หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 94
พูดถึงเฉาเชา เฉาเชาก็มา*
ฉือชั่นหุบร่มสาวเท้าก้าวใหญ่เดินฉับๆ เข้ามา เขากวาดตามองเนื้อรมควันกับไก่ย่างบนโต๊ะแล้วสาแก่ใจ “อะไรกัน จวนสกุลหลีไม่เลี้ยงอาหารหรืออย่างไร”
ว่าแล้วเชียว ไม่มีข้าไปด้วยน่ะไม่ได้หรอก
หมอเทวดาหลี่กำลังขัดเคืองใจอยู่หลายส่วนพอดี ได้ยินคำนี้แล้วก็กลอกตาขึ้นกล่าวว่า “ใครบอกว่าไม่เลี้ยงอาหาร จวนสกุลหลีไม่เพียงเลี้ยงอาหาร ตัวฮูหยินผู้เฒ่ายังพาหลานสาวมานั่งกินเป็นเพื่อนอีกด้วย”
ในแคว้นต้าเหลียง น้อยครั้งนักที่ประมุขหญิงของเรือนจะออกหน้ารับรองแขกบุรุษ ยกเว้นว่าเป็นแขกผู้ทรงเกียรติหรือผู้อาวุโสในตระกูล หมอเทวดานั้นเป็นทั้งแขกผู้ทรงเกียรติและผู้อาวุโส ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถึงให้หลานสาวออกมาต้อนรับด้วยกัน
ฉือชั่นฟังแล้วชายตามองเซ่าหมิงยวน ยิ้มพรายกล่าวขึ้น “เช่นนั้นถิงเฉวียนแต่งกายเป็นองครักษ์คงไม่ได้กินอาหารสินะ”
เซ่าหมิงยวนไม่ปริปาก เป็นหมอเทวดาหลี่เอ่ยตอบ “ใครบอก ตอนนั้นเขาก็นั่งกินอยู่ในโถงเดียวกัน ซ้ำยังได้นั่งตามลำพัง กินอาหารได้ตามสบายกว่า”
ฉือชั่นหน้าบึ้งไปในพริบตา ตาแก่หงำเหงือกผู้นี้ไม่สอดปากพูดจะตายหรือไม่
คุณชายฉือคับอกคับใจอยู่นานแล้ว กล่าวระบายออกมาคำหนึ่งว่า “จวนสกุลหลีนี่ช่างไม่รู้จักธรรมเนียมจริงๆ” ทั้งที่มีชายหนุ่มอยู่ด้วย ถึงกับเรียกหลีซานออกมาต้อนรับ เสื่อมเสียเกียรติสิ้นดี!
ฉือชั่นค่อนแคะจบแล้วเอ่ยถามเซ่าหมิงยวน “ฝนตกอยู่ยังให้ข้ามาที่หอชุนเฟิงสองครั้งสองคราในวันเดียว หนนี้เป็นเรื่องอะไรอีกล่ะ”
น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของสหายรักทำให้เซ่าหมิงยวนงุนงงชอบกลอยู่สักหน่อย แต่เรื่องที่รับปากหมอเทวดาหลี่ไว้จำเป็นต้องให้เขาเป็นคนกลางให้ เขาจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา “สือซี ข้าอยากไหว้วานเจ้านำความไปบอกต่อรุ่ยอ๋อง…”
“เรื่องอะไร” ฉือชั่นไม่โง่เขลา ได้ยินวาจานี้แล้วตรึกตรองชั่วอึดใจก็ตวัดสายตามองไปทางหมอเทวดาหลี่ทันใด เขากล่าวคาดเดา “อยากขอให้หมอเทวดาพักอยู่ในจวนเจ้าสองสามวัน?”
“ไม่ใช่ ท่านหมอเทวดาไม่อยากรั้งอยู่ในวังรุ่ยอ๋อง ข้าเลยอยากขอให้เจ้าบอกกับรุ่ยอ๋องว่าจะเห็นแก่หน้าข้า ปล่อยให้ท่านหมอเทวดาออกจากที่นั่นอย่างอิสระได้หรือไม่”
ฉือชั่นอึ้งงันไป ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “ไม่คืนแล้ว?”
