หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 172 เขาเป็นความน่ารำคาญใจของนาง
บทที่ 172 เขาเป็นความน่ารำคาญใจของนาง
ก็ได้!
เป็นนางเองที่มีความคิดจิตใจคับแคบ
“เอาอย่างนี้ ท่านปล่อยข้าเสียก่อน ข้าเกรงว่าเช่นนี้จะมีผลต่อการบังคับเรือของท่าน ”
มือข้างหนึ่งของเย่แจ๋หยิ่งโอบนางเอาไว้ จึงทำได้เพียงใช้มือข้างเดียวในการบังคับพังงาเรือไปด้วย ดังนั้น เพื่อสิ่งที่ดีกว่า นางจึงต้องกล่าวแนะขึ้นมา
ใครจะรู้ว่า……
” หลานเยาเยา นี่เจ้าคิดว่าอยากกอดข้าก็กอด ไม่อยากกอดก็ผลักไสเช่นนั้นหรือ? ”
หลังจากที่เย่แจ๋หยิ่งเหลือบไปมองนางด้วยสายตาที่เย็นชาครู่หนึ่ง ก็ไม่หันมามองนางอีกเลย
แต่ว่าคำพูดของเขากลับทำให้หลานเยาเยารู้สึกถึงความผิดปกติ
นี่มันเกิดเรื่องอันใดกันแน่ ? คงมิใช่กำลังโกรธอยู่หรอกนะ ?
ก็ได้!
ตัวเองจากไปโดยมิได้บอกกล่าวสิ่งใด ถึงแม้จะทิ้งจดหมายเอาไว้ แต่ก็ยังทำให้รู้สึกรำคาญใจ
แถมยังเป็นนางที่เข้าไปกอดเขาก่อน ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าตัวเองจู่ๆเกิดเป็นประสาทอะไรขึ้นมา แต่ว่าในเมื่อกอดแล้วก็คือกอดแล้ว
“ไม่ใช่ ไม่ใช่”
หมดหนทางแล้ว เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่เหมาะแก่การโต้เถียง อีกทั้งยังตัวเองยังตกอยู่ในความอยุติธรรม ด้วยเหตุนี้หลานเยาเยาจึงทำได้เพียงปล่อยให้เย่แจ๋หยิ่งกอดนางเอาไว้ ได้เพียงต้อนรับกับวันหายนะและการสิ้นสุดของชีวิต
เรือใหญ่หักคันเร่ง จนความเร็วค่อยๆช้าลงไปไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตามความสามารถในการบังคับเรือของเย่แจ๋หยิ่งทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย
ท่าทางกล้าหาญอันหยิ่งยโส แววตาดำลึก และท่าทางอันนิ่งสงบ….
ทำให้รู้สึกถึงความมั่นคงเป็นอย่างมาก ราวกับว่าต่อให้เจอกับสถานการณ์เช่นนี้ สำหรับเขาแล้วก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใด ไม่รู้ว่าเขานั้นเคยพบเจอกับสิ่งใดมาก่อน?
ความคิดนี้หยั่งลึกเข้าไปวุ่นวายในจิตใจของนางอย่างห้ามไม่ได้
ขณะที่เรือลำใหญ่กำลังเคลื่อนอยู่ภายใต้กลุ่มเมฆดำ สายฟ้าก็ผ่าลงมายังตัวเรือเป็นระลอกๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพียงแต่……
ยังถือว่าโชคดีเพราะเรือใหญ่สามารถหลบหลีกสายฟ้ามรณะแล้วยังแล่นออกมาจากกลุ่มเมฆดำได้อย่างฉิวเฉียด
เพียงแต่หลังจากที่แล่นออกมาจากกลุ่มเมฆดำ เย่แจ๋หยิ่งก็บังคับเรือใหญ่เลี้ยวไปยังทางทะเลลึก
คราวนี้
หลานเยาเยากลับไม่ได้ถามสิ่งใด……
เพราะว่านางเข้าใจแล้ว ว่าสัตว์ร้ายตัวใหญ่เมื่อสักครู่นี้นั้น…อ๋อ ไม่สิ จะพูดให้ถูกก็คือเรือแห่งความสิ้นหวัง สาเหตุที่มันแล่นเข้าไปในกลุ่มเมฆดำนั้น
เป็นเพราะ ด้านท้ายของมันมีกลุ่มเมฆดำที่มีขนาดใหญ่กว่ากลุ่มเมฆดำทั้งสี่ด้านเมื่อสักครู่นี้รวมกันเสียอีก ดังนั้นเรือแห่งความสิ้นหวังจึงได้แล่นเข้าไปในกลุ่มเมฆดำที่พวกเขาอยู่ก่อนหน้านี้
“ครืม…..ครืม……ครืม…..”
