หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 98
บทที่ 98
“คือว่า…” ผู้ดูแลหลีตกตะลึงไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้ตรงไปตรงมายิ่งนัก
โจวมามาซึ่งยืนอยู่ด้านข้างพูดเร่ง “ผู้ดูแลหลีรีรออะไรอยู่ เทียบของคุณหนูสามเป็นเทียบเชิญท่านหมอเทวดา มิใช่เรื่องที่บอกใครมิได้สักหน่อย ท่านเซียงจวินของข้าเพียงหวั่นเกรงว่าคุณหนูสามยังเยาว์วัย อาจมีถ้อยคำใดไม่เหมาะไม่ควรจนเสียมารยาทต่อท่านหมอเทวดา ถึงได้จะอ่านผ่านตาด้วยตนเอง”
ผู้ดูแลหลีลอบโคลงศีรษะในใจไม่หยุด ถึงมิใช่เรื่องที่บอกใครไม่ได้ แต่จะอ่านเทียบของผู้อื่นได้หรือ
“มีอันใดรึ” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมองเขาด้วยนัยน์ตาข้างเดียว สายตาทอแววเครียดขรึม
ผู้ดูแลหลีดึงความคิดคืนมาแล้วถือเทียบด้วยสองมือส่งให้อย่างจนปัญญา
โจวมามาก้าวเข้าไปรับมามอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าเจียง
นางเปิดเทียบแล้วไล่สายตาอ่านรอบหนึ่ง สีหน้าก็ผ่อนคลายลง
นับว่าแม่นางน้อยผู้นั้นยังรู้ความ!
“เอาล่ะ รีบๆ ไปเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงยื่นเทียบที่อ่านแล้วให้โจวมามาและสั่งกำชับ “พวกเจ้าต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดอะไร”
โจวมามากล่าวขึ้นทันที “ท่านเซียงจวินวางใจได้ ข้าจะระวังให้ดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ผู้ดูแลหลีกับโจวมามาออกจากจวนตะวันออกแล้วมุ่งหน้าตรงไปที่วังรุ่ยอ๋อง
ท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่งหลังฝนตก ประตูสีแดงเข้มของวังรุ่ยอ๋องแลดูใหม่เอี่ยมอ่อง กระเบื้องแก้วสีบนยอดหลังคาส่องประกายแวววาวลานตา สิงโตหินสูงใหญ่หน้าประตูมีสง่าราศีน่าเกรงขาม
คนทั้งสองลงจากรถม้า เห็นภาพเบื้องหน้าทั้งหมดนี้แล้วเริ่มสำรวมตนอย่างช่วยไม่ได้ ผู้ดูแลหลีเป็นคนไปเคาะประตูและแจ้งจุดประสงค์ที่มาเยือน
“ส่งเทียบให้หมอเทวดา?” ยามเฝ้าประตูวังอ๋องฟังแล้วหน้าถอดสีฉับพลัน เขาโบกมือไปมาพลางพูด “รีบๆ กลับไปเสีย”
เขาตั้งท่าจะปิดประตู โจวมามาอารามร้อนใจก็ยื่นมือไปกันไว้ “พี่ชายโปรดรอสักครู่”
ยามเฝ้าประตูเริ่มชักสีหน้า “จะทำอะไร”
โจวมามาคลี่ยิ้มพร้อมยัดเยียดถุงผ้าปักใบหนึ่งให้ “พวกข้าเป็นคนจากจวนรองเสนาบดีหลี วันนี้นำเทียบของคุณหนูสามของจวนข้ามาเชิญท่านหมอเทวดา ท่านอาจจะไม่รู้ว่าท่านหมอเทวดารับคุณหนูสามของพวกข้าเป็นหลานสาวบุญธรรม…”
ไม่รอให้นางพูดจบ ยามเฝ้าประตูก็พูดเยาะๆ “หลานสาวแท้ๆ ก็เปล่าประโยชน์ หมอเทวดาไม่อยู่ที่วังอ๋องแล้ว พวกเจ้ารีบกลับไปเสีย”
“พี่ชายรอประเดี๋ยว ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอะไร”
ยามเฝ้าประตูถลึงตามองโจวมามาพลางสบถด่า “เจ้าฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรืออย่างไร หมอเทวดาไม่อยู่ที่วังอ๋องแล้ว และอย่าเอ่ยถึงว่าเป็นหลานสาวบุญธรรมมาเชิญเลย ต่อให้เป็นเทวดามาก็ไม่มีประโยชน์! พวกเจ้ารีบๆ ไปเสียเถอะ ท่านอ๋องของพวกข้ากำลังอารมณ์ไม่ดี ถ้าเกิดท่านอ๋องมาพบเข้า พวกเจ้าได้โดนดีแน่”
