หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 97
บทที่ 97
เมื่อเห็นท่าทางร้อนใจดุจไฟลนของปิงลวี่ เฉียวเจาก็ยิ้มขันๆ “เจ้าอยากเรียนอะไรล่ะ”
ปิงลวี่ทำท่านับนิ้วมือ “เรียนเดินหมาก หลักการใช้ยา แล้วก็เรียน…”
นางชายตามองอาจูก่อนพูด” ยังต้องหัดต้มโจ๊กด้วยเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาหลุดหัวเราะพรืด “ข้าจำได้ว่าหนก่อนสอนเจ้าเดินหมาก เพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าวเจ้าก็หลับไปแล้ว”
ปิงลวี่ฟังแล้วหน้าแดงก่ำ “ครั้งนั้นเป็นเหตุบังเอิญ เป็นเหตุบังเอิญจริงๆ เจ้าค่ะ วันหน้าข้าไม่หลับอีกแล้ว คุณหนูสอนข้าต่อเถอะนะ”
นางจะแพ้ให้กับอาจูที่เพิ่งมาทีหลังไม่ได้เด็ดขาด
เฉียวเจาอมยิ้มมองปิงลวี่
สาวใช้น้อยผู้นี้แม้แต่ยามหน้าแดงก็ยังดูมีชีวิตชีวา ใครก็ตามที่เห็นล้วนต้องรู้สึกว่าวันเวลาสนุกสนานมีสีสัน
“ปิงลวี่ คนทุกคนต่างมีเรื่องที่ตนเชี่ยวชาญ เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียนตามอย่างอาจู ลองคิดสิว่าเจ้าถนัดอะไร”
ถนัดอะไรหรือ…
ปิงลวี่กะพริบตาปริบๆ นางคิดคำนึงในใจว่านางถนัดเรื่องทะเลาะวิวาท ถนัดเรื่องแต่งกายสวยงาม ถนัดเรื่องกินอาหารอร่อยๆ…
นางยิ่งคิดยิ่งแตกตื่นเลยโพล่งออกมาว่า “ถนัดเรื่องทุบแผ่นหินใหญ่ๆ จนละเอียด…”
ครั้นสายตาปะทะเข้ากับสีหน้าชอบกลของคุณหนูตน สาวใช้น้อยพูดอธิบายเป็นพัลวัน “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าหมายความว่าข้าเรี่ยวแรงดีกว่าคนทั่วไป”
ตอนเด็กๆ นางมักยกตัวญาติผู้พี่ขึ้นมาชก อาสามจึงอยากสอนวิชาหมัดมวยให้นางมาโดยตลอด แต่นางเคยได้ยินพี่สาวคนงามพูดว่าฝึกวรยุทธ์แล้วมือเท้าจะหยาบกร้าน ดังนั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ตอบตกลงอาสาม
“เรี่ยวแรงดีหรือ…” เฉียวเจาใช้ความคิด
ปิงลวี่อับอายมากพอดู นางเอ่ยกระดากๆ “คงเป็นเพราะข้ากินเยอะกว่าคนอื่นเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาฟังแล้วยกมุมปากโค้งขึ้น ตรึกตรองครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “ปิงลวี่อยากฝึกวิชายุทธ์ป้องกันตัวหรือไม่”
“วิชายุทธ์ป้องกันตัว?” ปิงลวี่รู้สึกเหนือคาดเป็นอันมาก
“ใช่แล้ว เช่นนี้วันหน้าข้าพบกับอันตราย เจ้าก็คุ้มครองข้าได้แล้ว”
ปิงลวี่ได้ยินแล้วกระฉับกระเฉงขึ้น พยักหน้าถี่รัวแล้วเอ่ย “เรียนเจ้าค่ะๆ”
ทว่านางพูดจบแล้วก็ทำหน้าสลดลง “แต่ว่าจะเรียนกับใครล่ะเจ้าคะ”
นางเป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนู ส่วนอาสามเป็นผู้คุ้มกันในสกุลเดิมของฮูหยิน ปกติคิดจะพบหน้ากันก็ยังไม่ง่ายดาย ไหนเลยจะเรียนวิชากับเขาได้
“ข้าสอนเจ้าเอง” เฉียวเจาบอกยิ้มๆ
ปิงลวี่ตกใจยกใหญ่ “คุณหนูเป็นวิชาหมัดมวย?”
เฉียวเจาส่ายหน้า “ไม่เป็น”
“ไม่เป็นแล้วท่านจะสอนข้าอย่างไรเจ้าคะ”
“ข้าเคยเห็น”
ปิงลวี่มองตะลึง “…” เวลาคุณหนูคุยโวก็ยังงามเพียงนี้!