‘ยืมคน’ ไม่คืน นี่จะไร้เหตุผลไปสักหน่อย ตอนแรกมิได้พูดกันเช่นนี้นะ
เซ่าหมิงยวนรู้ว่าฉือชั่นลำบากใจ จึงยกมือตบไหล่เขาเบาๆ พลางกล่าว “ดังนั้นถึงฝากเจ้าช่วยไปบอกรุ่ยอ๋องว่าถือเสียว่าเห็นแก่หน้าข้าเซ่าหมิงยวน…”
ฉือชั่นหน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา เขาโวยวายขึ้นทันใด “เจ้าเสียสติไปแล้วรึ”
เขามองหมอเทวดาหลี่แล้วค่อยมองเซ่าหมิงยวนที่ทำหน้าเรียบเฉยอีกที จากนั้นฉุดสหายรักเดินออกนอกห้องพลางบอกกับหมอเทวดา “ท่านหมอเทวดารอสักครู่ พวกข้าพี่น้องขอคุยกันสองคำก่อน”
ฉือชั่นดึงตัวเซ่าหมิงยวนออกไปแล้วยกเท้าข้างหนึ่งถีบประตูห้องส่วนตัวด้านข้างให้เปิดออก สั่งกำชับเยี่ยลั่วกับเถาเซิงที่ยืนอยู่ข้างนอก “พวกเจ้าเฝ้าประตูให้ดี” ว่าแล้วก็ปิดประตูดังปัง
เยี่ยลั่วกับเถาเซิงสบตากันแล้วต่างฝ่ายต่างเบนสายตาออก
ภายในห้องเซ่าหมิงยวนตบๆ ตรงมือของฉือชั่นที่จับเขาไว้ด้วยสีหน้านิ่งสนิท “สือซี มีอะไรก็พูด ปล่อยมือ”
“ผายลมน่ะสิ” ฉือชั่นคลายมือออก ทำหน้าบึ้งถลึงตามองเซ่าหมิงยวนซึ่งมีสีหน้าสงบนิ่งอย่างโกรธเกรี้ยว ขาดแค่ผรุสวาทด่าทอเสียงดัง “เซ่าหมิงยวน เจ้าไปจากเมืองหลวงนานเกินไปใช่หรือไม่ สมองกลายเป็นขี้เลื่อยไปหมดแล้วรึ”
“หือ?”
ฉือชั่นผลักเขาไปนั่งบนเก้าอี้ ส่วนตนเองนั่งอีกตัวหนึ่ง ลดสุ้มเสียงลงจนเบามาก “อันใดเรียกว่าเห็นแก่หน้าเจ้า เจ้านึกว่าเจ้ายังเป็นเด็กหนุ่มเกเรที่ไม่มีใครอยากเหลียวแลเหมือนเมื่อตอนอายุสิบกว่าขวบอีกหรืออย่างไร”
เขาโมโหสุดจะทน ยื่นมือไปชกเซ่าหมิงยวนทีหนึ่งแล้วพูดกัดฟันกรอดๆ “เจ้าเป็นกวนจวินโหว เป็นแม่ทัพเป่ยเจิงผู้มิเคยพ่ายศึก นี่เจ้าจะขายตนเองให้รุ่ยอ๋องใช่หรือไม่”
เขายิ่งพูดยิ่งเดือดดาล “ถึงข้าจะวันๆ ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ยังรู้ว่าจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องชิงตำแหน่งรัชทายาทไม่ได้เป็นอันขาด ตอนแรกข้านึกว่าเจ้ากระจ่างแจ้งดี มีเรื่องขอร้องรุ่ยอ๋องยังรู้ว่าต้องผ่านทางข้า ใครจะรู้ว่าข้าคิดผิดเสียแล้ว เจ้าทำเช่นนี้จะพุ่งกายกระโจนลงบ่อโคลนเองชัดๆ”
รอฉือชั่นพูดจนจบโดยไม่พักหายใจแล้ว เซ่าหมิงยวนถึงอ้าปากกล่าวเสียงราบเรียบ “ไม่ร้ายแรงถึงเพียงนั้นหรอก ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจรุ่ยอ๋องคราหนึ่งเท่านั้น”
ความห่วงใยของสหายรักทำให้ในใจชายหนุ่มอบอุ่นน้อยๆ เขาบอกตามสัตย์จริง “นี่เป็นเงื่อนไขที่หมอเทวดาเอ่ยปาก ข้าไม่รับปากไม่ได้”
