หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 91
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเฉียวเจาอย่างมั่นอกมั่นใจ นางไม่คิดว่าเด็กสาวตรงหน้าจะกล้าพูดคำว่า ‘ไม่’ ออกมา
ไม่ว่าขนบธรรมเนียมต่างๆ ในยุคนี้จะหย่อนยานกว่าแต่ก่อนมากสักเท่าไร แต่คำว่า ‘กตัญญู’ ยังสามารถพันธนาการผู้เยาว์ไว้ได้อย่างแน่นหนา เหนือสิ่งอื่นใดนางมิใช่ผู้อาวุโสในตระกูลเดียวกันธรรมดาๆ
จวนตะวันตกและจวนตะวันออกแห่งสกุลหลี่เดิมก็เป็นสองพี่น้องสายเลือดภรรยาหลวงที่แยกกันตั้งเรือนออกเป็นสองจวน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งที่อยู่ด้านข้างเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ไรมาความรู้สึกของหลานเจาต่อท่านเซียงจวินมีเพียงความหวาดกลัวทว่าไร้ความเคารพนับถือ แต่ผู้อาวุโสพูดถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าหลานเจาปฏิเสธ เช่นนั้นคงยากจะจบลงด้วยดี
เฉียวเจายืดแผ่นหลังตรงแหน็ว กล่าวพร้อมรอยยิ้มจางๆ “แน่นอนเจ้าค่ะ”
สมัยวัยเยาว์ ท่านแม่อบรมสั่งสอนนางอย่างเข้มงวดกวดขัน ยามนางฝึกธรรมเนียมมารยาทมักรู้สึกทุกข์ทรมานแทบเป็นแทบตาย ซ้ำร้ายท่านย่ายังเห็นดีเห็นงามกับความเข้มงวดของท่านแม่เสมอ เผอิญว่านิสัยของนางกลับสืบทอดมาจากท่านปู่ ซึ่งมีหัวใจที่ไม่อาจทนต่อการถูกบังคับได้แม้แต่น้อยนิดจริงๆ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านย่าโอบไหล่นางที่เงียบขรึมลงทุกวันพลางบอกว่า ‘ธรรมเนียมมารยาทนั้น ฝึกฝนได้ดีก็เพื่ออุดปากคนอื่น หาใช่ผูกมัดตัวเจ้าเองนะ’
ขณะที่ท่านปู่ตรงไปตรงมายิ่งกว่า ‘หลานรักของปู่เข้าใจมันให้ถ่องแท้ ควบคุมมันให้อยู่มือ วันหน้าถึงจะใช้ช่องโหว่ของมันได้อย่างเชี่ยวชาญชำนาญและเย้ยหยันมันได้’
หลังจากนั้นนางไม่เคยโอดครวญอีกเลย
ครั้นเฉียวเจาตอบตกลงทันทีทันใดเช่นนี้ บันดาลให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงพลันรู้สึกเหมือนเหวี่ยงหมัดชกใส่ความว่างเปล่าก็ไม่ปาน นางอึ้งไปเล็กน้อยถึงพูดยิ้มๆ “ท่านย่าใหญ่รู้อยู่แล้วว่าเจาเจาของเราเป็นเด็กกตัญญู”
นางยื่นมือไปตบหลังมือเด็กสาวเบาๆ “ก็ตกลงกันตามนี้ ท่านย่าใหญ่จะรอข่าวดีจากเจ้านะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมาที่จวนตะวันตกแทบนับครั้งได้ ด้วยในสายตานาง น้ำชารับรองแขกของที่นี่ยังไม่ดีเท่าของที่จวนตะวันออกตกรางวัลให้พวกสาวใช้อาวุโสเลย บัดนี้เป้าหมายลุล่วงแล้วมีหรือจะอยากรั้งอยู่ต่อไป นางคุยสัพเพเหระกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งต่ออีกไม่กี่คำก็ลุกขึ้นอำลา
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งออกไปส่งคู่สะใภ้แล้ว จากนั้นสั่งให้บ่าวไพร่ออกไปถึงถอนใจเฮือกแล้วเอ่ยกับเฉียวเจา “เจาเจาเอ๊ย เจ้าตกปากรับคำทันทีได้อย่างไรกัน”
