หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 197 ช่วยพูดให้ข้าดูดีสักสองสามประโยค
บทที่ 197 ช่วยพูดให้ข้าดูดีสักสองสามประโยค
ในโรงเตี๊ยม ในห้องพิเศษ
เย่แจ๋หยิ่งยืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง สายตามองทอดยาวไปไกล นิ้วขาวๆเรียวยาวเคาะขอบหน้าต่างเป็นระยะระยะ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่สุดแล้วมุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้นบางๆ
ในห้องที่คนสองคนที่ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่ หานแสมองดูทิวทัศน์ของท้องฟ้า เดินไปข้างหน้า พูดอย่างสบายใจว่า :
“คนในโลกล้วนพูดว่าอ๋องเย่เป็นมือสังหารกระหายเลือด เย็นชาไร้ความปราณี ไม่กี่วันที่อยู่ด้วยกัน กลับพบว่าไม่เหมือนดังคำล่ำลือ ขนาดทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่ไม่มีอะไรเลยยังต้องตาท่านได้”
เย่แจ๋หยิ่งเปลี่ยนแววตา ในดวงตามีแววความรำคาญเคลือบไว้ และพูดกับทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่ไม่น่าชื่นชมอย่างเย็นชาว่า :
“ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ทิวทัศน์ยังไงก็ได้ ที่จะเข้าตาข้า บางคนที่มีศักยภาพมหาศาล เบื้องหลังลึกลับ สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ ก็ไม่มีความน่าสนใจพอให้ข้ามองเขา
มีบางคน ไม่มีอำนาจไม่มีอิทธิพล เรื่องราวชีวิตน่าสังเวช แต่กลับได้รับความสำคัญจากข้า รู้หรือไม่ว่าทำไม?”
“ไม่รู้!”
สำหรับคำพูดของเย่แจ๋หยิ่ง ดวงตาของหานแสไม่ได้เปลี่ยนผันแต่อย่างใด
“เพราะใจหนึ่งดวง”
เมื่อคำพูดนี้ออกไป หานแสรู้สึกตะลึงเล็กน้อย ใบหน้าแสดงออกถึงความสงสัย : “หัวใจ?”
ต่อหน้าหานแสที่มีความสงสัย เย่แจ๋หยิ่งก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับพูดว่า :
“ล้วนกล่าวกันว่าข้าเป็นคนยากแท้หยั่งถึง ความจริงแล้วก็เพียงแค่คิดและอดทนมากกว่าผู้อื่น แม้ว่าข้างกายจะมีงูพิษที่พร้อมจะแว้งกัดคนทุกเมื่อซ่อนอยู่ ข้าก็สามารถทำให้มันเดินตามทางที่ข้าวางไว้ได้”
พูดจบ เย่แจ๋หยิ่งก็หันไปทางหานแส ดวงตาที่ดูลึกลับและเยือกเย็นไม่สามารถคาดเดาได้นั้นปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มนั้นราวกับจะบอกว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม
รอยยิ้มเช่นนี้ ทำให้ภายในใจของหานแสรู้สึกเย็นเยือกขึ้นมา
ราวกับว่าทุกอย่างที่เขาแสร้งแสดงออกต่อหน้าเย่แจ๋หยิ่งเปรียบดังเช่นตัวตลกเท่านั้น เช่นนี้จึงทำให้ภายในใจของเขาเกิดไฟโทสะขึ้น หมัดที่อยู่ในแขนเสื้อค่อยๆกำแน่นขึ้น
“อ๋องเย่ก็คืออ๋องเย่ เพียงแต่ที่ข้าแปลกใจก็คือ เมื่ออยู่บนเส้นทางที่สูงศักดิ์เช่นนี้ อ๋องเย่วางทางเดินให้พระชายาเย่เช่นไรหรือ?”
หานแสเป็นคนขึ้สงสัยมาตลอด
หลานเยาเยาในใจของเย่แจ๋หยิ่ง แสดงบทบาทอะไรอยู่กันแน่นะ?
ได้ยินดังนั้น!
สีหน้าของเย่แจ๋หยิ่งดูครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วปรากฏแววตาที่ดุดัน พูดอย่างน่ากลัวว่า :
“นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
“ก็ถูก ไม่มีอะไรเกี่ยวกับข้าสักนิด” หานแสไม่ได้พยายามจะทดสอบคนข้างๆเขาที่แสนจะเยือกเย็นทั้งกายและใจผู้นี้อีก จึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“อ๋องเย่โชคดีมากจริงๆ พระชายาเย่ไม่เพียงมีหน้าตาที่สวยงามเป็นที่หลงไหลของคนทั้งเมือง ทั้งยังมีจิตใจดีมีเมตตา นี่เพียงแค่ไม่กี่วันก็เก็บผู้ชายที่บาดเจ็บกลับมารักษาตั้งหลายคน ท่านต้องจัดการบ้างแล้ว”
ที่เก็บผู้ชายกลับมาได้รวดเร็วเช่นนี้ แม้แต่เขาเองก็ยังทนดูไม่ได้
ที่สำคัญก็คือ หากยังเก็บกลับมาอีก เกรงว่าห้องนี้จะไม่สามารถรองรับได้แล้ว จากนิสัยขี้งกของหลานเยาเยา ถึงเวลานั้นคงให้คนอื่นมาเบียดอยู่ห้องเดียวกับเขาแน่ เขาไม่เอาด้วยหรอก
“หลานเยาเยามีจิตใจดังแม่พระมาตลอด เห็นคนเจ็บเป็นไม่ได้ แต่ว่า นางรู้ขอบเขต หลังจากนี้คงจะไม่มีทางใจดีแบบนี้อีกแล้ว” เย่แจ๋หยิ่งมั่นใจในจุดนี้
ถึงอย่างไรเสีย!
