หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 311 ขาขยับไม่ได้แล้ว
บทที่ 311 ขาขยับไม่ได้แล้ว
ถึงอย่างไรคนที่พักอาศัยอยู่ในวัดก็มีจำนวนมากมายมาตั้งแต่เดิม อีกอย่างยังมีทั้งคนดีและคนเลวอยู่ปะปนกัน มีผู้ที่วรยุทธ์เก่งกล้ามากมาย อาจจะยังมีแม้แต่สายลับของประเทศอื่น
แน่นอนสิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือชื่อเสียงของนาง
แม้เลือดจะออก หัวจะแตก ทรงผมก็ไม่อาจยุ่งเหยิงได้
ฆ่าได้ แต่หยามไม่ได้ ชื่อเสียงจะต้องไม่ถูกลบเลือน
ดังนั้น!
เย่แจ๋หยิ่งได้ดึงจุดนี้ของนาง หิ้วนางตรงไปในห้องที่ปีกด้านข้างของเขา จากนั้นก็ทิ้งนางลงบนเตียง
เขาก็เริ่มถอดเสื้อผ้า
นี่มันผิดปกติ
หลานเยาเยาเบิกตากว้างทันที มองดูเขาด้วยท่าทางที่เหลือเชื่อ
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
นางหรี่ตาลงเล็กน้อย
เรียนอะไรก็ไม่ได้ดีได้แต่เรียนรู้การบีบบังคับคนอื่นงั้นหรือ
ความอดทนของนางมีจำกัด หากจะต้องบีบบังคับนางให้รีบเร่งจริง ๆ ก็คงไม่ลังเลที่จะทำให้เขารู้สักครั้งว่านางสามารถเสกของจากอากาศได้
“โธ่ ข้าจะทำอะไรเจ้าได้”
เย่แจ๋หยิ่งมองนางอย่างแปลกประหลาด ดวงตากะพริบเล็กน้อย
“เหอะ ใครจะไปรู้ล่ะ! วางใจเถอะ เจ้าไม่สามารถทำสำเร็จหรอก”
เอ่อ
อะไรที่ไม่ควรทำก็ทำไปหมดแล้ว
ยังจะมีอะไรที่เรียกว่าทำไม่ได้อีก
ความสามารถในการปั้นน้ำเป็นตัวของเย่แจ๋หยิ่งคือการพูดไหลไปเรื่อยจริง ๆ
“ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะถึงยามจื่อ(ยามจื่อ น.24-น.2)”
เมื่อเห็นท่าทีที่ต่อต้านของหลานเยาเยา เขาก็ไม่มีทางเลือก
“เอ๊ะ”
จู่ ๆก็เปลี่ยนเรื่องไปอย่างกะทันหัน ทำให้หลานเยาเยารู้สึกงุนงงเล็กน้อย
“ไม่ใช่ว่าต้องการไปที่ต้นบุพเพหรือ” หลังจากผ่านยามจื่อไปแล้ว ที่นั่นก็ไม่มีผู้ใดแล้ว”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” หรือว่าเจ้าก็ต้องการจะไปเช่นกัน
นางไม่ได้ต้องการจะไปเพียงเพื่อขอพรให้ช่วยเรื่องบุพเพสันนิวาส แต่ต้องการไปทำกิจธุระ
แต่เย่แจ๋หยิ่งจะไปทำอะไร
คงจะไม่คิดแผนการอะไรอีก ที่จะเป็นการลอบทำอะไรที่ไม่ดีกับนางอีกหรอกนะ
“ทำไมไม่ได้หรือ”
“ได้ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
อยากจะไปก็ไปสิ ไม่มีใครมาห้ามเขาสักหน่อย
นางแค่คอยระมัดระวังตนเองก็ได้แล้ว
ในเวลานี้ เย่แจ๋หยิ่งโบกมือถอดเสื้อคลุมนอกออก แล้วก็แขวนเอาไว้บนฉากกั้น
ต่อมาเขาเดินไปยังด้านหลังฉากกั้น เปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีดำชุดหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงที่ขอบโต๊ะ
หลังจากรินเหล้าไปหนึ่งแก้ว แล้วก็ดื่มจนหมดในครั้งเดียว
จากนั้นก็จ้องมองไปยังร่างกายของนาง ทั่วทั้งร่างของนางยังคงเปียกโชก แม้แต่เส้นผมก็ยังไม่แห้ง แล้วพูดเบา ๆว่า “มีเสื้อผ้าอยู่หลังฉากกั้น บางทีอาจจะเหมาะกับเจ้า”
“เสื้อผ้าผู้หญิงหรือ” หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะถาม
“อื้ม!”
นางคงฟังไม่ผิดหรอกนะ
ที่นี่เป็นวัด อีกทั้งที่นี่ยังคงเป็นที่พักชั่วคราว ไม่นึกเลยว่าเย่แจ๋หยิ่งจะมีเสื้อผ้าผู้หญิงด้วยหรือ
นี่มันเหลือเชื่อเกินไปหรือเปล่า
“อย่าไปคิดมากเลย เสื้อผ้ายังไม่มีใครใส่มาก่อน”
“อะไรกัน!” ใครคิดมากกัน
การที่ต้องเปียกทั้งตัวมันรู้สึกไม่สบายจริง ๆ ดังนั้นนางจึงรีบลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว และไปด้านหลังของฉากกั้น จึงได้เห็นเสื้อผ้าชุดหนึ่งจริง ๆ
แต่สิ่งที่ทำให้นางต้องตกตะลึงคือ……
เสื้อตัวนี้ไม่ใช่ของคนอื่น แต่กลับเป็นของนาง
มันได้ถูกสั่งตัดเอาไว้เมื่อสามปีก่อน และเป็นเสื้อผ้าที่นางพอใจที่สุด ได้แต่เพียงวางไว้ในห้องไม่ได้นำมาใส่
นึกไม่ถึงว่าสามปีก่อน เสื้อผ้าตัวนี้จะมาปรากฏขึ้นต่อหน้านางอีกครั้ง
หรือว่าเขาเป็นคนเอามา……
หรือเขาจะรู้แล้ว
หรือจะกล่าวว่า ตอนนี้เขาแค่สงสัย จึงต้องการนำเสื้อผ้าตัวนี้มาใช้ในการหยั่งเชิง
คงจะเป็นแบบนี้
ฮึ!