นางกล่าวถ้อยคำนี้แล้วรู้สึกอีกว่าไม่เหมาะไม่ควร จึงถอนหายใจยาวเหยียดก่อนกล่าว “เจ้าก็คงลำบากใจเช่นกัน”
เมื่อผู้อาวุโสมาขอร้องด้วยตนเอง ไหนเลยเด็กสาววัยแค่สิบสามปีจะรู้วิธีรับหน้าอย่างแยบยลมีชั้นเชิง แต่หมอเทวดาผู้นั้นมีนิสัยประหลาดผิดแผกจากผู้อื่นจนขึ้นชื่อลือชา อย่าเห็นว่าเขารับเจาเจาเป็นหลานสาวบุญธรรมแล้ว ถ้าเจาเจาอาศัยจุดนี้มาซื้อน้ำใจผู้อื่น ดีไม่ดีอาจสร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาก็เป็นได้
แพขนตาที่หลุบลงของเฉียวเจากระพือขึ้นลงเบาๆ ก่อนนางจะยกเปลือกตาขึ้นเผยให้เห็นแววยิ้มๆ ในดวงตาที่ไร้รอยกระเพื่อมไหวใดๆ “ท่านย่า ท่านอยากให้ท่านย่าใหญ่หายดีหรือไม่เจ้าคะ”
หญิงชราถูกถามแล้วนิ่งงันไป นางมองเฉียวเจาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น คำถามนี้ของหลานสาวมีความนัยน่าขบคิดยิ่งนัก
เฉียวเจาประสานสายตากับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตรงๆ นางต้องการให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแสดงท่าทีที่ชัดเจนสักอย่าง เพราะถึงที่สุดแล้วฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งต่างหากที่เป็นท่านย่าของหลีเจา
หากฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเห็นแก่ไมตรีระหว่างจวนตะวันออกกับจวนตะวันตกตลอดเวลาที่ผ่านมา อยากรักษาโรคตาของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงให้หายดี อย่างนั้นนางก็จะถือที่ตนยึดครองร่างกายของแม่นางน้อยหลีเจาไว้ ขอร้องให้ท่านปู่หลี่ช่วยเหลือ
อย่างไรก็ดีต่อให้ท่านปู่หลี่ไม่ช่วย เรื่องวิชาเข็มทองเบิกม่านน่ะหรือ นางก็เป็นเหมือนกัน
กระนั้นถ้าลึกๆ ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่ต้องการ แต่ติดขัดที่สายตาคนภายนอกจึงพูดตามตรงไม่ถนัดปาก แล้วนางจะกระทำเรื่องที่ไม่เป็นที่พึงใจของทั้งสองฝ่ายไปไย
อย่างน้อยๆ ในใจนางมิได้มีความรู้สึกที่ดีต่อฮูหยินผู้เฒ่าของจวนตะวันออกท่านนั้นแต่อย่างใด
เพียงพินิจจากพฤติกรรมของนางในวัดต้าฝูก็พอจะบ่งบอกได้ว่านี่คือคนที่เห็นว่าเมื่อมีผลประโยชน์มากพอ ก็พร้อมจะเดิมพันอย่างขาดสติทันทีผู้หนึ่ง ในบางแง่บางมุมไม่รักษาโรคตาให้กับคนพรรค์อย่างนี้อาจเป็นการทำบุญกุศลก็ไม่แน่
“เจาเจาเอ๊ย ท่านย่าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเจ้า” หลังสบตากัน ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกล่าวคำนี้ออกมาด้วยความรู้สึกชอบกล
เฉียวเจายื่นมือไปคล้องแขนกับหญิงชราประหนึ่งสาวน้อยใสบริสุทธิ์ไร้มารยาทั่วไป นางอมยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าท่านย่าเต็มใจ ข้าจะไปขอร้องท่านปู่หลี่ ถ้าท่านย่าไม่เต็มใจ ข้าก็ไม่สนใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอ้าปากค้าง ตอนนี้เจ้าเด็กผู้นี้กลับบ่ายเบี่ยงเฉไฉเก่งเช่นนี้ เมื่อครู่มัวทำอะไรอยู่นะ