ยามเฝ้าประตูพูดจบก็ปิดประตูดังปัง ทิ้งโจวมามากับผู้ดูแลหลียืนอึ้งเป็นนานครู่ใหญ่อยู่ที่เดิม ครั้นคิดจะเคาะประตูอีกครั้งเพื่อถามให้รู้เรื่อง แต่พอกวาดสายตาไปที่เสาลายมังกรขดทาสีแดงเข้มหน้าวังอ๋องแล้วต่างก็หมดความกล้า
ที่นี่เป็นที่ประทับขององค์ชายผู้หนึ่ง ขืนยั่วโทสะเขาขึ้นมาจริงๆ แล้วโดนโบยกระบองจนตายจะไปร้องทุกข์ที่ใด มิสู้กลับไปบอกตามสัตย์จริงจะดีกว่า
โจวมามาหนักอกหนักใจตลอดทาง พอกลับถึงจวนตะวันออก นางรายงานเหตุการณ์ตอนไปวังอ๋องต่อฮูหยินผู้เฒ่าเจียงที่วาดหวังไว้เต็มอก
หญิงชราคล้ายโดนน้ำเย็นจัดถังหนึ่งราดศีรษะ ประกายไฟแห่งความหวังในใจดับมอดลงทันควัน ถามด้วยสีหน้าขุ่นมัวว่า “หมอเทวดาไม่อยู่ที่วังอ๋องแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ ยามเฝ้าประตูบอกเช่นนี้ ทั้งยังพูดว่าท่านอ๋องของพวกเขาไม่พอใจอย่างมากด้วย”
“ได้บอกหรือไม่ว่าหมอเทวดาไปที่ใด”
โจวมามากล่าวตอบอย่างอกสั่นขวัญแขวนมากขึ้นตามลำดับ “ไม่ได้บอกเจ้าค่ะ ข้าอยากถาม แต่ยามเฝ้าประตูปิดประตูใส่หน้าพวกข้าโดยไม่ไว้หน้าสักนิด”
ดวงตาข้างที่ยังมองเห็นของฮูหยินผู้เฒ่าเจียงหม่นแสงลง นางโบกมือไปมาพลางพูด “รู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
รอเมื่อโจวมามาถอยออกไป เหลือนางอยู่ในห้องผู้เดียวถึงหยิบถ้วยน้ำชาใบหนึ่งขว้างลงพื้นสุดแรง
สวรรค์จะกลั่นแกล้งนางหรืออย่างไร จุดความหวังแล้วก็ดับมันทิ้งเช่นนี้
แม้นนางมีศักดิ์ฐานะเป็นเซียงจวิน ทว่าสกุลเดิมของนางอยู่ในชั้นปลายแถวของหมู่เชื้อพระวงศ์แล้ว นางไม่มีบารมีมากพอจะเข้าเฝ้าชายาอ๋องได้ อย่างมากก็ได้แค่ไหว้วานคนอื่นต่อๆ กันหลายทอดเพื่อสืบถามเบาะแสของหมอเทวดาหลี่
หมอเทวดาหลี่ไปอยู่ที่ใดกันแน่นะ
ด้านจวนตะวันตก ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฟังรายงานจากผู้ดูแลหลีแล้วนึกเฉลียวใจ สั่งคนไปเชิญเฉียวเจามาหาทันที
“เจาเจาเอ๊ย เมื่อวานเจ้าคาดเดาได้ล่วงหน้าแล้วใช่หรือไม่”
เด็กสาวยิ้มอย่างอ่อนโยนเยือกเย็น “คาดเดาอะไรเจ้าคะ”
ย่าหลานสองคนสบตากันครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็หัวร่อเสียงดัง “ไม่มีอะไร คาดเดาได้ว่าวันนี้ท้องฟ้าสดใสอย่างไรเล่า”
นางหยุดหัวเราะได้แล้วเอ่ยถามเฉียวเจา “ได้ยินว่าวันนี้เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่จะพาข้าไปเดินเที่ยว ได้ยินว่าร้านผ้าไหมหลายร้านมีสินค้าใหม่วางขาย หากพบที่งามๆ ข้าจะซื้อกลับมาตัดชุดฤดูร้อนให้ท่านหลายๆ ชุดนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฟังแล้วยินดียกใหญ่ จับมือหลานสาวไม่ปล่อย นางจุปากแล้วกล่าวขึ้นว่า “หลานเจาของข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ เช่นนั้นท่านย่าจะรอเจ้าตัดชุดฤดูร้อนสวยๆ ให้นะ ไม่ต้องตัดหลายชุด เอาชุดเดียวก็พอแล้ว”
เฉียวเจาถึงกับพูดอะไรไม่ออก “…”
นางไม่ได้หมายความเช่นนี้จริงๆ ตัดชุดฤดูร้อนเองกับมือ? อย่าล้อเล่น ถุงผ้าปักของนางน่ะกระทั่งปิงลวี่ยังรังเกียจ
