หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 242 คนรักที่ทรยศ
บทที่ 242 คนรักที่ทรยศ
หลานเยาเยาก็ยังอยากจะแทะน่องไก่ต่อ ตาแก่เองก็โมโหมากจนไปแย่งน่องไก่มา
แต่คิดไม่ถึงว่า หลานเยาเยาจะเบี่ยงหลบ แล้วยังเอาน่องไก่ไปกอดไว้ พร้อมมองมาที่เขาอย่างหวาดระแวง ด้วยสายตาที่พูดว่า
จะทำสิ่งใด? จะแย่งน่องไก่เรอะ?
“ท่านๆๆ ท่านทำให้ข้าโกรธมากแล้วนะ”
เมื่อเห็นเช่นนี้!
หลานเยาเยาก็รีบกัดน่องไก่อีกคำ จากนั้นก็เอาน่องไก่ไปไว้ด้านหลัง แล้วเดินไปทางตาแก่ จากนั้นก็ยื่นมือที่มันเยิ้มไปแอบเช็ดที่หลังของเขาอย่างแนบเนียน
“ไม่โกรธนะๆ ไปๆๆ เราเข้าไปพักข้างในห้องกันก่อน”
“หึ!”
ยังจะเข้าไปในห้องอีกรึ?
เขาจะให้นางไปดูรถม้าที่ปรับโฉมเสร็จแล้ว แต่นางดันไม่สนใจในผลงานของเขาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อรู้สึกว่าผลงานของเขามันไม่ได้สำคัญไปกว่าไก่น่องนึง จู่ๆในใจก็ถูกแทงนับหมื่นครั้ง
หลานเยาเยาเห็นว่าเขาไม่เต็มใจที่จะเข้าไป
ทั้งยังจ้องมองนางอย่างโกรธเคือง นางก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
“จื่อซี จื่อเฟิง”
“ฟิ้วๆ……”
จื่อซีและจื่อเฟิงลอยตัวลงมาในทันใด หลังเห็นหลานเยาเยาที่ส่งซิกให้ พวกเขาก็รู้งานในทันที รีบเข้าไปจับตาแก่ไว้ แล้วพาเข้าไปในบ้านไม้ไผ่น้อย
“เจ้าสำนัก ท่านคิดจะทำการใด? ข้าไม่ไว้ใจท่าน ท่านยังไม่ได้ไปตรวจดูรถม้าเลย! เหตุใดจึงคิดว่ามันไม่ได้เรื่อง? ใยท่านไม่ไปดูให้แน่ใจก่อน!”
ตาแก่ประหม่าเล็กน้อย
เพราะว่าหลานเยาเยาไม่เคยจะมีขื่อมีแป เมื่อไม่พอใจก็จะหาเรื่องต่างๆนาๆทุกวิถีทางมารังแกเขาจนได้
ผู้ใดจะรู้ได้…
ว่าหลานเยาเยามิแม้แต่จะมองมาทางเขา
กินน่องไก่ต่อขณะที่เดินไปทางรถม้าที่ผ่านการปรับโฉม ด้วยสีหน้าท่าทางที่มิอาจหยั่งรู้ได้
เมื่อเข้าไปในบ้านไม้ไผ่น้อยแล้ว ตาแก่ก็ถูกกดดันให้อยู่ในบ้านไม้ไผ่นั้น
ฝั่งตรงข้ามเขาเป็นโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหารชั้นเลิศ ทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ ผลไม้ติ่มซำ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ
“นี่……นี่ นี่ ให้ตายเถอะยัยเจ้าสำนักคนนี้นี่……ก็ยังมีเมตตาอยู่บ้างสินะ”
หากไม่ได้เห็นอาหารเหล่านี้ เขาก็คงไม่รู้ว่าตัวเองหิวโหยขนาดไหน เมื่อได้เห็นอาหารเหล่านี้ เขายิ่งเห็นก็ยิ่งหิว
ดังนั้น!
เขาจึงกลืนน้ำลายไปหลายอึก แล้วก็ถามขึ้นว่า:
“แล้วเจ้าสำนักล่ะ? เหตุใดนางถึงไม่มากินด้วยกัน?”
“คุณหนูบอกว่า ท่านทำงานอย่างบากบั่นมาหลายวัน นี่เป็นรางวัลตอบแทนแก่ท่าน ให้ท่านค่อยๆกิน ส่วนนางจะไปดูรถม้าก่อนน่ะขอรับ!” จื่อซีตอบกลับด้วยความอึดอัดใจ
คุณหนูรักการกินเป็นชีวิตจิตใจ
อาหารรสเลิศที่นางปรุงขึ้นมา ไม่เคยเห็นจะกินร่วมกันกับใคร หากพวกเขาทั้งสองคนมากินด้วยกันละก็ จะไม่ตีกันแทนฤา?
“อืม มีน้ำใจเสียจริง”
ตาแก่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็กินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก!
