หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 202 หญิงสาวผู้ชม้อยชม้ายชายตา
บทที่ 202 หญิงสาวผู้ชม้อยชม้ายชายตา
เมื่อเห็นว่าเหล่าผู้อาวุโสมีทีท่าไม่ค่อยดี สายตาของพวกเขาต่างจับจ้องไปที่เย่แจ๋หยิ่ง นางจึงหันหน้าไปทางเย่แจ๋หยิ่งในทันที
นางยังไม่ทันได้เห็นท่าทางของเขาอย่างชัดเจน จู่ๆ เขาก็คว้าข้อมือนางโดยไม่บอกไม่กล่าว และดึงนางออกไปอย่างรวดเร็ว
เอ่อ……
เช่นนี้มันจะดีรึ?
โจ่งแจ้งถึงเพียงนี้จะไม่เป็นการดูหมิ่นผู้อาวุโสทั้งสามหรอกรึ?
ก่อนหน้านี้ก็เคยบอกไปแล้ว ว่าต้องทำตัวให้ไม่เป็นที่สนใจ ถ่อมตัวลงหน่อย
แต่ในเพลานี้คือ?
มันทำให้คนอื่นหวาดหวั่นกันไปหมดแล้ว
หานแสเป็นเช่นนี้ เย่แจ๋หยิ่งก็มาเป็นเช่นนี้ไปด้วยอีกคน
หลานเยาเยาขัดขืนอยู่สองสามครั้ง แต่นางก็ไม่สามารถหลุดรอดจากเงื้อมมือของเย่แจ๋หยิ่งได้ สุดท้ายนางก็ถูกอุ้มเหมือนลูกไก่ไปโดยปริยาย จนกระทั่งพบว่ามีคนข้างหน้า เขาก็ได้ปล่อยนางลง พลางปัดไม้ปัดมืออย่างรังเกียจ
ผู้อาวุโสทั้งสามเฝ้าดูพวกเขาที่ไกลออกไป มองตามหลังของพวกเขาไปแบบนั้นด้วยท่าทางที่ต่างกันไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด หนึ่งในพวกเขาก็พูดขึ้นว่า:
“ดูเหมือนจะต้องเร่งดำเนินแผนการเสียแล้ว”
อีกสองคนก็จับเคราแพะที่มีความยาวต่างกันพลางพยักหน้าเห็นด้วย
ทางพวกหลานเยาเยานั้น ยังไม่ทันไปถึงที่พำนักของฮัวหยู่อัน ก็ได้พบกับหญิงสาวผู้แต่งตัวโอ่อ่างดงาม กำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่ผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่ง
นางเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้สีชมพูเล็กๆนั่น แต่เหมือนว่าต้นไม้จะสูงเกินไป เอื้อมยังไงก็เอื้อมไม่ถึง
หลังจากได้เห็นว่าพวกเขาเดินมา ก็อดไม่ได้ที่จะจับเอวส่ายไปส่ายมาอย่างสวยงาม ซึ่งดูพลิ้วไหวเปราะบางจนมิอาจต้านทานสายลม พร้อมทอดสายตามองมาทางพวกเขาราวกับว่ามองมาเฉยๆไม่ได้มีอะไร
จะพูดให้ถูกก็คือ มองมาทางเย่แจ๋หยิ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้!
ดวงตาของหลานเยาเยาก็สว่างวาบ แต่แล้วก็กลับมามืดมนอีกครั้ง
แม้ว่านางก็รู้สึกเหมือนกันว่าเย่แจ๋หยิ่งเกิดมาด้วยรูปโฉมอันงดงาม แต่ความโหดร้ายก็ไม่แพ้ความหล่อเหลาเลยแม้แต่น้อย แต่ว่า ตัวนางเองก็แต่งกายเป็นชายเหมือนกัน!
มันก็ไม่ได้ดูต่างจากเขาเสียเท่าไหร่……กระมัง
ทว่า เหตุใดหญิงสาวที่กำลังชม้อยชม้ายชายตาคนนั้น ไม่แม้แต่จะมองนางเลยล่ะ? ทั้งๆที่ตอนนี้นางเองก็เป็นหญิงสาวที่ดูหล่อเหลาเอาการอยู่เหมือนกัน?
จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นกับเย่แจ๋หยิ่ง: “เรื่องรักเรื่องใครของเจ้าบานสะพรั่งแล้ว แล้วเมื่อใดรักของข้าจักเบ่งบานบ้าง!”
ผู้ใดจะรู้ได้ว่า จู่ๆเย่แจ๋หยิ่งจะหยุดเดิน และหันมาสบตากับนาง พร้อมทั้งแสดงสีหน้าที่มิอาจเข้าใจได้
“สิ่งที่เจ้าควรเป็นกังวลคือ วิธีถอนรากถอนโคนความรักในความลับนี้ต่างหาก”
เอ่อ?