เมื่อคืนหลานเยาเยาได้ให้สัญญารับรองกับเขาแล้ว
“อ๋องเย่มีวิธีการสอนภรรยาจริงๆ น่านับถือ!”
“นั่นเป็นธรรมดา” เย่แจ๋หยิ่งเชิดหน้าขึ้นด้วยความภูมิใจ ในส่วนที่หลานเยาเยาว่านอนสอนง่าย ทำให้อิ่มอกอิ่มใจขึ้นมาบ้าง
เพียงเสียงพูดสิ้นสุดลง
ประตูที่ปิดสนิทโดยถูกถีบให้เปิดออก หลานเยาเยามือหนึ่งพยุงเอวไว้ อีกมือหนึ่งลูบหน้าท้อง นำหน้าเขามาก่อน
หลังจากที่หลานเยาเยาเข้ามา ก็มีอีกสองคนที่ตามเข้ามาติดๆ
“มามามา รีบเข้ามา อาฝู เจ้าพยุงโม่ซางเข้าไปหาที่นั่งข้างในก่อน คิดว่าเป็นเหมือนบ้านของตัวเองนะ อีกครู่หนึ่งข้าจะทำการรักษาให้เขา”
อาฝูและโม่ซางรีบกล่าวของคุณ : “ขอบคุณคุณชาย”
เย่แจ๋หยิ่งที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง : “……”
เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูโกรธเคืองของเย่แจ๋หยิ่ง หานแสที่อยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะเอามือปิดหน้าแล้วยิ้ม
ตอนแรกที่หลานเยาเยาเข้ามาในห้องไม่ได้สังเกตเห็นเย่แจ๋หยิ่ง
ไม่ว่าอย่างไร จากเหตุการณ์สองวันก่อนที่ผ่านมา คาดว่าตอนนี้เย่แจ๋หยิ่งคงไม่ได้อยู่ที่ห้อง แม้ว่าจะอยู่ที่ห้อง ก็อาจจะอยู่แต่เพียงห้องรับแขกในห้องของตัวเอง
แต่ทว่า!
ขณะที่นางสังเกตเห็นเย่แจ๋หยิ่ง บรรยากาศความเยือกเย็นในห้องก็สามารถทำให้คนสั่นเทาได้เลย
หลานเยาเยาตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง ร่างกายเหมือนกับกำลังจมน้ำอยู่ก็ไม่ปาน แม้แต่เซลล์ทุกเซลล์ก็แข็งไปหมดแล้ว
“คุณ คุณชาย ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”
อาฝูก็เห็นเย่แจ๋หยิ่งและหานแสที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ทั้งคู่มีรัศมีแรงกล้า มีพลังอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นกำลังกดดันให้พวกเขาแทบจะหายใจไม่ออก
น่ากลัวจริงๆเลย!
“น่าจะไม่มีปัญหา……” มั้ง?
จบกันจบกัน แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะมีเหตุผล และยังตัดสินใจทำก่อนที่จะรายงาน เย่แจ๋หยิ่งรู้แล้วคงจะต้องท่าทีที่ไม่พอใจเป็นแน่
แต่ว่า!
นางช่วยเหลือพวกเขา เพียงเพราะว่าพวกเขารู้จักกับฮัวหยู่อัน
อีกทั้ง พวกเขายังเป็นคนของชนเผ่าหยินไห่ คิดจะเข้าไปที่ชนเผ่าหยินไห่ ก็จำเป็นต้องเข้าใจถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของชนเผ่าหยินไห่ผ่านพวกเขา
เดิมทีนางไม่คิดว่าเย่แจ๋หยิ่งจะอยู่ตรงนี้ ดังนั้นจึงจัดการเตรียมให้อาฝูและโม่ซางเสร็จสรรพ จากนั้นที่ประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมก็ถูกเย่แจ๋หยิ่งสกัดไว้
ใครจะไปคิดถึง แท้จริงแล้วเขาก็ไม่ได้ออกไปไหน
โอ้สวรรค์!
โอ้โลกอันกว้างใหญ่!
ทำไมนางถึงได้ซวยขนาดนี้นะ?
