หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 92
“นั่นสิ ท่านย่าก็เห็นว่าอยู่อย่างสุขสงบดีกว่า”
เรื่องบางเรื่องทั้งสองฝ่ายต่างรู้แก่ใจดีเท่านั้นเป็นพอ ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยออกมา ทว่าในใจฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกลับวางเฉียวเจาอยู่ในตำแหน่งใหม่แล้ว
สตรีที่ไม่เลอะเลือนในเรื่องสำคัญผู้หนึ่งถึงดูแลเรือนหลังไม่ดี อย่างมากก็น่าหนักใจเล็กน้อย แต่ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองหลานสาวด้วยสายตาอ่อนโยน นางลอบถอนใจยาวเหยียด
หลานสาวของนางเป็นหยกดิบชิ้นหนึ่งแท้ๆ น่าเสียดายที่คนใต้หล้ามีตาหามีแววไม่ ไม่รู้ว่าได้ตบแต่งภรรยาเช่นนี้ถึงมีวาสนาอย่างแท้จริง
ช่างเถิด ชื่อเสียงของหลานเจาแปดเปื้อนมลทิน ถ้าอยู่ในตระกูลของตนเองจนแก่เฒ่า ไม่แน่อาจเป็นความโชคดีของลูกหลานสกุลหลีก็เป็นได้
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งบังเกิดความคิดนี้ขึ้น ย่อมจะไม่เห็นเฉียวเจาเป็นหลานสาวธรรมดาๆ อีกต่อไป นางตบหลังมือของเด็กสาวเบาๆ พลางกล่าว “ถ้าเป็นอย่างนี้ เจ้าจะให้คำตอบท่านเซียงจวินเช่นไร”
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ “ไว้วันพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปขอพบท่านหมอเทวดาที่วังรุ่ยอ๋องเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอึ้งงันไป “ท่านย่าเห็นท่านหมอเทวดาใส่ใจเจ้าอยู่มาก หากเจ้าส่งคนไปเชิญ ท่านคงจะตอบตกลงกระมัง”
เฉียวเจาเปล่งเสียงหัวเราะ “ไปเชิญคนที่วังรุ่ยอ๋องก่อนค่อยว่ากันอีกทีนะเจ้าคะ”
รอถึงวันพรุ่งนี้ค่อยไปที่วังรุ่ยอ๋อง เกรงว่าจะเชิญท่านหมอเทวดาไม่ได้แล้ว
ท่านปู่หลี่พูดว่าธรณีประตูวังอ๋องสูงเข้าได้ยาก บอกนางว่ามีเรื่องใดให้ส่งข่าวถึงเซ่าหมิงยวนเพื่อหยั่งเชิงว่านางรู้จักเขาหรือไม่ แต่ในความคิดของนาง ท่านยังแย้มพรายเป็นนัยๆ อีกชั้นหนึ่งว่าหลังจากนี้ท่านปู่หลี่ไม่อยู่ที่วังรุ่ยอ๋องแล้ว
นางรู้จักท่านปู่หลี่มาสิบกว่าปีจึงรู้นิสัยของเขาดี
สถานที่อย่างวังของรุ่ยอ๋องนั้นเป็นที่ที่ท่านปู่หลี่รังเกียจชิงชังเป็นพิเศษ บัดนี้มีเซ่าหมิงยวนมาขอความช่วยเหลือด้วยตนเองอย่างไม่ง่ายดาย ถ้าไม่รีบอาศัยบารมีของเขาช่วยให้หลุดพ้นจากที่นั่นต่างหากถึงเป็นเรื่องแปลก
มิไยว่ารุ่ยอ๋องจะป่วยเป็นโรคอะไรก็คงไม่พึงใจที่เห็นท่านปู่หลี่จากไป พรุ่งนี้นางส่งคนไปเชิญหมอเทวดาก็จะเท่ากับไปสะกิดความไม่พอใจของเขาอีก ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีสิถึงแปลก
ในส่วนของนางได้พยายามอย่างเต็มที่ในเรื่องนี้แล้ว ต่อให้ท่านเซียงจวินของจวนตะวันออกผู้นั้นยกฐานะผู้อาวุโสขึ้นข่มอีก นางก็ไม่มีหนทางใดๆ เหมือนกัน ถึงอย่างไรหมอเทวดาหลี่ไม่อยู่ที่วังอ๋องมิใช่เรื่องที่ผู้ใดจะควบคุมได้ แล้วคงจะบีบคั้นหลานสาวเช่นนางถึงตายไม่ได้กระมัง
กิตติศัพท์ไร้ความเมตตาอย่างนั้น ท่านเซียงจวินผู้นั้นคงไม่อยากแบกรับไว้
เพียงทว่า…
เฉียวเจานึกไปถึงเซ่าหมิงยวนอีก
เขาพาท่านปู่หลี่ออกจากวังรุ่ยอ๋องอย่างนั้นก็ต้องติดค้างน้ำใจรุ่ยอ๋องไม่น้อย
แม่ทัพซึ่งอยู่ในตำแหน่งสำคัญเช่นเขาติดค้างน้ำใจองค์ชายพระองค์หนึ่งไม่ใช่เรื่องดีอะไร
เฉียวเจาคิดไปถึงอาการพิษเย็นของเซ่าหมิงยวนก็เข้าใจการกระทำของเขาได้
ติดค้างน้ำใจก็แค่สร้างปัญหายุ่งยาก แต่ไม่ขับพิษเย็นอาจถึงตายได้ ถึงเขาไม่แจ่มแจ้งถึงอันตรายของมัน ความเจ็บปวดทรมานที่เกิดจากการได้รับพิษเย็นนั้นมิใช่คนธรรมดาจะทานทนไหว