ความรักในความลับงั้นรึ?
จากเรื่องความรักเบ่งบานอันละเอียดอ่อนก็ตามด้วยความรักในความลับไปเสีย เขาเลี่ยงหญิงสาวคนอื่นมากถึงเพียงนี้เชียวรึ?
เห็นอยู่แจ่มแจ้งว่าหญิงสาวที่เก็บดอกไม้นั้นก็ไม่แย่ นึกไม่ถึงเลยว่าว่ามาตรฐานของเขา จะสูงลิบลิ่วถึงเพียงนี้!
แต่นี่หาใช่ประเด็นไม่
ประเด็นก็คือเหตุใดนางจะต้องถอนรากถอนโคนด้วยล่ะ?
“ข้าหาได้หึงหวงปานนั้นไม่” หญิงสาวที่เก็บดอกไม้ไม่ได้ทำให้นางพะวงเลยแม้แต่น้อย เหตุใดนางจึงต้องไปขุดไปถอนกันล่ะ?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่แจ๋หยิ่งก็เลิกคิ้วขึ้น ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อพูดในลักษณะนั้นจะมีเพียงแค่หลานเยาเยาเท่านั้นที่จะได้ยิน:
“นั่นก็เป็นเพราะข้าทำให้เจ้าสบายใจ”
ฉึบ!
น้ำเสียงนั่นเหมือนว่ากำลังให้ทานยังไงยังงั้น
หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะเม้มปาก และตอกกลับไปอย่างไม่เห็นด้วย: “ไม่ใช่เพราะข้านั้นงดงามหรอกรึ? มั่นใจมากว่า นั่นมันทำให้ข้ามัดใจเจ้ามาได้ตั้งนมนาน”
หลานเยาเยาพูดยอตัวเองอย่างมั่นใจ ในแววตาของเย่แจ๋หยิ่งก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น จากนั้นก็เอื้อมมือไปลูบผมอันเงางามของนาง
“เจ้าเนี้ย……”
“ข้าทำไม?”
“เจ้ายอดเยี่ยมมาก”
“ของมันแน่อยู่แล้ว” พวกเขาทั้งสองโต้เถียงกันไปโต้เถียงกันมา ไม่ได้แยแสหญิงสาวผู้เก็บดอกไม้ด้านข้างที่เดินผ่านมาเลยแม้แต่น้อย
“เอ่เอ่เอ่……”
หญิงสาวผู้เก็บดอกไม้มองตามท่านชายหล่อทั้งสอง แต่หาได้มีผู้ใดมองมาทางนางไม่ นางใส่อารมณ์ด้วยการกระทืบเท้า และรีบเดินตามมา ขณะที่เดินมาเคียงบ่าของพวกเขา มือของนางก็แตะที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา หลังจากนั้นก็ดูเหมือนไม่ค่อยสบาย แล้วจู่ๆเย่แจ๋หยิ่งก็เหมือนจะล้มลง
คงไม่ต้องพูดหรอก ก็นางอยู่ห่างเย่แจ๋หยิ่งเพียงแค่สามก้าว จะพูดก็คือจู่ๆเย่แจ๋หยิ่งก็ปล่อยพื้นที่ว่างด้านขวาไว้ และย้ายมาอยู่ด้านซ้ายของหลานเยาเยาแทน ซึ่งนี่ก็พอจะอธิบายได้ว่าท่านอ๋องผู้มาตรฐานสูงกำลังปฏิบัติต่อนางเหมือนดั่งอากาศ
เสียง “ตุ๊บ” นางก็ได้ไปทักทายกับพื้นโลกเสียแล้ว
“ไอ่โย๋! เจ็บมากๆเลย”
ในขณะที่นางกำลังจะลุกขึ้น ก็อยากจะอ้าปากร้องเรียกด้วยความนุ่มนวล แต่แล้วนางก็ได้ยินบทสนทนาของสองหนุ่มรูปงามด้านหน้า:
“เหมือนจะมีคนล้ม เจ้าไม่ไปช่วยหน่อยรึ?”
“หากหมูชนต้นไม้ตาย เจ้าจะไปช่วยมันรึ?”
