หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 95
ฉือชั่นไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ เขาเดินดุ่มๆ กลับไปเลย
เถาเซิงกำลังชวนเยี่ยลั่วคุยเรื่อยเปื่อย เห็นดังนั้นก็รีบไล่กวดตามไป “คุณชาย กางร่มขอรับ”
เรือนกายเขาไม่สูงเท่าฉือชั่น จำต้องเขย่งส้นเท้าถือร่มให้ผู้เป็นนาย
ฉือชั่นหันหน้าไปมององครักษ์นามเยี่ยลั่วที่สีหน้าปราศจากอารมณ์ใดๆ เอ่ยเสียงเยาะหยัน “คุยเรื่องไร้สาระอะไรกันรึ”
เถาเซิงทำหน้าม่อยอย่างคับข้องหมองใจพอดู “จะคุยอะไรได้ล่ะขอรับ คุณชายไม่รู้หรอกว่าคนผู้นั้นนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก เอาแต่จ้องมองหน้าประตูตลอดอย่างกับหวั่นกลัวว่าท่านจะจับท่านแม่ทัพของเขากินกระนั้น”
“ใครจะเคี้ยวเจ้านั่นลง” ฉือชั่นคิดถึงว่าต้องไปบอกรุ่ยอ๋องว่าจะไม่คืนตัวหมอเทวดาที่ ‘ยืมไป’ แล้วก็ปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่บ้าง
ถึงเจ้าคนบัดซบเซ่าหมิงยวนจะไม่ว่ากระไร แต่เขายังต้องไปต่อรองกับรุ่ยอ๋องดู อย่างไรก็ปล่อยให้เจ้าคนบัดซบขายตนเองไม่ได้จริงๆ
นายบ่าวสองคนก้าวเข้าสู่ม่านฝนไปแล้ว เซ่าหมิงยวนที่ตามออกมาเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มๆ ย้อนกลับไปที่ห้องส่วนตัว
หมอเทวดาหลี่ถือเนื้อรมควันชิ้นหนึ่งกินอย่างละเลียด เห็นเขาเข้ามาก็ถามไถ่ “เจ้าหนุ่มนั่นไปแล้วหรือ”
“ขอรับ” เซ่าหมิงยวนเดินเข้าไปนั่งลง
“เขาเป็นอะไรไป เมื่อครู่นี้ทำท่าทำทางอย่างกับอยากจะกินเลือดกินเนื้อข้า”
เซ่าหมิงยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “ท่านหมอเทวดาอย่าเก็บมาใส่ใจ เขาเป็นคนใจร้อนเช่นนั้นเอง หาได้มีความหมายอื่นใดไม่ ข้าขอให้สือซีช่วยไปเจรจากับรุ่ยอ๋องแล้วขอรับ”
“รุ่ยอ๋องจะตอบตกลงจริงหรือ” ผู้มีเรื่องขอร้องล้วนไม่ออกหน้า คนพวกนี้ซับซ้อนยอกย้อนจนเขาทำความเข้าใจไม่ได้จริงๆ
“เขาต้องตอบตกลงขอรับ”
เห็นสีหน้าของหมอเทวดาแฝงรอยสงสัย เซ่าหมิงยวนอมยิ้มบอกให้เขาสบายใจ “เพราะข้าคือกวนจวินโหว”
เขาคือแม่ทัพเป่ยเจิงที่กุมอำนาจทหารไว้ในมือ ถึงจะขอพักราชการอยู่กับเรือน บารมีในกองทัพยังหาผู้ใดเทียบเคียงได้ดุจเก่า เขาถึงขั้นมั่นใจว่าต่อให้สงครามจะจบลงไปเปลาะหนึ่ง แล้วโอรสสวรรค์ยึดตราพยัคฆ์ที่โยกย้ายกำลังพลได้กลับ ขอเพียงเขาต้องการก็ยังสามารถบัญชาการทหารกล้าแกร่งดุจเหล็กที่ตนสร้างขึ้นกับมือได้อยู่ดี
