หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 99
คุณหนูหลีผู้นั้นมีปัญหาดังคาด จู่ๆ นางปลอมตัวเป็นชายด้วยเหตุใดกัน
หากถามว่าเหตุใดเขามองแวบแรกก็จดจำได้ ย่อมเป็นเพราะเขาเคยเห็นมาก่อนตั้งแต่ช่วงเดินทางขึ้นเหนือ
เจียงเฮ่อดึงๆ ชายเสื้อให้เข้าที่ ก้าวขาเดินไปทางร้านน้ำชาอู่เว่ยอย่างกระฉับกระเฉง
“ท่านพ่อ ข้ามาสายหรือไม่เจ้าคะ”
หลีกวงเหวินพิศดูเด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาที่เดินมาหาอย่างอัศจรรย์ใจ เขาลองเรียกหยั่งเชิง “เจาเจา?”
“ลูกคารวะท่านพ่อขอรับ” เฉียวเจาเม้มปากอมยิ้ม ประสานมือโค้งคำนับหลีกวงเหวิน
ท่วงทีกิริยาของนางเยือกเย็น ดูท่าทางไม่ผิดแผกไปจากบุรุษหนุ่มน้อย เพียงแต่รูปงามหมดจดไปบ้าง
หลีกวงเหวินตาเป็นประกาย เขาตบมือพลางกล่าวว่า “เช่นนี้ไม่เลวเลย”
“ขอบคุณท่านพ่อที่กล่าวชม”
หลีกวงเหวินพยักหน้าถี่ๆ “วันหน้าเจาเจาแต่งกายเช่นนี้เถอะ ท่านพ่อจะได้พาเจ้าออกมาเดินหมากได้บ่อยๆ”
เฉียวเจาพูดไม่ออก “…”
นางยืดหลังตรง หันไปโบกไม้โบกมือกับรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก
เจียงเฮ่อซึ่งกำลังเดินมาทางนี้ชูมือขึ้นโบกตอบทีหนึ่งโดยไม่ทันคิด
เฉียวเจานิ่งขึงไป นางเพ่งสายตามองเจียงเฮ่อแล้วส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร
คนผู้นี้ก็ชวนขันนัก ถึงกับนึกว่านางทักทายเขา
เจียงเฮ่อตกใจทันใด
เขาถึงกับ…ถึงกับทักทายเป้าหมายที่สะกดรอยตาม แล้วอีกฝ่ายยังทักทายตอบ
ทักทายตอบ!
เจียงเฮ่อก้าวขาไม่ออกกะทันหัน เขาฝืนฉีกปากยิ้มแล้วหมุนตัวขวับ ฝืนข่มอารมณ์ชั่ววูบอยากวิ่งเตลิดไปไว้ ค่อยๆ เดินห่างไปทีละก้าวจนพ้นสายตาของเฉียวเจาแล้วถึงเริ่มออกวิ่งสุดฝีเท้า
คนผู้นี้แปลกพิกล
เฉียวเจาดึงสายตาคืนมา
เหอซื่อในรถม้าเยี่ยมหน้าออกมาทางช่องหน้าต่าง โบกมือหย็อยๆ กับบุตรสาว
หลีกวงเหวินเห็นเหอซื่อแล้วตีหน้าขรึมโดยไม่รู้ตัว เขากระแอมกระไอเสียงหนึ่งก่อนกล่าว “ยังไม่เข้าไปอีกหรือ”
“อื้อ มาแล้วเจ้าค่ะ” เฉียวเจาเดินย้อนกลับมาหาหลีกวงเหวิน จากนั้นสองพ่อลูกก็เดินเคียงคู่กันเข้าสู่หอน้ำชา
รถม้าที่จอดห่างไปไม่ไกลมิได้เคลื่อนตัวเป็นนาน หลังผ่านไปหนึ่งเค่อเต็ม สารถีถึงได้ยินเสียงสั่งของนายหญิงจากข้างในรถม้าจึงค่อยสะบัดแส้ รถม้าก็เริ่มออกแล่นอย่างเนิบนาบ
เจียงเฮ่อวิ่งตะบึงไปตลอดทางจนถึงหน้าประตูที่ว่าการกององครักษ์จินหลินแล้วตรงดิ่งไปยังห้องปฏิบัติราชการของเจียงหย่วนเฉา เขาเกาะผนังสูดหายใจเฮือกใหญ่ๆ อย่างเหนื่อยหอบ
เจียงหย่วนเฉาเห็นเช่นนี้แล้วเลิกคิ้วสูง เอ่ยถามขึ้น “เกิดเรื่องอันใดขึ้น ไฉนทำท่าเหมือนวิ่งแทบขาดใจ”
“คุณหนูหลี…คุณหนูหลี…”
“คุณหนูหลีมีอะไร” รอยยิ้มมุมปากของชายหนุ่มเลือนหายไปในพริบตา สีหน้าเขาเคร่งเครียดขึ้น
เกิดเรื่องขึ้นกับแม่นางน้อยผู้นั้น?
