หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 260 ลงจากม้าเพื่อรับการตรวจสอบ?
บทที่ 260 ลงจากม้าเพื่อรับการตรวจสอบ?
หานแสถูกราชครูโจมตีไปอยู่กลางทะเลดอกกระดูกขาว และทุ่งทะเลดอกไม้ล้วนเป็นพิษกู่จิ้นทั้งหมด ในร่างกายของเขาจะต้องมีพิษกู่จิ้นอยู่มากมายเป็นแน่ แต่ตอนนี้เขาก็กลับยังปลอดภัยดี
นั่นก็อธิบายได้ว่า……
หานแสก็ได้รับยาถอนพิษแล้ว
ที่สามารถปรุงยาถอนพิษได้นั้นก็มีเพียงเจ้าลิงน้อยแล้ว
“เช่นนั้นทำไมนางจึงต้องแกล้งตาย? แล้วทำไมถึงไม่กลับมาหาท่าน?”
“นางกลับมาแล้ว?”
“อะ อะไร?”
โม่เหลียงเฉินเบิกตาโพลงทันที
ชั่วขณะหนึ่ง ก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
มองดูท่าทางของเย่แจ๋หยิ่ง คาดเดาว่าน่าจะรู้มานานแล้ว หากว่าไม่มีเรื่องวันนี้ เขาคาดว่าเขาคงยังจะไม่บอกสิ่งเหล่านี้
“เช่นนั้นนางอยู่ที่ไหน? ไม่ถูก……”
ทันใดนั้นโม่เหลียงเฉินก็คิดอะไรขึ้นได้ ก็สังเกตดูเย่แจ๋หยิ่งอย่างละเอียดทันที
“ท่านไม่ได้ลืมนางไปแล้วหรือ? แล้วทำไมถึงได้รู้ว่านางกลับมาแล้ว? หรือจะบอกว่า ท่าจงใจทำให้คนอื่นคิดว่าท่านลืมแล้ว?”
เจ้านี่
หลอกได้แม้กระทั่งเขา
“ไม่ ข้าจำนางไม่ได้แล้วจริงๆ”
คราวนี้ ดวงตาของโม่เหลียงเฉินก็เศร้าไปเล็กน้อย : “เช่นนั้นท่านรู้ได้ยังไงว่านางกลับมาแล้ว?”
“เพราะว่ามุกเย่หมิงเม็ดหนึ่ง!”
เขาได้ตรวจสอบความเป็นมาของมุกเย่หมิงอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว จากนั้นก็มองดูกระเป๋าพยาบาลที่ถือไว้ในมือ แววตาแสดงออกถึงความหมายอันลึกซึ้ง
……
สนามล่าสัตว์
ด้านข้างป่าไม้ล่าสัตว์ มีสนามม้าของราชวงศ์ ม้าในด้านในสนามม้าใช้เพื่อล่าสัตว์โดยเฉพาะ
เพราะเป็นสนามม้าของราชวงศ์ ดังนั้นสิ่งก่อสร้างในสนามม้านี้ก่อสร้างตามความต้องการของราชวงศ์ ใช้เป็นที่พักผ่อนโดยเฉพาะ
มีสนามแข่งม้าขนาดใหญ่ และยังมีองครักษ์ของพระราชวังคุ้มกันแน่นหนา
เพราะเป็นอาณาบริเวณของราชวงศ์ ดังนั้นทุกอย่างต้องเข้มงวดมาก
จะเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ ก็จะต้องเข้าไปในสนามม้า และสนามม้ามีทางเข้าเพียงทางเดียว ตรงทางเข้าก็ต้องต่อแถวตรวจสอบ เพื่อความปลอดภัยขจัดอันตรายที่แฝงมา
เมื่อหลานเยาเยามาถึงด้านนอกของสนามม้าก็มีรถม้ามากมายจอดอยู่ รถม้าส่วนตัวของฮ่องเต้และไทเฮาพวกเขาได้จอดอยู่ตั้งนานแล้ว
ผ่านเข้าทางเข้าสนามม้า มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่มากมายที่พาครอบครัวมาต่อแถวรอ
แต่ว่า!