หมอเทวดาหลี่มองชายหนุ่มที่แย้มยิ้มนุ่มนวลแล้วเลิกล้อเล่นฉับพลัน เอ่ยถามเขาว่า “จะไปรักษาบาดแผลให้เฉียวโม่เมื่อไร”
เขาลืมไปว่าชายหนุ่มซึ่งอย่างมากก็นับเป็นเด็กรุ่นหลานของตนผู้นี้คือบุคคลที่เพียงกระทืบเท้าก็สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั้งแปดทิศของแดนเหนือได้ และแม้จะอยู่ในเมืองหลวงเวลานี้ เขาก็เป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวม
มีเจ้าหนุ่มผู้นี้อยู่ ไม่แน่ว่าอาจทำให้เลือดเนื้อเชื้อไขที่เหลืออยู่น้อยนิดของสหายรักก้าวต่อไปได้อย่างราบรื่นขึ้นในภายภาคหน้า
เช่นนั้นรอปีใดเขาอารมณ์ดีๆ ค่อยขับพิษเย็นให้เจ้าหนุ่มนี่ก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้ให้อีกฝ่ายทนไปก่อนเถอะ ถือเสียว่าช่วยระบายความแค้นให้แม่หนูเฉียว
“พี่เฉียวโม่อาจจะไม่อยากติดค้างน้ำใจข้า ท่านหมอเทวดาโปรดรอถึงตอนแห่ศพภรรยาข้าไปฝังเถอะขอรับ วันนั้นพี่เฉียวโม่ต้องมาแน่ ถึงเวลาท่านไปบอกกับเขาโดยตรงเลย”
หมอเทวดาหลี่มองเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่งด้วยความรู้สึกชอบกล เขาพูดเสียงงึมงำว่า “ท่านโหวกลับเข้าใจจิตใจผู้อื่น”
เซ่าหมิงยวนหัวเราะแล้วถามต่อ “ท่านออกจากวังรุ่ยอ๋องแล้ว ไม่ทราบว่าเต็มใจไปพักที่จวนจิ้งอันโหวหรือว่ามีแผนการอื่นขอรับ”
“พักที่จวนจิ้งอันโหวกับอยู่ในวังรุ่ยอ๋องมีอันใดแตกต่างกัน เจ้าจัดที่พำนักธรรมดาๆ ให้ข้าสักแห่ง ไม่ต้องมีคนคอยติดตามเป็นโขยง ปกติข้าอยากไปที่ใดก็ไปได้ ว่าอย่างไร ทำได้หรือไม่เล่า”
ความต้องการนี้ของหมอเทวดาหลี่ฟังดูง่าย แต่แท้จริงแล้วยุ่งยากพอสมควร
ประการแรก หมอเทวดาหลี่รักษาโรคให้รุ่ยอ๋องย่อมกระทบกับผลประโยชน์ของคนบางคน แล้วคนพวกนั้นก็รอจังหวะเอาชีวิตเขาอยู่ตลอด ดังกลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ
ประการที่สอง ทั่วทั้งเมืองหลวงมีคนตั้งมากมายเท่าไรก็สุดรู้จับตาดูหมอเทวดาผู้นี้อยู่ รอว่าเขาออกจากวังรุ่ยอ๋องแล้วจะรีบเชิญไปรักษาโรคช่วยชีวิตคน
แค่สองข้อนี้ หมอเทวดาหลี่อยากไปที่ใดมาที่ใดอย่างอิสระก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน
กระนั้นเซ่าหมิงยวนพยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ได้ขอรับ ข้าจะไปจัดเตรียมที่ทางให้ท่านเดี๋ยวนี้เลย”
เขาตะโกนเรียก “เยี่ยลั่ว!”
องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกผลักประตูเข้ามา “ท่านแม่ทัพมีเรื่องใดสั่งการขอรับ”
“นับจากวันนี้ เจ้าติดตามคุ้มครองความปลอดภัยให้ท่านหมอเทวดาอย่างใกล้ชิด”
เยี่ยลั่วตวัดสายตามองใบหน้าขุ่นมัวที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของหมอเทวดาหลี่แล้ว ค่อยมองท่านแม่ทัพของตนที่หล่อเหลาไม่เป็นสองรองใครซ้ำอีกที ถึงแม้เขาสุดแสนจะไม่เต็มใจ แต่ยังคงขานตอบอย่างว่องไว “น้อมรับคำสั่งขอรับ”
หมอเทวดาหลี่มององครักษ์หน้าตาดาษดื่นแล้วขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “เขาไหวรึ”
เยี่ยลั่วซึ่งไม่ช่างพูดมาแต่ไหนแต่ไรหลุบตาลงไม่แสดงสีหน้าใด หากในใจแค่นเสียงเยาะว่า พูดอะไรกัน ข้าจะไม่ไหวได้หรือ
เซ่าหมิงยวนตอบยิ้มๆ “ท่านหมอเทวดาวางใจได้ เยี่ยลั่วเป็นผู้ชนะเลิศการประลองยุทธ์ในกองทัพ น้อยคนนักจะสู้เขาได้”
หมอเทวดาหลี่มองสำรวจเยี่ยลั่วขึ้นๆ ลงๆ “จุๆ มองไม่ออกจริงๆ”
“เยี่ยลั่ว” เซ่าหมิงยวนพยักหน้ากับเขา
เยี่ยลั่วเข้าใจความหมาย เงื้อมือฟาดโต๊ะตัวเล็กด้านข้างหักเป็นชิ้นๆ
“อื้อ…” หมอเทวดาหลี่ตาเป็นประกาย ถ้าวันหน้าเจ้าหนุ่มนี่ช่วยข้าบดยาล่ะก็…อนาคตไกลแน่
เซ่าหมิงยวนมองโต๊ะที่พังเป็นเศษเล็กเศษน้อยแล้วกำชับคำหนึ่ง “อย่าลืมชดใช้ด้วยนะ”
“ขอรับ”
“ใช้เบี้ยหวัดของเจ้าเอง”
เยี่ยลั่ว “…” ทำกันเยี่ยงนี้มิได้นะ นี่ข้าทำงานในหน้าที่ มันเป็นงานในหน้าที่! ข้ายังอยากสะสมเบี้ยหวัดไว้ตบแต่งภรรยา
สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยในการจัดเตรียมเรื่องต่างๆ ให้หมอเทวดานั้นไม่ต้องเอ่ยถึงอีก กว่าเซ่าหมิงยวนจะกลับถึงจวนจิ้งอันโหวก็ฟ้ามืดแล้ว
เพลานี้โคมไฟที่แขวนอยู่ด้านบนประตูใหญ่ของจวนท่านโหวจุดไฟแล้ว ส่องแสงสว่างกระทบพื้นถนนหินศิลาเขียวละม้ายปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งสีขาวชั้นหนึ่งทอดตัวยาวเหยียดไปถึงด้านใน
“คุณชายรองกลับมาแล้วหรือขอรับ” บ่าวรับใช้สวมชุดสีขาวรีบเปิดประตูให้ชายหนุ่ม
เพราะมีจิ้งอันโหวอยู่ในจวน มาตรว่าเซ่าหมิงยวนจะได้รับแต่งตั้งเป็นกวนจวินโหว คนในจวนแห่งนี้ยังคงเรียกขานเขาว่า ‘คุณชายรอง’
เซ่าหมิงยวนพยักหน้ารับแล้วก้าวขาเข้าไปข้างใน
เขาย่ำเท้าไปตามทางเดินที่ทาทาบด้วยแสงสีขาวประหนึ่งน้ำค้างแข็ง โคมไฟสีขาวแขวนเรียงรายตามระเบียงยาวแกว่งไกวไปมาไม่หยุดตามแรงลมฝน ทั้งที่สว่างไสวดุจยามกลางวัน กลับให้ความรู้สึกสงัดวังเวงอย่างปราศจากเหตุผล