หรือว่าข้าให้ความสนใจต่อเด็กสาวผู้นั้นแล้วดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ ในที่ว่าการ?
เจียงหย่วนเฉาประจักษ์แก่ใจดีว่าเขากลับจากจยาเฟิงมาแทนที่เจียงอู่ บัดนี้เขาอยู่ในตำแหน่งสำคัญของกององครักษ์จินหลิน สร้างความไม่พึงใจให้พี่น้องคนอื่นๆ แต่แรกแล้ว
เมื่อนึกถึงคำว่า ‘พี่น้อง’ เจียงหย่วนเฉาก็ยิ้มอย่างเยาะหยัน
บอกว่าเป็นพี่น้องกัน หากตั้งแต่เด็กจนโตล้วนเป็นคู่แข่งขันกันเท่านั้น สมัยวัยเยาว์แย่งความสนใจของท่านพ่อบุญธรรม พอเติบใหญ่แล้วก็แย่งกันเป็นคนสำคัญของท่านพ่อบุญธรรม
“คุณหนูหลี…คุณหนูหลีปลอมตัวเป็นชายไปที่ร้านน้ำชาอู่เว่ยขอรับ” เจียงเฮ่อหยุดหอบหายใจได้ในที่สุด
“ปลอมตัวเป็นชาย?” เรียวคิ้วชวนพิศของเจียงหย่วนเฉามุ่นเข้าหากันแล้วคลายออกทันที เขาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงจะเป็นเช่นนั้น แล้วเจ้าจะร้อนรนแตกตื่นถึงเพียงนี้ด้วยเหตุใดกัน”
เขาคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างโดยพลัน “หรือว่านางไปพบกับใครที่ผิดจากสามัญ”
นี่ถึงทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาร้อนใจวิ่งกลับมารายงานเฉกนี้
“เอ่อ…คนที่รออยู่ที่ร้านน้ำชาอู่เว่ยดูเหมือนจะเป็นอาลักษณ์หลี บิดาของคุณหนูหลีผู้นั้นขอรับ ส่วนว่ายังมีคนอื่นอีกหรือไม่…” ยามอยู่ต่อหน้าท่านสิบสาม เจียงเฮ่อไม่กล้าพูดปิดบังมาแต่ไหนแต่ไร เขากลั้นใจพูดขึ้น “ข้ายังไม่ทันยืนยันให้แน่ใจก็วิ่งกลับมาแล้วขอรับ”
ไม่ได้เกิดเรื่องขึ้นกับแม่นางน้อยผู้นั้น จิตใจของเจียงหย่วนเฉาก็ผ่อนคลายลงอย่างปราศจากเหตุผล เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกมาสิว่าเจ้ายังทำเรื่องเบาปัญญาอะไรอีก”
เจียงเฮ่อได้ยินแล้วเริ่มคับข้องหมองใจ เขาพูดเป็นเชิงปรับทุกข์ “ใต้เท้าไม่ทราบหรอกว่าคุณหนูหลีท่านนั้นเจ้าเล่ห์เหลือหลาย ข้าแสร้งทำท่าเป็นลูกค้าเดินเข้าร้านน้ำชาอย่างไม่รู้ไม่ชี้ นางกลับโบกมือให้ข้าขอรับ”
“นางจดจำได้ว่าเจ้าเป็นองครักษ์จินหลินหรือ”