เฉียวเจารับรู้ว่าได้ว่าสาวใช้น้อยกังขาสงสัยก็ไม่ใส่ใจ ก้าวขาออกเดินพลางพูด “ตามข้าไปที่ห้องหนังสือ”
สาวใช้สองนางเดินตามหลังเฉียวเจาต้อยๆ เข้าไปในห้องหนังสือ เห็นนางฝนหมึกแล้วหยิบพู่กันมาลากปราดๆ วาดภาพลงบนกระดาษอย่างคล่องแคล่วพลิ้วไหว
ปิงลวี่ยืนอยู่ข้างๆ เฉียวเจา เห็นภาพคนสมจริงดุจมีชีวิตปรากฏขึ้นจากปลายพู่กันของผู้เป็นนายคนแล้วคนเล่า นางยกมือปิดปากอย่างห้ามไม่อยู่
คุณหนูวาดภาพเก่งจริงๆ!
เฉียวเจาไม่สนใจสิ่งรอบข้างโดยสิ้นเชิง จดจ่อสมาธิทั้งหมดอยู่ที่การวาดภาพ จวบจนอาจูเอ่ยเตือนขึ้นเบาๆ “คุณหนู ถึงเวลาไปคารวะยามเช้าแล้วเจ้าค่ะ”
นางหลุดจากภวังค์ วางพู่กันลงด้านข้าง ชี้ภาพที่วาดเสร็จไปครึ่งเดียว “รูปแรกๆ เป็นกระบวนท่าพื้นฐานสองสามท่าของการฝึกวิชาหมัดมวย ถัดมาเป็นวิชาหมัดชุดหนึ่ง ถ้าเจ้าอยากเรียนก็เริ่มฝึกไปตามนี้ตั้งแต่วันนี้ หากมีจุดใดวางท่าไม่ถูกต้อง ข้าจะชี้แนะแก้ไขให้”
“คุณ…คุณหนู ทำอย่างนี้ก็ได้หรือเจ้าคะ” ปิงลวี่อ้าปากค้าง
คุณหนูนึกว่านี่เป็นคัมภีร์ลับหรือไร ฝึกฝนตามก็กลายเป็นยอดฝีมือได้?
ราวกับเดาความคิดของปิงลวี่ได้ เฉียวเจากล่าวเรียบๆ “ฝึกให้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ไม่ได้ แต่เจอกับคนทั่วไปก็พอรับมือได้แล้ว”
“คุณหนู ท่านเคยเห็นมาก่อนจริงๆ หรือเจ้าคะ” ปิงลวี่เพียงรู้สึกเหลือเชื่อ
นางกับคุณหนูเติบโตมาด้วยกัน ไฉนนางถึงไม่รู้มาก่อน
ปิงลวี่เห็นเฉียวเจากวาดสายตาผ่านหนังสือตำรากองสูงเป็นตั้งแล้วแจ่มแจ้งในบัดดล “ที่แท้คุณหนูเห็นจากในหนังสือนั่นเอง”
มิน่าคุณหนูพูดบ่อยๆ ว่าอ่านตำราทำให้ฉลาดขึ้น คนที่รู้หนังสือโชคดีจริงๆ น่าเสียดายนางอ่านได้ไม่กี่ตัวก็อยากจะหลับแล้ว
เฉียวเจาคลี่ยิ้มเมื่อทำให้สาวใช้น้อยเข้าใจไปอีกทางได้เป็นผลสำเร็จ
กระนั้นนางเคยอ่านเจอจริงๆ
ช่วงสองปีที่อยู่ในจวนจิ้งอันโหว เพราะท่านปู่เสียชีวิต นางเป็นหลานสาวที่ออกเรือนแล้วไม่อาจไว้ทุกข์ให้ได้ก็ไม่มีแก่ใจออกไปที่ใด ด้วยเหตุนี้นางได้แต่ใช้วันเวลาที่เชื่องช้ายืดยาวอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ในจวน
น้องสามของเซ่าหมิงยวนหรือน้องชายสามีของนางนามว่าเซ่าซียวน จะฝึกตั้งท่าขี่ม้าและซ้อมหมัดมวยอยู่ในมุมหนึ่งของสวนที่แบ่งออกมาทำเป็นลานฝึกทุกวัน
แม้ว่าน้องสามีจะหยิ่งทะนงถือใจตนเป็นใหญ่อยู่บ้าง แต่เป็นคนจิตใจดีและใสบริสุทธิ์ ตลอดสองปีนั้นเขากับนางเข้ากันได้ดี เด็กผู้นั้นยังสอนวิชายิงธนูประจำสกุลเซ่าให้นางด้วย
น่าเสียดายที่นางไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์จริงๆ ถึงจะมีความจำเป็นเลิศ จดจำสิ่งที่น้องชายสามีสอนได้ขึ้นใจ แต่ก็ใช้ฆ่าเวลาเท่านั้น มีแต่วิชาธนูซึ่งมุ่งเน้นไปที่สายตากับสมาธิมากกว่าที่ยังนับว่าร่ำเรียนได้ไม่เลว
เฉียวเจาหลุบตามองสองมือที่เรียวเล็กนุ่มนิ่ม
ร่างกายนี้บอบบางอ่อนแอกว่าร่างเดิมของนางมาก อันที่จริงสมควรฝึกกระบวนท่าเพลงหมัดให้ร่างกายแข็งแรงพวกนั้น อย่างน้อยยามพบกับอันตรายอีก จะได้ไม่ตกอยู่ในสภาพที่แม้แต่จะวิ่งก็ยังวิ่งไม่ไหว