ที่ทำให้หลานเยาเยาคาดไม่ถึงก็คือ คุณหนูสองสามคนที่กำลังต่อแถวอยู่เป็นผู้นางรู้จักทั้งหมด
คนหนึ่งเป็นบุตรสาวของเฉิงเสี้ยง ถังมู่หวั่นเป็นที่รู้จักในนามของสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง คนหนึ่งคือฉินหลิงเจียวบุตรสาวคนที่สามของสิงปู้ช่างชูที่ได้ทำผลงานชิ้นใหญ่เมื่อไม่กี่วันก่อน ยังมีคนหนึ่งหลินเฟยหรันเป็นหัวแก้วหัวแหวนของไท่ฟู่
พวกนางยังคงสวยงามกินใจเหมือนเมื่อสามปีก่อน แต่ว่า เวลาผ่านไปสามปีแล้ว ดูท่าทางพวกนางกลับเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมามาก
เพราะว่าเฉิงเสี้ยง ไท่ฟู่และสิงปู้ช่างชูล้วนเป็นขุนนางของราชสำนักที่ฮ่องเต้แต่งตั้ง เจอหน้ากันก็ต้องทักทายกันเป็นธรรมดา ดังนั้นคุณหนูที่อายุไล่เลี่ยกันก็ต้องเดินไปรวมกลุ่มกันเป็นธรรมชาติ
แม้ว่าระหว่างฉินหลิงเจียวและหลินเฟยหรันจะโกรธเคืองกันมานาน แต่นี่ไม่ได้มีผลกระทบต่อการเป็นพี่น้องที่ดีกับถังมู่หวั่นของพวกนางเลยสักนิด
สายตาของหลานเยาเยาเพียงแค่กวาดมองจากตัวของพวกนางผ่านไป จากนั้นก็ละสายตาแล้ว
แต่นางก็ไม่ได้ลงจากม้า และก็ได้แต่นั่งอยู่บนม้าตลอด และไม่ได้รีบร้อยจะเข้าไป
ไม่นานนักก็มีคนเห็นนาง
“นี่ เจ้าเป็นคุณหนูบ้านไหน? ยังไม่ลงจากม้าอีก? ทำไมไม่รู้จักมารยาทเช่นนี้ ไม่รู้หรือว่าเข้าไปในสนามม้าของราชวงศ์ต้องต่อแถวตรวจสอบ?”
ที่เห็นนางก่อนเป็นคนแรกก็คือฉินหลิงเจียว
ฉินหลิงเจียวมองดูนางที่ขี่หลังม้าซึ่งห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าสีแดง แล้วก็ไม่ที่ใบหน้าอันงดงามพริ้มเพราของนางอีก ในใจก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
ได้ยินดังนั้น!
หลานเยาเยาก็มองนางด้วยหางตาแวบหนึ่ง ยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย : “ไม่รู้!”
คราวนี้ ฉินหลิงเจียวก็ลำพองใจ นางเย่อหยิ่งจองหองขึ้นมาทันที
“ก็รู้ว่าเจ้าไม่รู้ เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะบอกเรื่องสำคัญนี้แก่เจ้า ที่นี่เป็นสนามม้าของราชวงศ์ อยากจะเข้าไปก็จำเป็นจะต้องได้รับการตรวจสอบ
ดูที่เจ้าขี่ม้าอะไร น่าเกลียดจะตาย ยังเทียบไม่ได้ยังเทียบไม่ได้กับม้าชั้นต่ำด้านในสนามม้าเลย ถ้ารู้ว่าต้องทำเช่นไรก็รีบลงมา ไม่เช่นนั้นข้าจะให้องครักษ์ไล่เจ้าไป”
เพราะว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนท่านพ่อได้ทำผลงานชิ้นใหญ่
นางไปที่ไหนก็จะได้รับยกย่อง?
ตอนนี้นับว่าในบรรดาคุณหนูด้านหน้า นางก็เป็นคนพิเศษระดับที่หนึ่ง
ตอนนี้กลับมีคนหนึ่งที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ พูดจากับนางเช่นนี้
ไม่รู้มารยาทก็ไม่เท่าไหร่ ยังกล้าอวดดีต่อหน้านางเช่นนี้ นางจำต้องสั่งสอนดีๆสักหน่อยอย่างแน่นอน
ทันใดนั้น!
พาหนะของหลานเยาเยาสวนหยู่ ก็ไม่รู้ว่าฟังคำพูดของฉินหลิงเจียวออกหรือไม่ ก็หันไปจามใส่ฉินหลิงเจียวโดยตรง
น้ำลายเหล่านั้นพ่นออกไปเต็มหน้านาง
“อ้าย……”
ฉินหลิงเจียวที่โดนพ่นเข้าให้เต็มหน้าก็ร้องออกมา จนแทบจะทรุด
ถังมู่หวั่นและหลินเฟยหรันได้ยินดังนั้นจึงเดินขึ้นไปด้านหน้า
เรื่องราวเมื่อสักครู่พวกนางได้เห็นอย่างชัดเจน ถังมู่หวั่นรีบให้สาวใช้ข้างกายนางเช็ดหน้าให้ฉินหลิงเจียว และหลินเฟยหรันที่ได้เห็นท่าทางของฉินหลิงเจียวก็กลับรู้สึกสะใจในทันที
สะใจถึงแม้ว่าจะสะใจ แต่นางก็เกลียดผู้หญิงชุดแดงที่จองหองพองขนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เช่นกัน
เพราะว่าหน้าตาของนางที่ชั่งงดงามเกินไป!
และ ยังไม่เข้าใจถึงความหวังดีของผู้อื่น ทั้งยังไม่เห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาอีก
ผู้หญิงที่งดงามเช่นนี้ก็เพียงแค่อยากจะได้รับโปรดปรานจะพวกคุณชายเท่านั้น……
หึ!