ตาแก่ก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล
อดไม่ได้ที่จะถามว่า: “ช้าก่อน เจ้าบอกว่าเจ้าสำนักไปดูรถม้าเองงั้นรึ?”
“ขอรับ”
“แย่ล่ะ!”
ตาแก่โยนตะเกียบทิ้ง เพิ่งจะลุกขึ้น ยังไม่ทันได้วิ่งออกไป
ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหลานเยาเยาดังขึ้นจากที่ใกล้ๆ
“กรี๊ด……”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น!
จื่อซีกับจื่อเฟิงก็สั่นระรัว หายตัวไปจากบ้านไม้ไผ่น้อยในพริบตา พร้อมมุ่งหน้าไปทางรถม้าในทันที
รถม้าที่ผ่านการปรับโฉม ทั้งกว้างขวางและแข็งแรงทนทาน ได้รับการสลักด้วยลวดลายที่มีชีวิตชีวา โดยรอบของรถม้าถูกตกแต่งด้วยผ้าโปร่งแสงสีแดงสด ดูหรูหราโอ่อ่า ทั้งยังไม่เสียความโอหังไป
พวกเขาทั้งสองไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะชื่นชมเลยแม้แต่น้อย
ดึงผ้าคลุมสีแดงออก
ข้างในมิมีผู้ใด ที่นั่งถูกยกขึ้น ด้านบนของรถม้ามีหน้าต่างสี่เหลี่ยมบานใหญ่
จื่อซีรีบเข้าไปดูในรถม้าทันที มองผ่านหน้าต่างสี่เหลี่ยมบานใหญ่ ก็ได้เห็นเงาสีแดงของคนห้อยลงมาจากยอดไผ่อันเขียวชะอุ่ม
อีกทั้งจื่อเฟิงก็ได้เหาะขึ้นไปอุ้มองค์หญิงหลานเยาเยาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็ค่อยๆเหาะลงมา
หลังถึงพื้นดิน ความสงสัยก็ปรากฏขึ้นในแววตาของจื่อเฟิง
เหตุใดคุณหนูถึงมีท่าทีเช่นนี้?
“คุณหนู?”
หลานเยาเยาที่หลับตาอยู่ ก็เผยรอยยิ้มตรงมุมปาก
“ไม่ต้องสนใจข้า ปล่อยให้ข้าได้ยิ้มไปสักพัก”
เมื่อครู่ที่เห็นรถม้า นางตกตะลึงในความงดงามของรถม้าที่ผ่านการปรับโฉมเข้าอย่างจัง การตกแต่งภายในก็ถูกใจนางเสียยิ่งกว่าเก่า
แต่แล้วก็ถูกดีดออกมา……
เป็นความตกใจที่มิอาจคาดคิด!
แต่อย่างไรก็ถูกใจนางอยู่ดี
ขณะที่ตกอยู่ในภวังค์อันงดงาม จู่ๆนางก็รู้สึกถึงตัวเองที่กลิ้งกระเด็นกระดอนไปตามพื้นดั่งก้อนหิน
“ตุ๊บ……”
“……”
หลานเยาเยามึนงงขึ้นมาในทันใด
ข้าเป็นใคร?
ข้าอยู่ที่แห่งใด?
ข้ากำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่?
เหตุใดสุดท้ายแล้วนางถึงตกลงมาบนพื้น? ใยจื่อเฟิงถึงได้ปล่อยนางลงมา?
จื่อซีที่ออกมาจากรถม้า ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วรีบถามว่า: “จื่อเฟิง เจ้าทำสิ่งใดลงไป?”
จื่อเฟิงผู้ไร้เดียงสา เขาก็ยังไม่รู้ตัวอีก จึงได้พูดออกมาว่า: “ก็คุณหนูบอกให้ข้าไม่ต้องสนนาง”
ดังนั้น เขาก็เลยไม่สนใจนางน่ะสิ!
เขาแค่ทำตามคำสั่ง ก็ไม่เห็นผิดอะไรนี่
แต่ว่า……
เหตุใดคุณหนูถึงมีท่าทีอันแค้นเคือง จื่อซีก็มีท่าทางที่โหดร้ายด้วยเหมือนกันล่ะ?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น!
หลานเยาเยาก็ดันเอวขึ้นด้วยใบหน้าอันขมขื่น เมื่อลุกขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ก็เลี่ยงจื่อเฟิงแล้วเอนร่างไปทางจื่อซี
“เจ้าพาข้าเข้าไปนั่งพักในห้องหน่อย!” นางค่อยๆเป็นค่อยๆไปอย่างเชื่องช้า
หลังรถม้าปรับโฉมเป็นที่เรียบร้อย
หลานเยาเยาก็ได้พาคนสองสามคนปลอมตัวมายังประตูใหญ่ หลังผ่านพ้นไปหนึ่งวัน ก็ให้คนปล่อยข่าว ว่านางจะเข้าเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้
เมื่อปล่อยข่าวออกไป!