นางรีบเร่งกู้สถานการณ์ “ได้ยินว่าร้านอาภรณ์สำเร็จที่เปิดใหม่หลายร้านก็ไม่เลวเหมือนกัน…”
“เดี๋ยวนี้ในร้านอาภรณ์สำเร็จพวกนั้นมีแบบต่างๆ ไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรอาภรณ์ที่ตัดเย็บเองก็ถูกใจกว่านะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกล่าวทอดถอนใจ
หลายปีมานี้หลานสาวสี่คนในจวน มีแค่หลานสาวคนโตที่เคยเย็บอาภรณ์ให้นางเองกับมือ หลานเยียนเคยทำสายคาดหน้าผากมาแสดงความกตัญญูต่อนางเส้นหนึ่ง หลานฉานอายุยังน้อยไม่เอ่ยถึงตอนนี้ ว่าไปแล้วเหลือแค่หลานเจาที่ไม่เคยทำงานเย็บปักถักร้อยมอบให้นางเลย หญิงชราคิดๆ แล้วก็รู้สึกตั้งตารอคอยอยู่สักหน่อย
เมื่อใกล้ถึงเวลาที่นัดหมายไว้กับหลีกวงเหวิน เฉียวเจาออกจากเรือนพร้อมกับเหอซื่อจนกระทั่งขึ้นไปบนรถม้าผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดบุรุษแล้ว ในใจของแม่นางเฉียวยังหนักอึ้ง
ปากพาจนจริงๆ เพราะอะไรนางต้องบอกว่าจะไปเดินดูร้านผ้าไหมด้วยนะ บอกว่าไปร้านขายเครื่องประทินโฉมเป็นอันสิ้นเรื่อง ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอยากได้สีอะไร นางซื้อให้ได้หมด ถุงผ้าปักใบนั้นเมื่อคราวก่อนเป็นเพราะชั้นในของมันมีความพิเศษซ่อนอยู่ นางถึงได้ลงมือทำเอง ตอนนี้จะให้นางตัดชุดฤดูร้อนสักชุดล่ะก็ ไม่เหลือทางรอดให้นางโดยสิ้นเชิง
เหอซื่อเห็นบุตรสาวมีสีหน้าหม่นหมอง ถามไถ่อย่างสงสาร “เจาเจาเป็นอะไรไป”
“ท่านแม่ ดูเหมือนท่านไม่เคยจ้างอาจารย์สอนงานเย็บปักถักร้อยให้ข้า”
เหอซื่อฟังแล้วดีอกดีใจ “เจาเจาอยากฝึกเย็บปักถักร้อยหรือ”
“แค่สนใจใคร่รู้อยู่บ้างเจ้าค่ะ”
เหอซื่อยกมือจับเส้นผมที่รุ่ยร่ายเล็กน้อยของบุตรสาวให้เข้าที่ นางพูดอย่างไม่เอาใจใส่นัก “จะฝึกของพวกนั้นไปด้วยเหตุใด เสียสุขภาพตา ซ้ำนิ้วมือยังต้องโดนเข็มแทงเอาบ่อยๆ แม่เห็นแล้วสงสาร อีกอย่างหนึ่ง สตรีทั่วไปฝึกฝนได้ดีปานใดก็เทียบหญิงปักผ้าไม่ได้อยู่ดี ถ้าจำเป็นก็เสียเงินจ้างหญิงปักผ้าเก่งๆ มาสักคนก็สิ้นเรื่อง”
เฉียวเจาพยักหน้าหงึกหงัก พูดได้มีเหตุผลจริงๆ
รถม้าแล่นไปได้พักหนึ่ง เฉียวเจามองออกไปด้านนอกแล้วบอกกับเหอซื่อ “ท่านแม่ จอดให้ข้าลงตรงนี้เถอะ”
เหอซื่อรู้เหตุผลที่เฉียวเจาออกจากเรือน นางได้ยินแล้วส่ายหน้า “ที่นี่ไม่ได้ เจ้าอยู่ตัวคนเดียว แม่ไม่วางใจ”
ถึงแม้บุตรสาวจะปลอมตัวเป็นหนุ่มน้อย แต่ยังเยาว์วัยเกินไปบ้าง อีกทั้งเคยโดนล่อลวงไปแล้วครั้งหนึ่ง นางจะวางใจปล่อยให้บุตรสาวไปร้านน้ำชาตามลำพังได้เช่นไร
“รอให้ถึงหน้าประตูร้านน้ำชาอู่เว่ย เห็นท่านพ่อเจ้ารับเจ้าไปแล้ว แม่ค่อยกลับ”
เฉียวเจาได้ยินแล้วไม่ดึงดันต่อ นางพยักหน้าตกลง จนกระทั่งรถม้าหยุดจอดหน้าร้านน้ำชา นางมองปราดเดียวก็เห็นหลีกวงเหวินรออยู่หน้าประตู ถึงกล่าวลาเหอซื่อลงจากรถม้าไป
องครักษ์จินหลินนามเจียงเฮ่อซึ่งสะกดรอยตามเฉียวเจาอยู่ลับๆ เห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกระโดดลงจากรถม้า เขาเบิกตากว้างทันใด