ถามนางว่าเต็มใจหรือไม่ นางไม่เต็มใจอย่างแน่นอน
นางมีบุตรชายสองคน คนโตเขียนตำราพงศาวดารอยู่ในสำนักราชบัณฑิต คนรองเป็นขุนนางต่างเมือง ยามปกติแม้ว่าลูกสะใภ้กับหลานๆ จะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้าง ฐานะก็มิได้มั่งคั่งมีเงินทองเหลือเฟือ แต่ดีที่ชีวิตสุขสงบ
ขณะที่ท่านเซียงจวินของจวนตะวันออกนั้นอยากให้บุตรชายที่เป็นรองเสนาบดีของนางก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นใจจะขาด
เสนาบดีโค่วของกรมอาญาผู้นั้นสูงวัยมากแล้ว อีกไม่นานก็จะปลดเกษียณอายุราชการ ตำแหน่งของเขาจึงเป็นดั่งซาลาเปาไส้หมูสับหอมฉุยใบหนึ่ง มีพวกสุนัขหิวโหยจ้องตาเป็นมันตั้งไม่รู้เท่าไร
นางเป็นสตรีที่ไม่ใคร่เข้าใจเรื่องงานบ้านงานเมืองภายนอก แต่จากที่บุตรชายคนโตพูดบ่นคร่ำครวญเป็นบางครั้ง นางก็รู้ถึงความอันตรายของราชสำนักในเพลานี้
สมุหราชเลขาธิการหลันซานครองความเป็นใหญ่ในราชสำนักมานานหลายปี ด้านรองสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋าก็สยายปีกอำนาจออกไปกว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ รุ่ยอ๋องกับมู่อ๋องก็ชิงดีชิงเด่นกันทุกเรื่อง ส่วนฮ่องเต้ที่ฝักใฝ่ในเรื่องบำเพ็ญตบะก็รีๆ รอๆ ไม่แต่งตั้งรัชทายาทเสียที
นางเคยได้ยินบุตรชายคนโตด่าทอว่า ‘ฝ่ายสมุหราชเลขาธิการ ฝ่ายรองสมุหราชเลขาธิการ รุ่ยอ๋องกับมู่อ๋องต่างก็แบ่งพรรคแบ่งพวก รวมกับกลุ่มที่วางตัวเป็นกลางกับไส้ศึก ทำเอาราชสำนักอันทรงเกียรติตกอยู่ในสภาพฟอนเฟะวุ่นวาย ข้อกำหนดกฎหมายที่ประกาศออกมาก็หาใช่เพื่อแผ่นดินอาณาประชาราษฎร์ไม่ แต่เป็นผลจากการดวลหมากชิงอำนาจของฝ่ายต่างๆ ก็โทษมิได้ที่แม้แต่ชาววอโค่วที่ชาวต้าเหลียงเห็นเป็นเศษสวะในอดีตยังกลายเป็นภัยร้ายของต้าเหลียงไปด้วยแล้ว’
บุตรชายคนโตกล่าวว่าเสนาบดีโค่วอยู่ในกลุ่มวางตัวเป็นกลาง ดังนั้นตอนนี้ญาติผู้พี่แห่งจวนตะวันออกซึ่งขึ้นกับเสนาบดีโค่วนับเป็นฝ่ายวางตัวเป็นกลางชั่วคราว
แต่ทันทีที่หลีกวงเยี่ยนหมายจะก้าวหน้าไปอีกขั้น แม้แต่สตรีในเรือนหลังที่ไม่เข้าใจเรื่องราชการแผ่นดินยังกระจ่างแจ้งว่าเขาจะต้องเลือกยืนอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าท่านเซียงจวินรักษาโรคตาหายดี มีกำลังวังชาเปี่ยมล้น ถึงเวลาจะไม่วิ่งเต้นให้บุตรชายอย่างสุดกำลังหรือ
ถึงอย่างไรจวนตะวันตกกับจวนตะวันออกก็ตัดไม่ตายขายไม่ขาด หากจวนตะวันออกเลือกข้างถูก จะได้พึ่งบารมีไปด้วยหรือไม่ก็ยังไม่รู้ แต่ถ้าเลือกข้างผิด ต้องเคราะห์ร้ายตามไปด้วยเป็นแน่แท้ แล้วจะให้ครอบครัวของนางละทิ้งชีวิตที่สุขสงบไปเดิมพันกับจวนตะวันออกด้วย เช่นนั้นมิใช่เสียสติหรือไร
ไม่เต็มใจ…ไม่เต็มใจ…ฮูหยินผู้เฒ่าสุดแสนจะไม่เต็มใจ!
