หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 175 ร้อยพิษไม่กล้ำกราย
บทที่ 175 ร้อยพิษไม่กล้ำกราย
คนที่ยืนด้านหลังของเขาคือลุงวัยกลายคนอย่างซาหมั่นเฉิง แล้วยังมีป่ายเม่ยเซิงที่เปลือยอกอยู่ พร้อมทั้งชายหมุ่นชายชุดเขียวที่แววดูมืดครึ้ม และพวกเขาทุกคนต่างก็สวมใส่หน้ากากอยู่
เพียงแค่ได้ยินเสียงหลานเยาเยาก็รู้ได้ทันทีเลยว่าชายผมขาวสวมชุดคลุมสีม่วงเข้มคนนั้นเป็นเจ้าของเรือของเรือแห่งคสามสิ้นหวัง
เพราะเสียงทุ้มต่ำและเย็นชานั้นฟังแล้วติดหูอย่างมาก
“เป็นอย่างไรบ้าง!”
เสียงอันเย็นชาดังออกมาจากปากของเย่แจ๋หยิ่ง โดยไม่รับรู้ถึงความดุดันอันใด
“เหอะๆๆ……”
“คิดไม่ถึงว่าอ๋องเย่แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ แล้วยังสงบนิ่งได้ ช่างน่าชื่นชมจริงๆ!”
แม้ปากของชายผมขาวจะกล่าวชื่นชม แต่ใบหน้ากลับไม่ได้มีท่าทางชื่นชมเลยแม้แต่น้อย เพียงปรากฎสีหน้าที่หยิ่งผยองบนใบหน้าของเขาอย่างเห็นได้ชัด
“ข้ามาเพื่อให้ท่านสรรเสริญ”
“ท่าน……”
ความหยิ่งยโสบนใบหน้าของชายปมขาวจางกายกลายเป็นความโกรธแทน ราวกับนึกถึงบางอย่างขึ้นมาเขาก็หัวเราะออกมา
“ฮิๆๆ เมื่อได้เห็น ตำนานแห่งสนามรบอย่างอ๋องเย่ผู้ยโสโอหัง ที่ในตอนนี้กำลังเจอกับสถานการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ ข้านั้นรู้สึกดีจริงๆ”
ชายผมขาวตรงหน้าพูดประชดออกมา แต่สีหน้าของเย่แจ๋หยิ่งกลับไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่กวาดสายตาไปมองยังเรือแห่งความสิ้นหวัง
“เหอะ เช่นกันๆ!”และถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถที่จะหลบหลีกจากภายธรรมชาติอันใหญ่ได้
ตัวเรือของเรือแห่งความสิ้นหวังเองก็ถูกฟ้าผ่าไปไม่น้อย ถึงแม้จะไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากนักแต่ดูแล้วก็น่าจะสาหัสใช่น้อย ชายผมขาวที่เห็นเย่แจ๋หยิ่งกำลังกวาดสายตามองไป ก็อดไม่ได้ที่จะกำมือแน่น……
“นี่ พวกท่านทั้งสองคงไม่คิดจะยืนคุยกันหรอกนะ?ไม่เหนื่อยหรือ?ข้าว่าเจ้าของเรือน่าจะใจกว้างสักหน่อย เชิญพวกข้าเข้าไปนั่งดื่มชาสักถ้วย แล้วค่อยๆคุยกันเสียดีกว่า?”
หลานเยาเยามองดูน้ำบนดาดฟ้าเรือที่ท่วมเท้าขึ้นมา ก็อยากจะรู้เลยว่าหากไม่สามารถขึ้นเรือแห่งความสิ้นหวังได้ นางจะได้นั่งถังไม้ล่องไปในทะเล
เพียงแต่เย่แจ๋หยิ่งกับชายผมขาวไม่แต่พูดจาประชดประชันกัน แล้วยังน่าเบื่ออีก ซึ่งมันน่ากังวล
แล้ว!
นางก็ออกมาจากที่หลบมายังด้านหลังของเย่แจ๋หยิ่ง
นางที่ปากฎตัวมาในชุดของบุรุษ และท่าทางที่ไม่ธรรมดา ราวกับเทพบุตรผู้สำรวม เพียงครู่เดียวก็ดึงดูดสายตาของคนบนเรือแห่งความสิ้นหวัง
แล้วปฏิกิริยาของพวกเขาจากนั้นก็เปลี่ยนไป
“ท่านผู้นี้คือ?”