รูปโฉมเช่นนี้หากว่าได้เข้าไปในสนามม้า จำต้องทำให้เกิดความตกตะลึงเป็นแน่ นางจะไม่ให้นางเข้าไปเป็นแน่นอน เพื่อหลีกเลี่ยงการที่ตัวเองจะโดนบดบังความสนใจ
“ผู้หญิงเช่นเจ้านี้กล้าดียังไงมาถือดีในสนามม้าของราชวงศ์เช่นนี้ เจ้าก็หรือไม่ว่าฮ่องเต้ก็อยู่ในสนามม้า ไม่ลงม้ามารับการตรวจสอบ ก็เท่ากับว่าเจ้ามีเรื่องชั่วร้ายในใจ คิดอยากทำการที่ไม่ดีต่อฮ่องเต้”
หลินเฟยหรันไม่ได้โง่เหมือนกับฉินหลิงเจียว
คิดว่าตัวเองเป็นบุตรสาวของสิงปู้ช่างชู ก็สามารถที่จะข่มคนอื่นได้
ต่อกรกับคนแบบนี้ นางจะต้องใช้อำนาจของฮ่องเต้มาข่มคนอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้เป็นถึงจักรพรรดิของประเทศ ไม่ให้เกียรติฮ่องเต้นั่นก็จะต้องโดนตัดหัว
แม้ว่าจะไม่โดนตัดหัว ก็หนีพ้นการโดนจองจำในคุกยาก ผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไปในคุก นั่งยังจะมีวันที่ดีหรือ?
“น่าสนุก ข้าขี่ม้าก็เป็นการกระทำที่ไม่เป็นผลดีต่อฮ่องเต้ เช่นนั้นมือข้าที่ถือมีดสั้นอยู่ ก็เป็นการลอบทำร้ายฮ่องเต้ใช่หรือไม่?”
หลานเยาเยารู้สึกน่าขัน
จากนั้นก็ถือมีดสั้นเล่นในมือ มุมปากยกขึ้นเคลือบด้วยรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกเล็กน้อย
นางขี่ม้าที่ยืนอยู่ตรงนี้ดีดี ไปสร้างความวุ่นวายให้ใครหรอ?
มีบางคนที่รู้สึกขวางหูขวางตา ต้องเข้ามาหาเรื่องให้ได้ นางก็จนปัญญา
สามปีแล้ว พวกนางยังไม่เปลี่ยน
ได้สิ!
เช่นนั้นก็ทำให้พวกนางได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย!
“เจ้า…..เจ้ากล้าซ่อนมีดสั้นไว้ ให้คนมา! ให้คนมา! มีคนจะลอบทำร้ายฮ่องเต้ รีบให้คนมา! จับตัวคนที่ต้องการจะลอบทำร้ายฮ่องเต้ผู้นี้เอาไว้”
เดิมทีคนที่ดูอยู่ก็มีเพียงไม่กี่คน เมื่อถูกหลินเฟยหรันร้องตะโกนเช่นนี้ ทุกคนก็มุงกันเข้ามาหมด
สิงปู้ช่างชูได้ยินบุตรสาวของตัวเองร้องตะโกนก็รีบพุ่งเข้ามาในกลุ่มคนทันที ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม :
“เป็นใครกันที่กล้าลอบสังหารฮ่องเต้? ข้า……เทพธิดา? !”
สิงปู้ช่างชูที่เดิมทีที่สดใสชีวิตชีวาอย่างที่สุด เมื่อได้เห็นใบหน้าที่เย็นชาของหลานเยาเยา ก็ใจหายวูบ รีบร้อนยกมือขึ้นทำความเคารพ
เฉิงเสี้ยงและไท่ฟู่ที่ตามาด้านหลังมาติดๆ หลังจากที่ได้เห็นหลานเยาเยา ก็รีบยกมือขึ้นทำความเคารพทันที : “เทพธิดา!”
เทพธิดาถูกเล่าขานกันดั่งเช่นเทพเซียน
เมื่อมาถึงเมืองหลวง ก็หาตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่ากลับมาได้
แต่ภายนอกเหมือนกับว่าเป็นความดีความชอบของสิงปู้ช่างชู แต่ว่า ผู้ที่มีเล่ห์เหลี่ยมจัดหน่อยใครบ้างจะไม่รู้ เป็นของขวัญในการพบเจอกันที่เทพธิดามอบให้กับฮ่องเต้?
ตอนนี้ฮ่องเต้อยากดึงเทพธิดามายืนอยู่ข้างๆเป็นพวกเดียวกับเขา การแข่งขันล่าสัตว์ในวันนี้ก็จัดเตรียมขึ้นเพื่อเทพธิดา แล้วเทพธิดาจะลอบสังหารฮ่องเต้ได้เช่นไร?
“ว้าว……”
เมื่อทุกคนได้ยินคำว่าเทพธิดาสองคำนั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงอื้ออึงขึ้นทั่ว.