เสียงฟ้าร้องที่อึมครึม ทำให้ผู้คนที่นั่งอยู่บนเรือใหญ่ต่างก็กรีดร้องออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน มือของหลานเยาเยาที่จับชายแขนเสื้อของเย่แจ๋หยิ่งก็มีเหงื่อไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
และพลันกุมหัวใจเอาไว้อย่างไม่ยอมปล่อยวาง
ในขณะที่ไม่รับรู้สิ่งใด นางก็กอดเย่แจ๋หยิ่งแน่นขึ้น….
หลังจากคำชี้แนะของเย่แจ๋หยิ่งก็ไม่รู้ว่าเรือใหญ่นั้นแล่นผ่านกลุ่มเมฆดำมาได้เท่าไหร่แล้ว จนกระทั่งหลังจากที่เสากระโดงเรือที่เหลืออีกสองเสาถูกฟ้าผ่าลงมา มันถึงได้สงบลง
และยังนับว่าโชคดีที่เรือใหญ่หยุดลงระหว่างช่องว่างของกลุ่มเมฆดำทั้งสอง และนอกจากต้องเผชิญกับฟ้าผ่าเป็นครั้งคราว ตอนนี้ก็นับได้ว่าพวกเขาปลอดภัยแล้ว
เมื่อเห็นควันดำบนเรือใหญ่อย่างคลุ้งอยู่นั้น หลานเยาเยาก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
“เรือจะจมหรือไม่?”
ประโยคนี้ นางเองก็ไม่รู้ว่ากำลังถามตัวเองหรือกำลังถามเย่แจ๋หยิ่งกันแน่
“ปัญหานี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรจะกังวล!”เสียงทุ้มต่ำดังแทรกขึ้นมาจากข้างกายอย่างเย็นชา
เย่แจ๋หยิ่งได้ปล่อยนาง ทั้งยังถอยก้าวออกมาจากนางหลายก้าว แววตาจ้องมองไปข้างหน้าอย่างช้าๆก่อนที่จะไขว้มือทั้งสองไว้ข้างหลัง แผ่นหลังนั้นทำให้นางมีความรู้สึกบางอย่างที่กล่าวออกมาไม่ได้
“ข้า ข้าควรกังวลเกี่ยวกับปัญหาอันใดเล่า?”
ในขณะที่พูดออกไป ดวงตาของนางที่ถึงแม้จะแหลมคม แต่ดวงตาโตก็ไม่วายที่จะลุกลี้ลุกลน น้ำเสียงที่ดูมั่นคงหนักแน่นแต่น่าฟัง กลับเบาลงกว่าปกติ
ราวกับจะรู้ว่านางจะพูดเช่นนี้ ดังนั้นทันทีที่นางเอ่ยปากพูด เสียงอันเย้ยหยันก็เปล่งออกมาจากปากของเย่แจ๋หยิ่ง
“ฮื้ม!”
หลานเยาเยาก็ถึงกับปิดปาก นางอยากจะผลัดหัวข้อในตอนนี้ไปเสีย พร้อมทั้งพิจารณาสิ่งที่อยากจะกล่าวออกมาในใจอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นก็เดินตรงไปด้านหน้าอย่างระมัดระวัง แล้วค่อยๆโน้มตัวไปด้านหน้าพลันหันหน้าไปมองเขา
“ท่านมาอยู่บนเรือนี้ได้อย่างไรกัน?”
ไม่ใช่ว่าเย่แจ๋หยิ่งตามนางมาตลอดหรอกนะ ? แล้วไหนจะเหล่าองครักษ์ลับจำนวนมากขนาดนี้ ไม่เหมือนกับเย่แจ๋หยิ่งที่พอรู้ว่านางหนีออกมาแล้วสั่งให้คนมาจับตัวนางกลับไป
แต่กลับเหมือนว่าเขามีเรื่องที่สำคัญต้องไปจัดการมากกว่า ไม่รู้ว่าขึ้นมาบนเรือใหญ่ลำนี้ได้อย่างไร
ในสายตาของนาง มองเห็นเย่แจ๋หยิ่งอย่างสลัว ดวงตาแหลมคมที่จ้องมายังเธอ พร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้น
รอยยิ้มนั้นไม่ได้มีความแตกต่างอันใดกับรอยยิ้มปกติของเขามากนัก แต่กลับทำให้หลานเยาเยารู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่คุ้นเคย
“เจ้านาย เรือกำลังจมน้ำแล้ว”
ในช่วงเวลาที่น่าอึดอัด ก็มีองครักษ์ลับนายหนึ่งวิ่งเข้ามา แต่พอมองเห็นพวกเราอยู่ใกล้กันขนาดนั้น องครักษ์ลับก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน
ตอนนี้เขาควรจะหลีกออกไปหรือไม่ ? หรือว่าออกหลีกไป? หรือว่าหลีกออกไป
เมื่อได้ยิน!
