หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 251 กระอักเลือดอีกแล้ว
บทที่ 251 กระอักเลือดอีกแล้ว
“ของของเจ้า? เหอะ! บนโลกใบนี้มีมุกเย่หมิงเพียงแค่เม็ดเดียวหรือไง?”
พูดจบ หลานเยาเยาก็คิดที่ผละออกจากมือของเย่แจ๋หยิ่ง แต่จนปัญญาเย่แจ๋หยิ่งแรงมากเกินไป นางจะดิ้นเช่นไรก็ไม่หลุด
“แม้ว่าโลกนี้จะมีมุกเย่หมิงเป็นหมื่นเป็นพัน แต่เม็ดนั้นที่เป็นข้า ข้าต้องจำได้เป็นธรรมดา” ในทางกลับกัน ดวงตาของเขาหรี่ลง
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ใบหน้าที่ดำดั่งหมึกของเย่แจ๋หยิ่ง น้ำเสียงเย็นยะเยือก
“ชิ! ข้าเป็นใครเกี่ยวอะไรกับท่าน แล้วก็ ขอร้องท่านอย่าขี้ลืมจนเกินไป มุกเย่หมิงเม็ดนี้ไม่ใช่ของท่านตั้งนานแล้ว”
คนอะไรกัน!
ทำไมเขาถึงไม่ถามตัวเขาเอง ของของตัวเองทำไมถึงหายไปได้?
แต่ทว่า……
เย่แจ๋หยิ่งไม่เชื่อคำพูดของนางแม้แต่น้อย แรงที่จับมือนางไว้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
“รีบปล่อยข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะตะโกนว่าลวนลาม”
ยังไงซะตอนนี้นางก็ปิดหน้าอยู่ ใส่ชุดยามราตรี แม้ว่าจะถูกคนอื่นพบเห็นก็จำนางไม่ได้
แต่เย่แจ๋หยิ่งไม่เหมือนกัน
เขาใส่ชุดเสื้อคลุมยาวสีดำทั้งตัว เพียงแค่มีแสงสว่างนิดหน่อย แค่แวบเดียวก็สามารถมองออกว่าเขาเป็นใครแล้ว
“เจ้ากล้าข่มขู่ข้า?”
สีหน้าของเขาเคร่งขรึมอีกครั้ง น้ำเสียงแฝงไปด้วยแรงสังหาร
เหอะ!
คนคนนี้ยังเป็นเหมือนเดิมจริงๆ
กระหายเลือดเป็นชีวิต ป่าเถื่อนบ้าอำนาจ ไม่ทันไรก็คิดจะฆ่าคน
แต่ว่า หลานเยาเยายิ้มมุมปาก พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “ข้าข่มขู่ท่านแล้วจะเป็นเช่นไร? แน่จริงท่านก็ฆ่าข้าสิ!”
แม้ว่าในเวลานี้ไม่ควรจะใช้ความแข็งชนความแข็ง แต่หลานเยาเยาก็เกลียดท่าทีเช่นนี้ของเขา
ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะพูดเพิ่มไปอีกหนึ่งประโยค
แต่ว่า……
พูดจบนางก็รู้สึกเสียใจ
ท่าทีของนางในตอนนี้ เย่แจ๋หยิ่งจำนางไม่ได้แล้ว นางจะมีอะไรให้โมโหอีก
เช่นนี้กลับจะทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นมา
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้า?”
เย่แจ๋หยิ่งรู้สึกถึงว่า อำนาจของตัวเองกำลังโดนท้าทาย
ก็แค่โจรสาวที่แอบสังเกตการณ์ตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์คนหนึ่งไม่ใช่หรือไง?
คิดไม่ถึงว่าจะกล้าอวดดีต่อหน้าเขา ชั่งไม่รู้จักความเป็นความตายจริงๆ!
เขาเกิดแรงสังหารขึ้นมาในทันที
จากนั้นก็จับไปที่คอของหลานเยาเยาที่ใส่ชุดยามราตรีทันที เมื่อออกแรง ในสมองของเขาก็ปรากฏภาพภาพหนึ่งออกมากะทันหัน
ข้างหุบเหวแห่งหนึ่ง……
ทะเลดอกไม้สีแดงแห่งหนึ่ง……
เขาบีบคอผู้หญิงคนหนึ่งไว้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่ว่าจะมองเช่นไรเขาก็มองหน้าหญิงผู้นั้นไม่ชัด……
แต่ว่า!