ทว่าถ้อยคำนี้จะพูดกับหลานสาวก็ไม่เหมาะเอาเสียเลย
หากนางพูดว่าไม่เต็มใจให้คู่สะใภ้ของจวนตะวันออกได้ตรวจอาการป่วย วันหน้าหลานสาวจะมองนางด้วยสายตาเช่นไร จะต้องเห็นนางเป็นยายเฒ่าชั่วร้ายใจคอคับแคบเห็นใครดีไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแลมองหลานสาววัยเยาว์ที่อมยิ้มน้อยๆ มองตนอยู่แล้วระบายลมหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง
ไฉนเจ้าเด็กผู้นี้ถามคำถามที่น่าอึดอัดใจอย่างนี้กับนางนะ
“เจาเจาเอ๊ย เจ้าบอกกับท่านย่าจากใจจริงที แล้วเจ้าเต็มใจหรือไม่เล่า”
เฉียวเจาไม่ลังเล ดวงตาคู่โตและหวานซึ้งฉายแววสงบนิ่งชัดเจน “ไม่เต็มใจเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอึ้งงัน “…” เด็กผู้นี้ เหตุใดถึงตรงไปตรงมาได้น่ารักถึงเพียงนี้นะ
“ข้าเห็นว่าเมื่อท่านเซียงจวินทุ่มความสนใจไปที่โรคตาแล้ว จะออกไปพบปะสังสรรค์กับผู้คนไม่สะดวกนัก พวกเราจวนตะวันตกก็จะอยู่กันอย่างสุขสงบขึ้นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน นางมองหลานสาวอย่างตะลึงลาน วาจานี้ของหลานเจาหมายความว่าอะไร ไม่น่าจะเป็นความคิดเดียวกันกับนางกระมัง
ไม่ๆๆ หลานเจาเพิ่งอายุเท่าไรเอง จะคิดไปถึงขั้นนี้ได้อย่างไรกัน
ทว่าเด็กสาวตรงหน้ามีสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงหนักแน่น ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็มองไม่ออกว่านางลงความเห็นตามปากพาไปเท่านั้น
หรือว่าหลานสามที่มักจะเข้ากับพวกพี่น้องสตรีที่อยู่ด้วยกันในเรือนหลังไม่ได้ในกาลก่อน จะมีสายตาที่มองสถานการณ์โดยรวมได้เฉียบคมอย่างหาได้ยาก
“เจ้าเด็กผู้นี้พูดจนท่านย่าสับสนงุนงงไปหมดแล้ว สุขสงบไม่สุขสงบอะไรของเจ้า”
เฉียวเจาเขย่าแขนของหญิงชราเบาๆ ละม้ายหลานสาวตัวน้อยทั่วๆ ไปที่ติดท่านย่าแจพลางพูดตาปริบๆ “ท่านลุงใหญ่ของจวนตะวันออกถูกส่งไปสืบคดี ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไรนะเจ้าคะ”
สายตาของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทอประกายลึกล้ำทันควัน
เอ่ยถึงหลีกวงเยี่ยนในเวลานี้ แสดงว่าเด็กผู้นี้เข้าใจอะไรๆ ได้จริง!