ชายผมขาวมองไปยังหลานเยาเยาอย่างสนใจ
ไม่รอให้เย่แจ๋หยิ่งได้ตอบกลับ หลานเยาเยาก็ชิงพูดก่อน
“จะถามเรื่องไร้ประโยชน์ไปทำไมกัน? ควรถามสิ่งที่เป็นสาระสำคัญดีกว่า”
“อ๋อ?แล้วสิ่งใดคือสิ่งที่มีสาระเล่า?”
ในตอนนี้เองแววตาของหลานเยาเยาก็ประกายวาบขึ้นมา นางจึงชะโงกหน้าออกมาจากหลังของเย่แจ๋หยิ่งพลันพูด
“บนเรือของท่านมีของกินหรือไม่?”
การกินก็คอการเสริมสร้างโภชนาการอาหาร
เย่แจ๋หยิ่ง“……”
ชายผมขาว:“……”
…
จากนั้นไม่นาน
หลานเยาเยาก็มองไปยังจานอาหารอันหอมเย้ายวนบนโต๊ะใหญ่ น้ำลายก็ไหลไม่หยุด แล้วสายตาของนางก็หันไปยังเย่แจ๋หยิ่งอย่างไม่ได้
ราวกับว่ากำลังถามอีกครั้งว่า : กินได้หรือยัง?
แต่เย่แจ๋หยิ่งที่เห็นท่าทางราวกับแมวน้อยของนาง เขาก็หันหน้าหนีทันทีราวกับพูดว่า ‘ข้าไม่รู้จักเจ้า’
เมื่อไร้ความช่วยเหลือ แต่มีอาหารวางอยู่ตรงหน้า นางจึงทำได้เพียงหันหน้าไปยังชายผมขาว แล้วพิจารณาสิ่งที่จะพูดอยู่ครู่หนึ่ง
“ท่านคงไม่ได้วางยาพิษหรอกนะ?”
ใครจะรู้ว่า……
ชายผมขาวไม่ได้ตอบคำถามของนางแต่กลับถามกลับแทน“กล้ากินหรือไม่?”
“กล้าสิ ข้ามีอะไรที่ไม่กล้าบ้าง?”
พูดจบ หลานเยาเยาก็หยิบเข็มเงินออกมา จากนั้นก็ตรวจว่าบนอาหารมิษหรือไม่ โดยไม่สนสายตาของคนที่นั่งตรงข้ามเลย
หลังจากตรวจเสร็จเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้มีการเปลี่ยนสีแต่อย่างใด นางก็ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ แล้วคีบอาหารให้กับเย่แจ๋หยิ่งกับมือตัวเอง
“อาหารจานนี้ดูน่าทาน ท่านลองสักหน่อยสิ”
เมื่อพิจารณาจากบทสนทนาก่อนหน้านี้ระหว่างเย่แจ๋หยิ่งและชายผมขาวแล้ว ทั้งสองคนน่าจะเป็นคู่แข่งกัน และชายผมขาวก็คงเกลียดเย่แจ๋หยิ่งมากและคงจะไม่สามารถทำดีอะไรมากต่อเย่แจ๋หยิ่ง
ดังนั้น!
ตอนนี้ต้นขาของเย่แจ๋หยิ่งถูกนางรัดแน่นไว้แล้ว
แม้ว่าจะเดาไม่ออกว่าตอนนี้เย่แจ๋หยิ่งหิวหรือไม่ เพียงแค่นางคีบอาหารใส่จานอาหารข้าว เขาก็จะกินมันลงไปโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ
บนโต๊ะมีอาหารอยู่สิบกว่าอย่าง แต่นางทานอาหารไปได้เพียงสามอย่างซ้ำๆอยู่เท่านั้น แต่คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางอย่างชายผมขาวกลับชิมอาหารทั้งหมดนั้นในรอบเดียว
หลานเยาเยาจ้องมองเขากินอย่างไม่กระพริบตา ยิ่งดูยิ่งตกใจ ยิ่งดูม่านตาของนางก็เบิกกว้างยิ่งขึ้น รอจนชายผมขาวชิมอาหารจานสุดท้ายเสร็จ สุดท้ายนางก็ทนไม่ได้
“ท่านทนต่อพิษนี่?”
ทันทีที่นางพูด เย่แจ๋หยิ่งก็หรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงหันหน้าไปมองนาง ก่อนจะมองไปยังชายผมขาวด้วยท่าทางประหลาดใจ พลันกล่าวราวกับยิ้ม
“เหตุใดจึงพูดเช่นนี้?”