“……”
จากนั้นทั้งสองก็เดินต่อไปเรื่อยๆ มือที่อยากจะยกขึ้นมาของหญิงสาวผู้เก็บดอกไม้ ก็จำต้องวางลงอย่างไม่พอใจ
“หึ! เมื่อข้าชอบผู้ใด ก็ไม่มีทางหลุดมือข้าไปได้หรอก” นางกระทืบเท้าอีกครั้งพลางแอบเดินตามไป
เมื่อหลานเยาเยามาถึงที่พำนักของฮัวหยู่อัน ก็ได้เห็นฮัวหยู่อันผลักไสผู้คนที่รุมล้อมอยู่ให้ออกไป
“พวกเจ้าจงออกไปให้หมด ออกไปกันให้หมด” ดวงตาสีเข้มของฮัวหยู่อันมีอาการบวมช้ำจากการร้องไห้ พร้อมด้วยเสียงที่แหบแห้ง แต่น้ำตาก็ยังคงไหลรินออกมาไม่ขาดสาย
หลังจากนั้นไม่ว่าคนข้างนอกจะทุบประตูหรือทำสิ่งใด จะปลอบโยนเช่นไร ก็ไร้ซึ่งประโยชน์ จะเป็นเช่นไรก็บอกว่าไม่เปิดประตูก็คือไม่เปิด
หลานเยาเยากระแอมเบาๆ และพูดเสียงดังกับคนด้านนอกว่า:
“เพลานี้นายของพวกเจ้าตกอยู่ในอารมณ์ที่ย่ำแย่เป็นอย่างมาก และในช่วงเวลาทำใจเช่นนี้ จำต้องพักผ่อนเสียหน่อย การที่พวกเจ้าโหวกเหวกโวยวายกั้นทางเข้าอยู่เช่นนี้ ก็มีแต่จะทำให้นางหดหู่มากยิ่งขึ้น”
ทุกๆคนต่างหันหน้ามามองนาง และรู้สึกไม่คุ้นเคยกับนาง ไม่ใช่คนในชนเผ่า อีกทั้งการพูดการจาก็ไม่ค่อยเกรงอกเกรงใจ
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน? เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาบอกว่าพวกข้านั้นรบกวนคุณหนู? หรือว่าการใส่ใจคุณหนูเป็นเรื่องที่ผิด?”
“ใช่! เจ้านั้นก็ดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อย แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นพวกอ่อนต่อโลก เจ้าเป็นเพียงชายผู้หนึ่งจะไปเข้าใจจิตใจของหญิงสาวได้อย่างไรกัน? รีบไปเสีย พวกข้าไม่ต้อนรับคนแปลกหน้า”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น คุณหนูเพิ่งจะกลับมาในวันนี้ พวกข้าไม่อยากจะใส่ใจพวกเจ้า หากยังไม่ไปอีกพวกข้าคงต้องลงไม้ลงมือ”
“……”
หลังจากนั้นก็มีคนสองสามคนเริ่มเตรียมตัว คนด้านหลังพูดก็ขึ้นมาว่างั้นก็จะไม่เกรงใจแล้ว บางคนแม้แต่ไม้กวาดก็ยังจะเอามาไล่คน
มองดูพวกเขาที่มีมารยาททรามๆ ปากร้ายเหมือนคนไร้อารยธรรม หลานเยาเยาหาได้พูดโต้ตอบสิ่งใดไม่ แต่เลือกที่จะเอามือทั้งสองข้างกอดอกไว้ และให้พวกเขาพูดให้จบ
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากต่อปากต่อคำกับพวกเขา นางก็จะเป็นคนปากร้ายเหมือนกับพวกเขา
งั้นจะทำไปด้วยเหตุใดกัน?
ตัวนางก็เป็นผู้มีอารยธรรม
และในทันใดนั้น
เสียงที่แสนอ่อนหวานก็ดังขึ้น: “หยุด! พวกเขาเป็นเพื่อนที่น้องหยู่อันพามาเป็นแขก พวกเราจักต้องปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี มิควรพูดสิ่งใดเช่นนั้น”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทุกคนก็สงบลงในทันที พลางหันไปทางต้นตอของเสียง หลังจากได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของคนผู้นั้น ก็ปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพ
หลานเยาเยามองไปตามที่มาของเสียง
โอ้!
นี่ไม่ใช่หญิงสาวที่ชม้อยชม้ายชายตาตอนเก็บดอกไม้เมื่อครู่หรอกรึ?
“ซิ่วซิ่ว แต่เมื่อครู่เขาบอกว่าพวกเราเสียงดังรบกวนคุณหนู” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น
“ในเพลานี้น้องหยู่อันกำลังทุกข์ใจ จะอย่างไรเสียอาฝูและโม่ซางก็เป็นเพื่อนรักที่ดีที่สุดของนาง อยู่ๆพวกเขาก็มาจากไป จะอยู่เงียบๆทบทวนความหลังถึงพวกเขาก็ไม่แปลก เราควรจะให้เวลาส่วนตัวกับนาง”
ซิ่วซิ่วหญิงเก็บดอกไม้บอกกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะสามารถ ขณะเดินเข้ามาก็พยายามส่ายทรวดทรงองเอว เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน โดยเฉพาะเย่แจ๋หยิ่งที่นางชื่นชอบ
ช่างน่าสงสาร…