เป็นไปไม่ได้กระมัง ตอนเดินทางขึ้นเหนือ ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขากับเด็กสาวผู้นั้นไม่เคยเจอหน้าค่าตากัน มีแต่ตัวเขาเองที่พบกับนางอย่างห้ามใจไม่อยู่เมื่อหลายวันก่อน ถึงกระนั้นตามหลักแล้วนางไม่น่าจะรู้ฐานะของพวกเขาได้
เจียงเฮ่อทำหน้ากลัดกลุ้ม “ข้าไม่ทราบว่านางดูออกหรือไม่ว่าข้าเป็นองครักษ์จินหลิน แต่หลังจากนี้นางน่าจะจำหน้าข้าได้แล้วขอรับ”
“หือ? เจ้าทำอะไรหรือ” เจียงหย่วนเฉาชักสังหรณ์ใจไม่ดี ข่มใจถามขึ้น
“ก็ไม่ได้ทำอะไร ข้าแค่เผลอตัว…ทักทายตอบเล็กน้อยเท่านั้นเอง…”
เจียงหย่วนเฉาอึ้ง “…” ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อบรมฝึกฝนมาเองกับมือกลับโฉดเขลาถึงเพียงนี้ เขาหมดคำพูดจะโต้ตอบ
ท่านสิบสามผู้ไร้เรี่ยวแรงจะบันดาลโทสะยกมือชี้ไปที่หน้าประตู
เจียงเฮ่อเหมือนได้รับอภัยโทษ “ข้าไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เขาพุ่งทะยานไปถึงหน้าประตูแล้วหยุดฝีเท้าก่อนไต่ถามอย่างลังเล “ใต้เท้า แล้ววันหน้าข้ายังต้องตามคุณหนูหลีอีกหรือไม่ขอรับ”
“เจ้าเห็นว่าอย่างไรล่ะ” เจียงหย่วนเฉาลุกขึ้นยืน เขาถามพลางเดินไปที่หน้าประตู
เจียงเฮ่อก้มหน้าลงอย่างกลัดกลุ้ม พักนี้งานที่เขาได้รับมอบหมายดูเหมือนล้วนไม่ใคร่เป็นพึงใจของใต้เท้า อันที่จริงเขาทุ่มเทกายใจอย่างมากแล้วนะ
เจียงหย่วนเฉาก้าวขาเรียวยาวผ่านข้างกายเจียงเฮ่อไปโดยไม่แม้แต่จะเหลือบแลเขาสักแวบเดียว
“ใต้เท้า ท่านจะไปที่ใดหรือขอรับ” เจียงเฮ่อที่อยู่ข้างหลังเขาอดเปล่งเสียงเรียกไม่ได้
ชายหนุ่มยกมือชี้ไปด้านข้างโดยไม่เหลียวหลัง
เจียงเฮ่อทำหน้าละห้อย “ข้าไสหัวไปแล้วๆ…หรือไม่รอเจียงหลินกลับจากเป่ยติ้ง ข้าจะสลับหน้าที่กับเขา อยู่ที่หอคณิกาไม่เป็นปัญหาสำหรับข้าแน่นอน…”
ท่านสิบสามผู้ร่างสูงขายาวเดินออกไปแล้ว
ด้านนอกดวงตะวันลอยสูงฉายแสงเจิดจ้า ต้นอู๋ถง* สูงใหญ่สองฟากฝั่งของถนนเขียวขจีร่มครึ้ม ชายหนุ่มสาวเท้าเดินไปยังทิศทางที่ตั้งของสำนักราชบัณฑิต
หลีกวงเหวินนำทางพาเฉียวเจาไปยังห้องส่วนตัวฝั่งริมถนนของร้านน้ำชาอู่เว่ย เขาชี้ชุดกระดานหมากที่ตั้งไว้พร้อมพรักแต่แรกพลางกล่าวว่า “มา พวกเราสองพ่อลูกเดินด้วยกันก่อนสักกระดาน”