หลานเยาเยาและเย่แจ๋หยิ่งก็หันหน้ามายังองครักษ์พร้อมกัน จากนั้นทั้งสองก็ถอยแบ่งระยะห่างกันอย่างเห็นได้ชัด
“จะจมเมื่อไหร่?”
เสียงของเย่แจ๋หยิ่งเรียบนิ่งเป็นอย่างมาก แต่หลานเยาเยากัลับรู้สึกราวกับว่าเขาได้คิดวิธีเอาไว้แล้ว
“ เรียนเจ้านาย ทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของเรือ แต่ว่ารอยแตกไม่ได้ใหญ่มากนัก คาดว่าสองชั่วยามเรือจะจมอย่างสมบูรณ์ ”
สองชั่วยามก็คือสี่ชั่วโมง ถึงแม้ว่าสี่ชั่วโมงนับว่าเป็นเวลาที่นาน แต่จุดนี้ห่างจากชายฝั่งจนเกินไป จะให้ว่ายน้ำก็คงทำไม่ได้ แล้วตรงนี้ยังมีฟ้าแลบฟ้าผ่าหนาแน่นอีก เมฆดำก็ปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ คิดจะกระโดดหนีออกไป….ยังยากกว่าปีนขึ้นไปบนสวรรค์เสียอีก
แต่ว่า!
ส่วนใหญ่ในเรือสมัยใหม่มักจะมีเรือกู้ชีพเอาไว้เผื่อเกิดเหตุสุดวิสัย ไม่รู้ว่าในเรือลำใหญ่เช่นนี้จะมีเรือเล็กเรือพายพวกนี้บ้างหรือเปล่า ในกรณีเช่นนี้?
หลานเยาเยาที่กำลังคิดอยู่ ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเย่แจ๋หยิ่งดังแทรกขึ้นมา
“ได้มีการเก็บเรือลำเล็กสี่ลำไว้บนเรือ แต่อย่าให้ผู้ใดรู้เป็นอันขาด”
“รับทราบ!”
หลังจากที่ได้รับคำสั่ง องครักษ์ลับก็รีบจากไป
เย่แจ๋หยิ่งก็หันหน้ากลับมา พลางมองไปยังหลานเยาเยาด้วยแววตาที่ลึกล้ำ เมื่อเห็นสีหน้าที่ซับซ้อนของนาง ริมฝีปากบางๆของเขาก็ขยับ
“สายตาเช่นนั้นของเจ้ากำลังคิดว่าข้ากำลังเห็นแก่ตัวเยี่ยงนั้นรึ?”
“เปล่า ข้าเพียงคิดว่าท่านนั้นช่างมองการณ์ไกลเท่านั้น!”
หลานเยาเยาคาดไม่ถึงเลยว่าเย่แจ๋หยิ่งจะรู้ถึงจำนวนเรือเล็กบนเรือลำใหญ่นี้ได้อย่างชัดเจนขนาดนี้ และสถานการณ์จากธรรมชาติรุนแรงเช่นนี้ที่ยากจะเจอในรอบร้อยปี
“มองการณ์ไกล?เหอะ ไม่ว่าจะเป็นจะอยู่ในสนามรบหรือท้องพระโรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงใด ก็ต้องคิดให้รอบคอบมิเช่นนั้นหากไม่ระวังก็จะตายโดยไร้ที่ฝัง”
“ข้าหล่ะ?”ทันใดนั้นหลานเยาเยาก็เอ่ยถามขึ้นมา
“อะไร?”เย่แจ๋หยิ่งรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
“ในขณะที่ท่านครุ่นคิดถึงปัญหาเล็กน้อยทั้งหมดนั้น เคยคิดถึงเรื่องข้าบ้างหรือไม่?”
“เจ้าไม่นับว่าเป็น……เรื่องเล็กน้อย”แล้วจึงกล่าวต่อด้วยท่าทางที่เบื่อหน่าย“แต่เป็นปัญหาใหญ่ต่างหาก”
ถ้าหากไม่ใช่เพราะนาง เขาจะมาอยู่บนเรือใหญ่ลำนี้ได้อย่างไร?
แล้วหากไม่ได้อยู่ในเรือลำนี้ เขาจะได้มาเห็นปรากฏการณ์สุดประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
“……”
เอ่อ!
ปัญหาใหญ่……
ทันใดนั้นหลานเยาเยาก็รู้สึกไปมีความสุขขึ้นมา ก็ได้ นางเป็นเหมือนกับปัญหาอันน่ารำคาญใจจริงๆ
ดังนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิดและมุมปากของเธอก็ค่อยๆยกยิ้มขึ้นเหมือนไม่มีสิ่งใด แต่ก็ไม่คาดคิดว่าท้องฟ้าไม่ได้สลัวและน่ากลัวเหมือนที่เคยเป็น