หัวใจของเขากลับเจ็บปวดมาก เจ็บปวดมาก……
เย่แจ๋หยิ่งตกตะลึง ทันใดนั้นก็ปล่อยคอของนางพร้อมสีหน้าที่แสดงออกถึงความทุกข์ทรมาน จากนั้นก็มองไปที่มือของตัวเอง แล้วถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?”
ทำไมขณะที่บีบคอนางนั้น หัวใจเขาก็เหมือนกับถูกมีดกรีด?
หลานเยาเยามองดูเย่แจ๋หยิ่งที่เมื่อครู่คิดจะฆ่านางแล้วอีกครู่หนึ่งก็มีสีหน้าที่ทุกข์ทรมาน ในใจเกิดความสงสัย
ยังไม่ทันรอให้นางได้ลงมือ
วินาทีต่อมา นางก็เห็นมุมปากของเย่แจ๋หยิ่งมีรอยเลือดไหลล้นออกมา
เอ่อ……
กระอักเลือดอีกแล้ว……
นี่เป็นครั้งที่สองที่เจอเขาหลังจากสามปีก่อน และเป็นครั้งที่สองแล้วที่เห็นเขากระอักเลือด
คงไม่ใช่ว่าเป็นโรคอะไรที่รักษาไม่หายหรอกนะ?
อย่างที่คิด คนชั่วจะถูกสวรรค์จัดการเอง
หลานเยาเยาเอาระเบิดแสงที่อยู่ในแขนเสื้อ และมุกเย่หมิงที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งเก็บกลับเข้าไปในระบบ จากนั้นก็คิดจากปลีกตัวจากไป
แต่ว่า……
แขนกลับถูกฝ่ามือที่แข็งแกร่งและมีแรงเยอะจับไว้ จากนั้นก็ถูกเย่แจ๋หยิ่งดันไว้กับต้นไม้
ทันใดนั้น ก็ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆอยู่ที่ปลายจมูก……
ไม่มีแสงสว่างจากมุกเย่หมิง
ตอนนี้นางจึงมองเห็นสีหน้าของเย่แจ๋หยิ่งไม่ค่อยชัดเจน เพียงสังเกตได้ว่าการหายใจของเขาค่อนข้างไม่คงที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง!
ในขณะที่นางกำลังไตร่ตรองอยู่ เขาก็ได้ลงมือ
และนางในขณะที่เย่แจ๋หยิ่งลงมือในพริบตานั้น ก็ได้เอาระเบิดแสงออกมาจากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บใหม่อีกครั้ง และโยนไปที่พื้น
แต่ว่า……
นางก็ยังรู้สึกได้ถึงสีหน้าที่ตกตะลึง ในขณะเดียวกัน ผ้าสีดำที่ปิดหน้าไว้ก็ถูกเอาออกไปแล้ว……
เพราะว่ามีการเตรียมตัวมาก่อน
หลานเยาเยาจึงได้ปิดตาลงก่อน รอจนให้ระเบิดแสงทำงานแล้ว
เมื่อนางลืมตาขึ้นมา ก็เห็นเย่แจ๋หยิ่งใช้แขนปิดบังตาเอาไว้ น่าจะเป็นการตาบอดชั่วคราว แต่อีกมือข้างหนึ่งยังคงจับแขนนางเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
หลานเยาเยาจึงตัดสินใจ
เมื่อยื่นมือ กลางฝ่ามือก็ปรากฏมีดสั้นด้ามหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็ปาดไปที่มือใหญ่ๆที่จับนางเอาไว้
“ฉึก……”
เมื่อมีดสั้นปาดผ่านไป เย่แจ๋หยิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย คลายมือออกด้วยสัญชาตญาณ
หลานเยาเยาก็ใช้โอกาสนี้ ผละออกจากมือของเขาทันที จากนั้นก็หายตัวจากไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่
เย่แจ๋หยิ่งค่อยๆเอามือที่บังตาลง หลังจากพบว่ามองเห็นสิ่งต่างๆแล้ว เขาจึงมองดูรอยบาดแผลที่มือแวบนึง
จากนั้นก็เคลื่อนสายตาไปยังมืออีกข้างหนึ่ง
พูดให้ถูก คือดูผ้าสีดำในมือ ริมฝีปากบางๆที่ปิดสนิทค่อยๆเปิดขึ้น :
“เป็นนาง?”