เฉียวเจาไปที่เรือนของเหอซื่อก่อน จากนั้นไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งที่เรือนชิงซงพร้อมกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไต่ถามนาง “เรื่องของหมอเทวดาเป็นอย่างไรบ้าง”
ดวงตาของนายหญิงรองหลิวซื่อทอประกายวูบหนึ่ง
เมื่อวานนางก็ได้ข่าวแล้วว่าหมอเทวดานามกระเดื่องท่านนั้นมาเยี่ยมคุณหนูสามจริงๆ นางสืบถามได้ความว่าตอนนั้นคุณหนูใหญ่อยู่ในเรือนชิงซงด้วย ถึงขั้นได้ร่วมกินอาหารกับหมอเทวดาแล้วลอบขุ่นเคืองใจมากเท่าใดก็สุดรู้ เพียงนึกชังที่บุตรสาวสองคนไม่เอาไหน ปกติไม่รู้จักไปปรนนิบัติพัดวีฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง ถึงได้พลาดโอกาสทองเช่นนี้ไปเปล่าๆ ปลี้ๆ
จริงสิ เมื่อวานท่านเซียงจวินของจวนตะวันออกก็ฝ่าสายฝนมาที่นี่ ดังคำกล่าวที่ว่าไม่มีเรื่องไม่ย่างเท้าเข้าอุโบสถ ถ้าจับจากน้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าเจียง แสดงว่าเกี่ยวกับหมอเทวดากระมัง
หลีเจี่ยวได้ยินคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแล้วฉุกใจได้เช่นเดียวกัน นางมองไปทางเฉียวเจา
อะไรกัน หรือว่าหลังจากนี้หลีซานจะไปมาหาสู่กับหมอเทวดาบ่อยๆ
ไม่รู้ว่าหมอเทวดาหลี่กับกวนจวินโหวเกี่ยวข้องอะไรกัน หากเป็นเช่นนี้ หลีซานก็มีโอกาสได้พบปะกับกวนจวินโหวมากขึ้นมิใช่หรือ
หลีเจี่ยวคิดถึงตรงนี้แล้วลอบคับอกคับใจ
ด้านเฉียวเจาผลิยิ้มเอ่ยขึ้นต่อหน้าทุกคน “เรื่องที่ท่านเซียงจวินไหว้วาน ข้าเขียนลงบนเทียบแล้ว อยากขอให้ท่านย่าส่งคนที่ไว้วางใจได้นำไปส่งที่วังรุ่ยอ๋อง แต่ว่าท่านปู่หลี่เห็นเทียบแล้วจะมาหรือไม่ หลานไม่กล้ารับรองเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาพูดพลางยื่นเทียบใบหนึ่งส่งให้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองนางด้วยสายตาปนเปไปด้วยอารมณ์หลายหลากแวบหนึ่ง
เฉียวเจาขยิบตาให้นางอย่างซุกซน
หญิงชราคลายยิ้ม “พวกเจ้าคงไม่รู้ว่ายังไม่ฟ้าสาง จวนตะวันออกก็ส่งคนมาที่นี่แล้ว”
เฉียวเจากลอกตาทีหนึ่งแล้วกล่าวยิ้มๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านย่ามิสู้ให้คนของจวนตะวันออกไปด้วยกันเถอะ จะได้ทำให้ท่านเซียงจวินสบายใจเจ้าค่ะ”
“อื้อ ก็ดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหันไปสั่งชิงอวิ๋น “นำเทียบไปมอบให้ผู้ดูแลหลี บอกให้เขาไปพร้อมกับคนของจวนตะวันออก”
“เจ้าค่ะ”
ชิงอวิ๋นถือเทียบออกไปมอบให้ผู้ดูแลหลีแล้ว เขากับโจวมามาที่ท่านเซียงจวินส่งตัวมาก็ออกจากเรือนไปพร้อมกัน
เพิ่งออกนอกประตูใหญ่ โจวมามาก็แอบเอาถุงผ้าปักตุงๆ ใบหนึ่งยัดเยียดให้ผู้ดูแลหลี กล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าว่า “ผู้ดูแลหลี ก่อนไปที่วังอ๋อง ท่านเซียงจวินอยากกำชับกำชาสักสามคำ ตามข้าไปที่จวนตะวันออกเถอะ”
ทั้งได้เงินเข้าพกเข้าห่อ ทั้งเป็นคำสั่งเรียกตัวของท่านเซียงจวินของจวนตะวันออก ผู้ดูแลหลีขานรับโดยไม่ลังเลใดๆ
ทั้งคู่มาถึงจวนตะวันออกอย่างว่องไว โจวมามายื่นหน้าไปใกล้ๆ ริมหูฮูหยินผู้เฒ่าเจียงกระซิบเล่าเหตุการณ์ให้ฟังแล้วเบนสายตาไปที่ตัวผู้ดูแลหลี นางกล่าวเสียงเรียบ “เอาเทียบของคุณหนูสามมาให้ข้าดูหน่อยสิ”