“คิดอะไรอยู่หรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยีๆ ผมของหลานสาวแผ่วเบา
เมื่อครู่หลานเจายังดูเป็นคนฉลาดเจนจัดอยู่เลย ตอนนี้ทำตาลอยๆ จนคนเป็นท่านย่าอย่างนางอดหยอกล้อไม่ได้
หญิงชราคิดไปเช่นนี้ก็เพิ่มน้ำหนักมือมากขึ้น ส่งผลให้มวยแกละสองข้างบนศีรษะนางหลุดลุ่ยทันใด
ปอยผมปรกลงบังหน้าผากเรียบเนียนของเด็กสาว นางยกมือกุมหน้าผาก พูดอย่างตกใจแกมจนปัญญา “ท่านย่า ท่านทำผมข้ายุ่งหมดแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหัวร่อเสียงดัง ความแตกต่างกันสุดโต่งเช่นนี้ช่างน่าเอ็นดูจริงๆ “หรงมามา เข้ามาสางผมให้หลานเจาที”
หรงมามาที่รออยู่ด้านนอกได้ยินเสียงเรียกก็เข้ามา เห็นเฉียวเจาที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงแล้วไม่ได้แสดงสีหน้าผิดปกติแม้แต่น้อย นางคลี่ยิ้มเอ่ยชม “คุณหนูสามดูแลเส้นผมได้สวยงามมากเจ้าค่ะ”
ถ้อยคำนี้ของหรงมามาไม่ใช่การเยินยอ
เรือนผมของแม่นางน้อยหลีเจาดกหนาอยู่แต่เดิม มาตรว่าตั้งแต่กลับถึงจวนสกุลหลี เฉียวเจาไม่มีแก่ใจจะแต่งกายประทินโฉมตนเอง การกินอยู่นอนหลับประจำวันก็ทำไปตามนิสัยเดิมในอดีต
นางไม่เคยชินกับการใช้น้ำมันใส่ผมที่ซื้อมาจากร้านขายเครื่องประทินโฉม เลยเขียนตำรับหนึ่งมอบให้อาจูไปซื้อสมุนไพรกับดอกไม้สดมาทำเป็นน้ำปรุงใส่ผมง่ายๆ
เส้นผมยาวเฟื้อยทั้งศีรษะจึงนุ่มสลวยเงางามดุจเส้นไหมก็ไม่ปานโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หรงมามาสยายผมของเฉียวเจาลงแล้วใช้หวีนอแรดสางจากโคนไปถึงปลายรวดเดียวไม่ติดขัด นางกล่าวอย่างอัศจรรย์ใจ “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านดูสิ ข้าพูดไม่ผิดกระมังเจ้าคะ คุณหนูสามวางใจได้ ข้าจะทำผมทรงที่งามเป็นพิเศษให้ท่านแน่นอน”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดยิ้มๆ อยู่ด้านข้าง “ข้าว่าเจ้าคงเบื่อหน่ายที่ต้องสางผมหงอกขาวเหมือนฟางข้าวของยายเฒ่าอย่างข้ามานานแล้วกระมัง”
บรรยากาศภายในห้องชื่นมื่นกลมเกลียวขึ้นมาทันใด ไม่ตึงเครียดเฉกเช่นก่อนหน้านี้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคิดคำนึงในใจว่านี่ต่างหากคือชีวิตที่นางปรารถนา เพียงหวังว่าจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ได้ตลอด
นางไม่ถามเฉียวเจาต่อว่าจะเอาตัวรอดจากคำขอร้องของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงด้วยวิธีการใด
เมื่อประจักษ์ได้ว่าเฉียวเจาผิดแผกไปจากหลานสาวคนอื่นๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็รู้สึกได้รางๆ ว่า ในเมื่อหลานเจาไม่อยากให้โรคตาของท่านเซียงจวินหายดี เช่นนั้นก็ต้องทำได้แน่นอน
หญิงชราเลื่อนสายตาไปเล็กน้อย ในคันฉ่องสลักเสลาลวดลายสะท้อนเงาของดวงหน้างามพริ้มเพรากับเรือนผมนุ่มสลวยเงางามของสาวน้อย หากสิ่งที่ดึงดูดใจจนละสายตาไม่ได้ เป็นท่วงทีกิริยาของนางที่ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวสงบนิ่งลงได้
เหอซื่อเลี้ยงดูบุตรสาวให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ จู่ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นในหัวฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
นางตรึกตรองเป็นนานจนกระทั่งหรงมามาสางผมให้เฉียวเจาเสร็จแล้วถึงลงความเห็นว่า น่าจะสืบทอดมาจากข้า…
เฉียวเจาที่มุ่นผมใหม่เรียบร้อยกล่าวอำลาท่านย่าแล้วเดินกลับไป ระหว่างทางได้พบกับหลีกวงเหวินที่อาภรณ์เปียกฝนไปมากกว่าครึ่ง
“ท่านพ่อเลิกงานแต่หัววันอย่างนี้เลยหรือเจ้าคะ”
เขากล่าวเสียงฮึดฮัด “ทะเลาะกับสหายขุนนางผู้หนึ่ง อยู่ที่นั่นแล้วไม่สบอารมณ์!”