ทว่าเซ่าหมิงยวนไม่ใส่ใจสักนิด เขาเดินตรงไปจนถึงหน้าแท่นบูชาที่ตั้งหีบศพของเฉียวซื่อ คุกเข่าลงข้างหนึ่ง รับกระดาษเงินกระดาษทองที่เด็กรับใช้ยื่นส่งให้มาเผาเงียบๆ
กระดาษสีเหลืองถูกเปลวไฟลามเลีย ไม่นานนักก็มอดไหม้กลายเป็นเศษเถ้าธุลีสีดำร่วงหล่นลงสู่อ่างไฟ
สาวใช้ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าหน้าหีบศพสองสามคนจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน พวกนางต่างไม่กล้าเปล่งเสียง เพียงลอบส่งสายตาให้กันและกัน
คุณชายรองเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ฮูหยินรองด้วยความเอาใจใส่ดี ไม่รู้ว่าไฉนตอนนั้นถึงใจคอเหี้ยมเกรียมปานนั้น ลงมือยิงธนูใส่นางจนตายได้ลงคอ
เซ่าหมิงยวนไม่ใส่ใจต่อสายตากล่าวหาของสาวใช้พวกนั้น เขาเผากระดาษเงินกระดาษทองอย่างตั้งอกตั้งใจจนกระทั่งเซ่าจือรุดมาถึงอย่างเร่งรีบแล้วกระซิบบอก “ท่านแม่ทัพ เรื่องที่ท่านให้ข้าไปสืบก่อนหน้านี้ไม่นานได้เบาะแสบ้างแล้วขอรับ”
“ไปพูดที่ห้องหนังสือ” เซ่าหมิงยวนเผากระดาษเงินกระดาษทองปึกหนึ่งในมือจนหมด ถึงลุกขึ้นออกจากโถงตั้งหีบศพ
ทันทีที่เขาออกไป พวกสาวใช้ก็เริ่มพูดคุยซุบซิบกัน
“จุๆ ฮูหยินรองที่นอนอยู่ข้างในนี้ถูกคุณชายรองสังหารกับมือ พวกเจ้าว่าคุณชายรองคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไม่กลัวเลยหรือ”
“กลัวอะไรเล่า คุณชายรองออกรบมานานหลายปีปานนี้ ไม่รู้ว่ามีคนจบชีวิตในมือเขาตั้งมากเท่าไร เกรงว่าจิตใจคงแข็งกระด้างยิ่งกว่าหินแล้ว”
เหล่าสาวใช้ผลัดกันพูดวิพากษ์วิจารณ์ชายหนุ่มที่เพิ่งออกไปยกใหญ่ ทำให้องครักษ์ที่เซ่าหมิงยวนจัดให้เฝ้าหีบศพอยู่ในที่ลับกัดฟันกรอดๆ ด้วยความกรุ่นโกรธ เขากระซิบพูดกับสหายองครักษ์
“อยากเอาถุงเท้าเหม็นๆ ยัดใส่ปากเน่าๆ ของสาวใช้พวกนั้นจริงๆ พูดถึงท่านแม่ทัพของพวกเราอย่างนี้ได้เช่นไรกัน ไม่มีท่านแม่ทัพ พวกนางจะได้อยู่ว่างๆ จนปากอยู่ไม่สุขพ่นแต่อาจมหรือ”
องครักษ์อีกคนตบไหล่เขา “เบาเสียงหน่อย เกิดให้คนพวกนั้นจับได้จะไม่ดี อดทนเถอะ รอเมื่อย้ายเข้าจวนกวนจวินโหวก็ไม่ได้ยินคำพูดน่าหงุดหงิดใจพวกนี้แล้ว”
หากไม่มีเจ้านายให้ท้ายลับหลัง ภายในจวนจะปล่อยให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์พรรค์นี้แพร่กระจายไปทั่วได้เช่นไร
ถึงที่สุดแล้วเป็นเพราะท่านแม่ทัพของพวกเขาไม่เป็นที่รักใคร่ของฮูหยินท่านโหวเท่านั้นเอง