แม้ว่าจะมองเห็นหน้านางไม่ชัดเจน แต่กลับมองเห็นว่าบนหน้าของนางเหมือนกับมีรอยรูปของดอกไม้อยู่……
……
หลานเยาเยาที่เพิ่งข้ามมานอกกำแพงวัง เมื่อถึงพื้นก็เห็นเงาร่างคนสองคนเหาะลงมา
หลานเยาเยาคลายคิ้วลง มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ
ไม่ต้องดูให้ละเอียดนางก็รู้ว่าเป็นจื่อซีและจื่อเฟิง
พวกเขาทั้งสองคนหน่ะ!
ก็เหมือนสาวใช้แก่สองคน ถนอมนางไว้ในฝ่ามือก็กลัวแตก อมไว้ในปากก็กลัวละลาย มองไว้ในสายตาก็กลัวหาย
กล่าวโดยรวม!
ตรงไหนๆก็ไม่ไว้วางใจเป็นห่วงไปซะหมด
นี่ไง เมื่อมาถึงหน้านาง ก็มองไปรอบๆสังเกตอย่างละเอียดว่ามีเรื่องอะไรหรือไม่
จื่อเฟิงยังดี แม้ว่าจะเป็นห่วง แต่ก็เพียงแค่สังเกตพินิจด้วยสายตา
แต่จื่อซีไม่เหมือนกันแล้ว
วนรอบตัวนางหลายรอบ หลังจากที่มั่นใจแล้วว่านางไม่เป็นไรจริงๆ
ถึงได้เอาสายตามาไว้บนตัวนาง แล้วถึงได้ทำมือเคารพสอบถามด้วยความสงสัย :
“เจ้านาย บนหน้าท่าน……”
“ที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน ไปเถอะ!”
ได้ยินคำพูดนี้ของนาง จื่อซีก็ไม่พูดอะไรอีก จากนั้นพวกเขาทั้งสามก็กลับจวนอย่างรวดเร็ว
หลังจากกลับถึงจวน หลานเยาเยาก็ไม่ได้พูดว่าเกิดอะไรขึ้นในพระราชวัง พูดเพียงว่าไม่มีปัญหา จากนั้นก็ไล่ให้พวกเขาไปนอน
หลังจากที่พวกเขาเดินไป
หลานเยาเยาก็ถอนหายใจอีกครั้ง!
โทษตัวเองที่ประมาทเลินเล่อ ไม่ว่าเย่แจ๋หยิ่งจะจำนางได้หรือไม่ นางก็ควรจะคิดวิธีการรับมือให้ดี ไม่เช่นนั้นถูกจับผิดได้ เช่นนั้นก็จะลำบากแน่
“เอี๊ยด……”
นางเปิดประตูเดินเข้าห้องของตัวเอง ขณะที่กำลังปิดประตู มือของนางก็ชะงักเล็กน้อย
จากนั้นก็หมุนตัวกลับมา มือสองข้างทาบอก ยืนพิงประตูห้องไว้ อ้าปากค้างกับห้องที่มืดสนิท น้ำเสียงที่น่าฟังและมีเสน่ห์ดังขึ้น
“ในเมื่อมาแล้ว ทำไมถึงไม่จุดเทียนสักแท่งล่ะ? มืดมิดไร้แสงไฟ ท่านคิดจะทำอะไรเจ้าของเรือ?”
นางเลิกคิ้ว รอให้ในห้องมีแสงสว่างจากเทียน
เป็นไปดั่งคาด!
เมื่อคำพูดของนางหลุดออกไป
“ฉึบ” เสียงหนึ่ง ห้องที่ยื่นมือออกไปก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า สว่างไสวขึ้นมาด้วยแสงเทียนในพริบตา
หานแสในชุดคลุมยาวสีม่วงเข้ม ยืนอยู่ข้างเชิงเทียน ยิ้มให้นางอย่างเจ้าเล่ห์
“ไม่เจอกันสองปี เริ่มมีพัฒนาการด้านความระวังตัวขึ้นเรื่อยๆแล้ว”
ทั้งๆที่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม แต่หลานเยาเยากลับรู้สึกถึงความหนาวสะท้านไปถึงกระดูก
ไม่เจอกันไม่กี่ปี?
ไม่ใช่หรอกมั้ง!
นางไม่เชื่อ คืนนั้นที่นางไปถึงโรงเตี๊ยมหานแสจะไม่เห็นนาง
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว หากข้าไม่พัฒนา ท่านก็คงจะผิดหวังแย่? ท่านว่าใช่ไหมล่ะ!