ทั้งเมืองหลวงก็คึกคัก
ฮ่องเต้เองก็ยินดีปรีดาเป็นอย่างมาก
แต่เดิมที่จัดเตรียมการมาอย่างเนิ่นนาน ในการต้อนรับเทพธิดา เพลานี้ก็ได้รู้ช่วงเวลาที่แน่ชัดแล้ว เพื่อแสดงบรรยากาศของครอบครัวราชวงศ์อันทรงด้วยบุญบารมี
ฮ่องเต้จึงมีคำสั่งให้รัชทายาทไปต้อนรับ เดิมทีพระองค์อยากจะให้ราชครูไปต้อนรับด้วย
แต่ราชครูก็ไม่อยู่
ส่วนอ๋องเย่น่ะรึ!
ไม่ต้องพูดไปถึงเรื่องที่เขายังไม่ได้กลับมายังเมืองหลวง ต่อให้อยู่ในเมืองหลวง พระองค์ก็ไม่ให้เขาไปต้อนรับอยู่ดี
ในท้ายที่สุด!
อ๋องเย่ผู้ทรงอำนาจ ก็ทำให้พระองค์หวาดหวั่นเป็นอย่างมาก นั่นก็เพราะ ความหล่อวัวตายควายล้มของเขา มันบั่นทอนความภาคภูมิใจในตัวรัชทายาทของพระองค์
ได้ยินมาว่า
เทพธิดาเป็นหญิงที่งดงามหยาดเยิ้ม และยังสาวอีกด้วย
หากให้อ๋องเย่ไปต้อนรับละก็ เมื่อเทพธิดาได้เห็น……
นั่นมันก็จะได้ไม่คุ้มเสีย!
เช่นนั้น ก็ให้รัชทายาทของพระองค์ไปรับเองเลยดีกว่า หากเข้าตาเทพธิดาขึ้นมาล่ะก็?
เวลาแห่งการต้อนรับก็มาถึง
รัชทายาทเย่หลีเฉินนำขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งไปรออยู่ด้านนอกประตูวัง
ถึงแม้ว่าจะเร็วเกินไป แต่ว่าตะวันก็เฉิดฉายมาหลายชั่วยามแล้ว
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ไร้ซึ่งหมอกในยามเช้า
เหล่าชาวบ้านทั้งหลาย ต่างก็อยากเห็นรูปลักษณ์ของเทพธิดาด้วยตาตัวเอง ยังไม่ทันย่ำรุ่ง ก็มารอกันอยู่ที่ประตูแล้ว
บนท้องถนนที่มักจะครึกครื้น ไม่มีแม้แต่เสียงเร่ขายของพ่อค้าแม่ค้า ทั้งยังไม่มีคนเดินกันอย่างควักไขว่
แต่ว่า……
จำนวนคนกลับมากกว่าวันปกติเป็นหลายเท่าตัว พวกเขาทั้งหลายต่างอยู่ ณ ประตูทางเข้าวัง ด้วยสายตาที่จดจ่ออยู่กับประตูทางเข้าวัง ไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตา เพราะเกรงว่าจะพลาดสิ่งใดไป
เหล่าทหารที่ได้จัดระเบียบอยู่นาน ก็เรียงแถวกันมาบนถนน
ทันใดนั้น!
ก็มีคนคนหนึ่งตะโกนดังลั่น: “พวกเจ้าดู มีหมอกมาแล้ว”
“ว้าว เหตุใดจู่ๆถึงมีหมอกกันล่ะเนี้ย? แถมยังมีอยู่แค่ทางประตูเข้าวังตรงนั้นด้วย”
“เทพธิดาแน่ๆ ต้องเป็นเพราะเทพธิดาจะปรากฏกายแล้วแน่ๆ”
ในขณะนี้!
ทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้น
เย่หลีเฉินที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่มองไปยังที่ที่ปกคลุมด้วยหมอก โดยมิได้มีความรู้สึกพิเศษอันใด
ผู้คนต่างพูดกันว่าเทพธิดานั้นงดงามเหลือล้น!
ซึ่งเขาไม่เชื่อ
ในใจเขาคิดเพียงแต่ว่า ต่อให้เทพธิดางดงามถึงเพียงใด ก็ไม่มีทางทำให้เขาหวั่นไหวได้เหมือนความงามของหลานเยาเยาอย่างแน่นอน
น่าเสียดาย……
ที่เคยปล่อยให้ความรังเกียจ มาทำให้เขาเกลียดชัง มาทำให้เขายังวกวนอยู่กับหลานเยาเยา
แต่เสด็จอาดูเหมือนจะลืมนางได้อย่างรวดเร็ว
เขาเคยพูดชื่อหลานเยาเยาต่อหน้าเขาอยู่ครั้งหนึ่ง แต่เขากลับถามว่า หลานเยาเยาเป็นผู้ใด?
ซึ่งมันก็ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ดูเหมือนว่าเสด็จอาจะมีความหลังอันลึกซึ้ง และเหมือนจะเป็นคนที่ทรยศในความสัมพันธ์อีกด้วย……