ตอนนี้เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว นางจำต้องรีบอธิบายจะดีกว่า
“นั่น เย่แจ๋หยิ่ง……”
“หึ!” เย่แจ๋หยิ่งทำหน้าตาเย็นชา สะบัดแขนเสื้อแล้วจ้ำเท้าก้าวใหญ่ออกไป
หลานเยาเยาอยากจะตามออกไป แต่ว่าอาการบาดเจ็บของโม่ซางต้องได้รับการรักษา และไม่สามารถที่จะรอช้าได้อีก
ดังนั้น นางจึงมองไปรอบด้าน พบว่าจื่อเฟิงและเซียวจิ่นหยูยังนอนไม่ได้สติ แล้วอาฝูและโม่ซางก็เพิ่งจะมาถึง
คาดว่ามีเพียงหานแสเท่านั้นที่ไม่เกรงกลัวเย่แจ๋หยิ่ง ดังนั้นนางจึงทอดสายตาไปทางเขา
“ไม่งั้น……เจ้าช่วยไปเป็นคนเกลี้ยกล่อมให้ข้าหน่อย?”
หานแสส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า : “แม้แต่ข้าเขายังอยากจะโยนทิ้งออกไป”
“……”
หึ!
ก็ได้!
เรื่องราวก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ช่างเถอะ พึ่งคนอื่นก็ไม่เหมือนกับพึ่งตัวเอง รอให้นางจัดการบาดผลของโม่ซางเรียบร้อย ค่อยไปอธิบายให้เย่แจ๋เข้าใจ
ขณะที่นางจัดการกับบาดแผลของโม่ซางอยู่นั้น หานแสก็ได้กลับไปที่ห้องของตัวเองแล้ว มีเพียงอาฝูผู้เดียวที่คอยเป็นลูกมือให้อยู่อย่างเป็นกังวล
หนึ่งคือนางไม่รู้ว่าวิชาการรักษาของหลานเยาเยาเป็นเช่นไรบ้าง สองคือเป็นห่วงท้องของหลานเยาเยามาก เห็นนางต้องเดินเอามือพยุงเอวอยู่ตลอด คิดว่าอุ้มท้องจะต้องรู้สึกเจ็บปวดไม่สบายตัวเป็นอย่างยิ่งแน่ แล้วเขายุ่งเช่นนี้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น นั่นต้องแย่แน่?
จิตใจของหลานเยาเยาจดจ่ออยู่กับการรักษาในห้อง จะไปรับรู้ถึงความคิดในใจของนางได้ยังไง?
หลังจากที่ อาฝูออกไปเอาน้ำร้อน เพิ่งจะเดินกลับมาถึงห้อง ก็โดนดาบยาวจ่อที่กลางลำคอ
“ปั่ง” เสียงหนึ่ง
น้ำกระเซ็นไปทั่ว พื้นที่โดนน้ำร้อนกระเซ็นโดนเกิดเป็นควันสีขาวขึ้นมา
หลานเยาเยาที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เห็นท่าไม่ดี
คงไม่ใช่เย่แจ๋หยิ่งใจร้อนขึ้นมา จะฆ่าคนหรอกนะ?
เมื่อนางออกมาจากห้องด้วยความเร็วนั้น ฉากที่ได้เห็นก็คือ จื่อเฟิงที่ใบหน้าขาวซีดกำลังถือดาบยาวชี้ไปที่อาฝู
ความจริงคือเขาฟื้นแล้ว
สำหรับการกระทำเช่นนี้ของจื่อเฟิง หลานเยาเยาไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด นั่นก็เพราะ นางก็เคยพบเจอกับการปฏิบัติตัวนี้มาก่อน
เดาว่าตอนนี้เขายังคิดว่าตัวเองยังคงตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นจึงได้มีการระวังตัวไม่ว่ากับผู้ใดก็ตาม
“นี่ เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ดาบก็ยังถือไม่แน่น เจ้ายังคิดจะฆ่าคนอีกหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย จื่อเฟิงก็ได้หันกลับมาทันที ที่เห็นคือหลานเยาเยา เขาถึงได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเก็บดาบทันใด หันไปคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมยกมือขึ้นทำความเคารพนางแล้วกล่าวว่า :
“พระ……”
“ฉู่……” หลานเยาเยาหยุดคำพูดของเขา พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า : “ไม่ว่าอย่างไรก็ฟื้นแล้ว หากว่ามีแรงก็ไปพบเจ้านายของเจ้าเถอะ! เขาอยู่ห้องข้างๆ”
เมื่อได้ยินคำว่าเจ้านายสองคำนั้น แววตาของจื่อเฟิงก็เป็นประกายขึ้นมา จากนั้นยกมือขึ้นเคารพนางอีกครั้ง แล้วก็เดินออกไปทางประตู
หลานเยาเยารีบตะโกนเรียกเขาไว้ : “จื่อเฟิง จำไว้นะว่าต่อหน้าเจ้านายของเจ้าช่วยพูดให้ข้าดูดีสักสองสามประโยคนะ! ไม่ว่าจะพูดยังไง ข้าก็เป็นผู้ช่วยชีวิตเจ้า”
จื่อเฟิงมุมปากกระตุกขึ้นนิดหนึ่ง……