จากนั้นหลานเยาเยาจึงเชยคางขึ้นอย่างเฉิดฉาย แววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ แล้วพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ
“ถ้าข้าทายไม่ผิด นอกจาก….อาหารสามอย่างที่คีบเมื่อกี้ นอกนั้นล้วนมียาพิษหมด”
“มียาพิษ?เมื่อกี้เจ้าใช้เข็มเงินจิ้มหมดแล้วมิใช่หรือ?ก็เห็นอยู่ว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีดำ จะมีพิษได้อย่างไร?”
คนที่พูดคือป่ายเม่ยเซิงที่ยืนอยู่ด้านหลังของชายผมขาว
ตั้งแต่ที่ได้เห็นหลานเยาเยา สายตาของเขาไม่อยากจะละไปจากนาง แต่ด้วยความที่เขาถูกสายตาอันทรงพลังสะกดเอาไว้ จึงทำให้เขาที่อยากมองหลานเยาเยานั้นรู้สึกกดดันอย่างมาก
แต่ตอนนี้ดีแล้ว เพียงเขาแค่เอ่ยถาม แล้วยังเป็นการถามแทนเจ้าของเรือเสียด้วย จึงทำให้เขาสามารถมองไปยังหลานเยาเยาได้อย่างเต็มตา
“ใครบอกกันเล่าว่าเข็มเงินจะสามารถตรวจได้ชัดเจนว่ามีหรือไม่มีพิษ?”
แม้จะกล่าวว่าเข็มเงินจะสามารถพิสูจน์พิษในอาหารได้ แต่เข็มเงินก็ไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น ไม่ใช่ว่ายาพิษทุกชนิดเข็มเงินจะพิสูจน์ออกมาได้ และบางอย่างที่ไม่มีพิษแต่กลับมีปฏิกิริยากับเข็มเงิน ก็สามารถทำให้เข็มเงินเปลี่ยนเป็นสีดำได้
ดังนั้นการใช้เข็มเงินในการพิสูจน์ไม่ได้น่าเชื่อถือเลย!
พูดจบนางก็หันหน้าไปสบตากับเย่แจ๋หยิ่ง แต่กลับเห็นเพียงสายตาที่ล้ำลึกของเขาที่ยังของลึกล้ำอยู่ นางจึงอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากแล้วกลอกตาใส่เขาก่อนจะหันหน้ากลับมา
“การใช้เข็มเงินในการตรวจหาพิษไม่ใช่มีใช้มาตั้งแต่โบราณแล้วหรอกหรือ?แล้วหากที่ท่านกล่าวว่าอาหารพิษ เจ้าของเรือของเราก็ได้กินหมดแล้ว เหตุใดจึงไม่เห็นเป็นอันใด?”
ในตอนนี้หลานเยาเยาก็ถึงกับขมวดคิ้วอย่างหน่ายๆ
“ดังนั้นข้าถึงได้พูดว่าเขาทนต่อพิษไง!ไม่แน่เจ้าของเรือของพวกเจ้าก็อาจจะเติบโตมากับพิษเหล่านี้ก็เป็นได้!”
หรือไม่ก็อาจจะเพราะว่าก่อนหน้านี้ชายผมขาวได้กินยาแก้พิษที่ต่างกันเอาไว้หมดแล้ว
แต่ว่า!
สิ่งนี้คงจะเป็นไปไม่ได้
ใครกันที่เพราะอยากจะหยั่งเชิง แล้วกินยาแก้พิษเยอะขนาดนั้น?
นอกจากจะป่วย!
แท้จริงแล้ว ก็คือยามีพิษส่วนสิบ เพราะหลังจากที่กินยาถอนพิษที่ผสมกับยาถอนพิษลงไปแล้วจะทำให้เกิดยาพิษแบบใหม่ขึ้นหรือไม่มีอาการใดๆปรากฎ !
ดังนั้นนางถึงได้สรุปว่าชายผมขาวนั้นทนต่อพิษ
ป่ายเม่ยเซิงสะอึก
เจ้าของเรือเป็นคนที่ทำตัวลึกลับ ต่อให้เขาจะตามเขามาได้หลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจถึงตัวตนของเขาเลย สำหรับเรื่องที่ร่างกายทนต่อพิษเขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน……
“ท่านพูดจาเหลวไหล เจ้าของเรือหาใช่เด็กน้อยไม่ ไม่มีทางวางยาลงในอาหารหรอก …