“ท่านพ่อ พวกเรารอท่านหัวหน้าสำนักดีกว่าเจ้าค่ะ”
เห็นบุตรสาวบอกปัดอ้อมๆ หลีกวงเหวินนิ่งคิดเล็กน้อยก็เห็นว่าถูกต้อง เมื่อทั้งคู่เริ่มเดินหมากแล้วมิใช่ว่าจะยุติได้ในชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ถึงเวลาเดินไปได้ครึ่งๆ กลางๆ อีกฝ่ายมาถึงจะมิเสียอารมณ์หรือไร
“ตกลง เช่นนั้นก็รอเถอะ” หลีกวงเหวินทรุดกายลงนั่ง
เฉียวเจาข่มใจไว้แล้วเอ่ยถาม “ท่านพ่อจะรออยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ”
“เอ๊ะ?” หลีกวงเหวินถูกถามก็ทำหน้าแปลกใจชอบกล
“เมื่อครู่ท่านพ่อยังรอข้าที่หน้าร้านน้ำชาเลยมิใช่หรือเจ้าคะ” เฉียวเจากล่าวเตือน
หลีกวงเหวินฟังแล้วหัวเราะออกมา “ก็ท่านพ่อกลัวเจ้าจำทางไม่ได้มิใช่หรือ แต่ท่านหัวหน้าซูไม่เหมือนกัน เขามาเป็นประจำ”
เฉียวเจามองไปทางนอกหน้าต่างเงียบๆ เช่นนั้นแล้วแสดงว่าท่านพ่อต้องโชคดีมากสักปานใดกันแน่นะถึงอยู่รอดปลอดภัยมาถึงตอนนี้ได้
ขณะที่เฉียวเจาค่อนขอดอยู่ในใจ จู่ๆ สายตาของนางนิ่งขึงไป จับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มเรือนกายสูงใหญ่ผู้หนึ่งบนถนน
คนผู้นั้นอยู่ในอาภรณ์สีดำรัดกุมเสริมส่งให้ร่างสูงสง่าผึ่งผายดุจต้นสน ทั้งที่มุมปากประดับรอยยิ้มไว้ตลอดและดูนุ่มนวลไปทุกๆ อิริยาบถ หากแต่รัศมีความเย็นชาไร้หัวใจกลับแผ่ซ่านมาจากเนื้อแท้ข้างใน
คนเยี่ยงนั้นโดยมากเมื่อในใจมีเป้าหมายหนึ่งแล้วมักไม่หวั่นไหวโอนเอนเด็ดขาด
เฉียวเจาเลื่อนสายตาไปหยุดที่ใบหน้าของบุรุษชุดสีดำ รอยยิ้มที่มุมปากค่อยๆ เลือนหายไป
เจียงสือซานแห่งกององครักษ์จินหลิน ไฉนเขาปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้
เด็กสาวเป็นคนหลักแหลมหัวไว ตรึกตรองเล็กน้อยก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้น
เขากำลังตามหาข้าอยู่!
* ต้นถงหรืออู๋ถง (Chinese Parasol Tree) เป็นไม้ยืนต้น ใบรูปฝ่ามือ ดอกเป็นช่อสีเหลือง ไม้เนื้อเหนียวใช้ทำเครื่องดนตรีและเครื่องเรือน