“…” เฉียวเจาอึ้งงัน ทุกคราในเวลาเช่นนี้ นางมักไม่รู้ว่าสมควรทำอย่างไรดีอยู่ร่ำไป จะปลอบใจท่านพ่อที่หนีงานกลับเรือนก็ฝืนมโนธรรมในใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
หลีกวงเหวินรออยู่นานสองนานก็ไม่เห็นบุตรสาวกล่าวคำปลอบใจ เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความน้อยอกน้อยใจอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่ทันสังเกต “เจ้าไม่รู้ว่าสหายขุนนางผู้นั้นน่าโมโหเพียงใด ข้าเดินหมากกับเขา ชนะเขาได้ไม่กี่แต้ม แต่เขากลับไม่ยอมจำนน”
“หลังจากนั้นเล่าเจ้าคะ”
“หลังจากนั้นข้าก็พูดว่านี่จะมีอะไรให้ไม่ยอมจำนน ถ้าเปลี่ยนเป็นบุตรสาวข้าคงชนะท่านไปเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนแล้ว” หลีกวงเหวินยิ่งพูดยิ่งหัวเสีย “เจ้าว่าคนผู้นั้นใจแคบปานใด เขาทำหน้าบึ้งพูดคำเดียวว่าครึ่งชั่วยามก่อนเพิ่งเริ่มเดินหมากแล้วก็คว่ำกระดานหมากเลย”
เฉียวเจานิ่งเงียบสนิท ด้วยเหตุฉะนี้ท่านพ่อที่เคารพถึงหนีงานด้วยความโกรธเคืองเพราะเดินหมากกับคนในสำนักราชบัณฑิตแล้วทะเลาะกัน
“เสื้อผ้าของท่านพ่อเปียกแล้ว รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะ ข้ากลับห้องก่อนนะเจ้าคะ” เฉียวเจาย่อเข่ากล่าวขอตัวกับบิดา
หลีกวงเหวินยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาหัวเราะแหะๆ “เจาเจาเอ๊ย ท่านพ่อยังมีเรื่องที่ไม่ได้บอก”
“ท่านพ่อยังมีเรื่องใดเจ้าคะ” ในใจเฉียวเจาบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
สายฝนที่สาดมาทางด้านข้างกระเซ็นเข้าตาของหลีกวงเหวิน เขาขยับตัวไปทางด้านในของระเบียงยาวแล้วขยี้ตาพลางพูด “เขาคว่ำโต๊ะเพราะไม่เชื่อมิใช่รึ ข้าเลยบอกว่าข้าไม่ได้คุยโอ่ ถ้าไม่เชื่อรอวันใดลองดวลหมากกับบุตรสาวคนรองของข้าสักยกเป็นอันสิ้นเรื่อง”
เขามองเฉียวเจาปราดหนึ่งอย่างระมัดระวังแล้วพูดยิ้มๆ “จากนั้นพวกข้าก็ตบมือสัญญานัดหมายกันวันพรุ่งนี้ เจาเจา เจ้าคงช่วยท่านพ่อกระมัง”
เฉียวเจาตอบคำไม่ถูกอยู่บ้าง “เอ่อ…”
พอเห็นบุตรสาวไม่สนใจไยดี หลีกวงเหวินก็ถอนใจเฮือกก่อนกล่าว “เขาบอกแล้วว่าถ้าท่านพ่อไม่สามารถพิสูจน์ว่าไม่ได้พูดโอ้อวดก็ให้ข้าไสหัวออกจากสำนักราชบัณฑิตไปเสีย”
“เขาเป็นสหายขุนนางของท่านไม่ใช่หรือเจ้าคะ” สหายขุนนางไม่น่าจะมีอำนาจทำเช่นนี้กระมัง
“เอ่อ…แม้จะเป็นสหายขุนนางในสำนักราชบัณฑิต แต่คำพูดของเขามีน้ำหนัก”
“เขาสนิทสนมกับผู้บังคับบัญชาของท่านพ่อหรือเจ้าคะ”
“นั่นกลับมิใช่ เขาเป็นมหาบัณฑิตหัวหน้าสำนัก”
“หา?”
เข้าใจแล้ว สหายขุนนางตามที่ท่านพ่อเรียก ที่แท้เป็นเสนาบดีกรมพิธีการควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตนั่นเอง