องเล็กปีกตะวันออกตลอด บอกว่าอีกสักครู่ท่านฮูหยินผู้เฒ่าจะเรียกตัวไป”
นางพูดถึงตรงนี้แล้วชะงักนิ่ง มองชิงอวิ๋นพร้อมกับไต่ถาม “หรือว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้เจ้ามาเชิญคุณหนูสามจริงๆ”
“ใช่น่ะสิ” ชิงอวิ๋นพูดพลางเดินไปข้างในอย่างรีบเร่ง คิดคำนึงในใจว่านับวันจะอ่านใจคุณหนูสามไม่ออกมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อได้ยินจุดประสงค์ที่มาของชิงอวิ๋น เฉียวเจาลุกขึ้นเดินตามนางออกไปข้างนอก
ดอกไห่ถังในลานเรือนกำลังบานสะพรั่ง เมื่อวานตอนมาที่เรือนชิงซงคารวะยามเช้ายังเห็นดกดื่นเต็มต้นดุจผืนเมฆสีแดง แต่หลังฝนตกหนักวันนี้ดอกร่วงหล่นเกลื่อนพื้น เหลือติดต้นกระจัดกระจายบางตา
ชิงอวิ๋นเห็นเฉียวเจามองต้นไห่ถังที่โยกไหวกลางสายฝนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ยิ่งรู้สึกว่าคุณหนูสามนั้นหยั่งใจได้ยาก จึงเอ่ยบอกเสียงเบาๆ เป็นการยื่นไมตรีว่า “เป็นท่านเซียงจวินอยากพบท่านเจ้าค่ะ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องหมอเทวดาท่านนั้น”
เฉียวเจาผงกศีรษะเบาๆ เป็นเชิงว่ารู้แล้ว นางรั้งอยู่ที่นี่ไม่กลับเรือนเพราะคาดการณ์ได้แต่แรกว่าพวกที่ไม่มีผลประโยชน์ไม่ตื่นเช้าเฉกท่านเซียงจวินผู้นั้นมาเยือนทั้งที่ฝนตกหนักด้วยเหตุใด
จะว่าไปแล้ว อาการที่ตาข้างซ้ายของท่านเซียงจวินคงประคับประคองต่อไปได้อีกไม่นาน ถึงคิดจะให้นางขอร้องให้ท่านปู่หลี่ใช้วิชาเข็มทองเบิกม่านสินะ
เฉียวเจาคิดแล้วก็เหยียดมุมปากขึ้นยามก้าวเข้าสู่โถงรับรอง “ท่านย่าใหญ่ ท่านย่า”
“หลานเจามานั่งนี่สิ” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงอ้าปากบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก
เฉียวเจาสาวเท้าเข้าไปนั่งลง
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงใช้ตาข้างซ้ายมองสำรวจเด็กสาวอย่างละเอียดแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเอื่อยๆ “วันนั้นที่วัดต้าฝู หลานเจาก็ทำให้ท่านย่าใหญ่มองเจ้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป บัดนี้ได้ดูดีๆ เจ้าโตเป็นสาวแล้วจริงๆ เจาเจาเอ๊ย ท่านย่าใหญ่เห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ในฐานะผู้อาวุโสของเจ้า ข้าจะไม่พูดจาตามมารยาทแล้ว วันนี้ท่านย่าใหญ่มาที่นี่เพราะอยากขอให้เจ้าช่วยเหลือ”
“ไม่ทราบว่าข้าสามารถช่วยอะไรท่านย่าใหญ่ได้เจ้าคะ” เฉียวเจาถามอย่างเยือกเย็น
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยื่นมือไปตบหลังมือนางเบาๆ
ผิวมือที่ถนอมบำรุงอย่างดียังคงเนียนละเอียด หากสัมผัสที่เรียบลื่นกลับทำให้เฉียวเจาบังเกิดความรู้สึกพะอืดพะอม
นางชักมือออกด้วยสีหน้านิ่งสนิท จากนั้นยกมือขึ้นจับปอยผมที่รุ่ยลงมาไปเหน็บหลังใบหูอย่างแนบเนียนเป็นธรรมชาติ
“ท่านย่าใหญ่ได้ยินว่าหมอเทวดาหลี่มีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ สามารถรักษาโรคของข้าชนิดนี้ได้ ดังนั้นเลยอยากขอให้เจาเจาช่วยเชิญท่านหมอเทวดามารักษาตาให้ข้า” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจ้องมองเฉียวเจานิ่งๆ พูดแฝงความนัยลึกล้ำ “เจาเจาเอ๊ย หมอเทวดาหลี่เป็นปู่บุญธรรมของเจ้า จะว่าไปก็นับเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเรา เจ้าต้องช่วยท่านย่าใหญ่แน่นอนกระมัง”