ฉือชั่นกะพริบตาปริบๆ เขาถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ตอนนี้ “เจ้าบอกข้ามาตามตรง เจ้าไปหาตาเฒ่าผู้นั้นด้วยเรื่องใดกันแน่”
“ขอให้รักษาโรค”
“ข้ารู้ว่าขอให้รักษาโรค หากตาเฒ่าผู้นั้นไม่มีฝีมือด้านนี้อยู่ คนประหลาดอย่างนั้นคงโดนคนตีตายโยนลงหลุมฝังไปนานแล้ว ข้าจะถามว่าขอให้รักษาใคร อย่าบอกข้านะว่าเป็นตัวเจ้าเอง” เขารู้นิสัยสหายรักดี ถ้าทำเพื่อตนเอง ไม่มีทางไปข้องแวะกับเรื่องพรรค์นั้นอย่างเด็ดขาด
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบอึดใจหนึ่งก่อนตอบ “ข้าอยากขอให้ท่านหมอเทวดารักษาใบหน้าให้พี่ชายภรรยาข้า”
ฉือชั่นอึ้งงัน เขาทำหน้าตกตะลึง “เฉียวโม่?”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “ใช่ ข้าพบกับพี่เฉียวโม่แล้ว บาดแผลที่ใบหน้าเขาสาหัสมาก นอกจากหมอเทวดาหลี่แล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครรักษาให้หายดีดังเดิมได้”
ฉือชั่นนิ่งเงียบ จนผ่านไปนานพักใหญ่ เขาถึงเอ่ยถามขึ้นว่า “คุ้มค่าหรือไม่” ยอมเอาตนเองเข้าไปพัวพันกับปัญหายุ่งยากอย่างนั้นเพื่อรักษาใบหน้าของเฉียวโม่?
เซ่าหมิงยวนคลายยิ้ม “คุ้มค่าแน่นอน เจ้าสมควรรู้ว่าคนที่รูปโฉมบกพร่องเป็นขุนนางไม่ได้ พี่ชายภรรยาข้าไม่เหลือใครในครอบครัวแล้ว ความรุ่งเรืองของสกุลเฉียวในวันหน้าล้วนขึ้นอยู่กับเขาเพียงผู้เดียว”
เขาเห็นฉือชั่นไม่กล่าววาจาดุจเก่าก็ยื่นมือไปตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “เจ้าก็พูดแล้วว่าข้ามิใช่เด็กหนุ่มเกเรที่ไม่มีใครเหลียวแลเหมือนเมื่อตอนอายุสิบกว่าขวบ ข้ารู้ขอบเขตดีไม่ปล่อยให้ตนเองติดร่างแห ส่วนทางรุ่ยอ๋องนั่นก็ไหว้วานเจ้าด้วย”
“ตกลง อย่าให้มีซ้ำสอง วันหน้าเกิดปัญหาขึ้นอย่าบอกว่าข้ารู้จักเจ้า” ฉือชั่นรับคำอย่างปลงตก
เซ่าหมิงยวนเปล่งเสียงหัวร่อเบาๆ
พวกเขาหมุนกายจะออกจากห้อง ฉือชั่นเดินไปครึ่งทางก็โพล่งขึ้นคำหนึ่ง “นี่…เจ้าร่วมกินอาหารกับสตรีในจวนนั้นพร้อมกับหมอเทวดาจริงๆ หรือ”
“ใช่สิ” เซ่าหมิงยวนตอบอย่างซื่อสัตย์ ทั้งที่เป็นการเลี้ยงอาหารเขาในฐานะองครักษ์ ไฉนพอพูดออกจากปากสหายรักถึงฟังดูทะแม่งๆ พิกล อะไรคือ ‘ร่วมกินอาหารกับสตรีในจวนนั้น’
“เจ้ารู้สึกอย่างไร”
เซ่าหมิงยวนถูกถามก็จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่คิดคำนึงว่าเมื่อครู่สหายรักเพิ่งรับปากช่วยเหลือตนครั้งใหญ่ จะตอบอย่างขอไปทีก็ไม่เป็นการดี เขาตรึกตรองอย่างละเอียดแล้วเอ่ยขึ้น “อาหารของจวนสกุลหลีรสชาติไม่เลว”
ฉือชั่น “…” ให้องครักษ์ผู้หนึ่งกินเนื้ออะไรล่ะนี่ จวนสกุลหลีไม่รู้จักธรรมเนียมตามคาด!
“อาหารรสชาติไม่เลว? หรือว่ายังมีเนื้อกวางแผ่นทอดให้กินด้วย” เขาถามคำหนึ่งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เซ่าหมิงยวนงงงัน “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ตอนนั้นเขาก็แปลกใจกับเนื้อกวางแผ่นทอดบนโต๊ะจานนั้นถึงรู้สึกได้ว่าไม่ชอบมาพากล
สีหน้าของฉือชั่นบึ้งตึงถึงขีดสุด เขาไม่พูดไม่จาสักคำ เดินแซงหน้าออกไปก่อนก้าวหนึ่ง
แม่นางน้อยตัวดีผู้นั้นช่างน่าโมโหนัก ทีแรกเขาจะให้นางทำเนื้อกวางแผ่นทอดเป็นดอกเบี้ย แต่นางกลับทำให้เซ่าหมิงยวนก่อนเสียแล้ว
ถ้าเป็นเช่นนี้ที่สาวใช้ชื่อปิงลวี่พูดตอนนั้นก็เป็นความจริง
เขาพลันหยุดฝีเท้าแล้วเหลียวไปมองสำรวจสหายรัก อีกฝ่ายมีอะไรดีเลิศกัน ก็แค่มีอำนาจบารมีมากกว่าเขานิดเดียว วรยุทธ์สูงกว่าเขานิดเดียว อารมณ์เย็นกว่าเขานิดเดียว แม่นางน้อยตัวดีเป็นพวกเห็นแก่อำนาจยศศักดิ์จริงๆ
เซ่าหมิงยวนไม่รู้ว่าจู่ๆ ฉือชั่นโกรธอะไรขึ้นมา เขาขบคิดว่าจะเป็นเพราะวันนี้มัวแต่ยุ่งกับเรื่องของเขาจนไม่ได้กินอิ่มท้องจึงได้หงุดหงิดฉุนเฉียวถึงเพียงนี้ใช่หรือไม่ ด้วยเหตุนี้เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นสักนิด เขารีบพูดแก้สถานการณ์ “แต่ข้าไม่ได้กินนะ กินแต่ซานเย่าไปไม่กี่คำเท่านั้น”
ฉือชั่นฟังแล้วยิ่งโมโหมากขึ้น ที่แท้ดอกเบี้ยที่เขาต้องอ้างบุญคุณช่วยชีวิตเพื่อทวงจากนาง คนผู้นี้ได้กินก่อนแล้วยังไม่ต้องการ
คุณชายฉือเปิดประตูเดินออกไปแล้วเหวี่ยงปิดดังปัง ทิ้งกวนจวินโหวที่งงเป็นไก่ตาแตกไว้ข้างใน
* พูดถึงเฉาเชา (โจโฉ) เฉาเชาก็มา เป็นสำนวน มีที่มาจากวรรณคดีเรื่องสามก๊ก หมายถึงจู่ๆ คนที่ถูกพูดถึงก็โผล่มา