แน่นอนว่าไม่สามารถให้เขาทำสำเร็จได้
ดังนั้น หลานเยาเยาได้ถอดชุดสีแดงเลือดที่นางมักจะใส่เป็นประจำซึ่งนำออกมาจากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ และเปลี่ยนชุดที่เปียกทั้งหมดออก
แต่หลังจากได้เปลี่ยนเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะออกไป
หากแต่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ความตกใจที่ร้ายแรงในวันนี้ นางยังคงจดจำได้อย่างชัดเจนมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้นนางจะต้องกลับไปอีกแน่นอน
ฮิฮิ……
“เย่แจ๋หยิ่ง เจ้ายังอยู่หรือเปล่า”
“อืม!”
“เจ้าบอกว่าเจ้าจะให้ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วทำไมจึงมีเสื้อผ้าเพียงชุดเดียว”
เย่แจ๋หยิ่งเป็นคนฉลาด แม้ว่านางจะพูดจาคลุมเครือ แต่เขาก็ยังคงสามารถเข้าใจได้!
“เจ้าต้องการสวมเสื้อผ้าสองตัวหรือ” เย่แจ๋หยิ่งที่กำลังถือแก้วเหล้าอยู่สงสัยเล็กน้อย
เมื่อดูจากเสื้อผ้าที่เปียกของนางแล้ว นางก็ใส่เสื้อผ้าเพียงตัวเดียว ทำไมจู่ ๆตอนนี้ถึงได้ต้องการเสื้อผ้าสองตัว
“……ไม่ใช่”
คงจะพูดอ้อมค้อมเกินไป เขายังไม่เข้าใจ
อย่างนั้นคงต้องบอกตรง ๆแล้วล่ะ!
“ผ้าเอี๊ยม กางเกงชั้นก็ไม่มี เจ้าจะให้ข้าใส่เพียงเสื้อคลุมตัวเดียวแต่ข้างโล่งน่ะหรือ บอกมาว่าต้องการอะไร
“……”
เย่แจ๋หยิ่งร่างกายหยุดชะงัก
เรื่องนี้เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยจริง ๆ “เป็นเพราะข้าไม่ได้คิดเรื่องนี้ให้รอบคอบ”
“อย่างนั้นเจ้าก็ไปเอาให้ฆ่าสิ ไม่อย่างนั้นชุดตัวนี้ข้าก็ใส่ไม่ได้!”
หลานเยาเยารู้สึกได้ชัดเจนถึง บรรยากาศที่เก้อเขิน
ให้เขาซึ่งเป็นผู้ชายต้องไปหาชุดชั้นในของผู้หญิง อีกทั้งยังอยู่ในวัด จะหาได้หรือไม่ก็ยังคงเป็นปัญหา แต่จะถูกผู้คนหัวเราะอย่างแน่นอน
หลังจากเงียบไปชั่วครู่
ในที่สุดเย่แจ๋หยิ่งก็พูดออกมาหนึ่งคำอย่างยากลำบาก
“ได้!”
เดิมทีคิดว่าเย่แจ๋หยิ่งเป็นคนขี้อาย จะให้ไปยืมของผู้หญิงคนอื่นก็คงไม่ได้แน่นอน ถ้าหากจะไปหาซื้อด้วยตนเองละก็เส้นทางก็ห่างไกล ไปกลับก็คงกลับมาไม่ทันในหนึ่งชั่วโมง
ทันทีที่เย่แจ๋หยิ่งเดินออกไป หลานเยาเยาก็เดินออกมาจากหลังฉากกั้น
เมื่อนางหยิบเมล็ดแตงออกมาจากระบบแล้ววางเอาไว้ ก็ยกขาทั้งสองขึ้นไขว่ห้าง จิบเหล้าไปพลาง และแทะเมล็ดแตงไปพลาง เป็นช่วงเวลาที่สบายใจอย่างมาก
“เอี๊ยด……”
ประตูห้องถูกเปิดออก เย่แจ๋หยิ่งเดินเข้ามาพร้อมห่อสิ่งของห่อหนึ่ง
“……”
เย่แจ๋หยิ่งเป็นคนมีประสบการณ์ที่ช่ำชองอย่างนั้นหรือ
หาของได้แล้วอย่างนั้นหรือ จะเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า
ทันทีที่เย่แจ๋หยิ่งเข้ามา สายตามองไปยังด้านข้างขอบโต๊ะ หลานเยาเยากำลังนั่งอยู่ในภาพลักษณ์ที่ดูไม่ดี
อดไม่ได้ที่จะยกมุมปาก
แต่เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าบนตัวนางเป็นสีแดง ซึ่งไม่ใช่ชุดนั้นที่เขาเตรียมเอาไว้ให้นาง ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกินอะไรขึ้น
ท่าทีก็นิ่งเงียบทันที สีหน้าก็เย็นชาลง
“เสื้อผ้าชุดนี้มาจากไหนหรือ”
“โธ่ ให้องครักษ์นำมาให้”
เย่แจ๋หยิ่งกลับมาอย่างกะทันหัน ทำให้นางรับมือไม่ทัน
นางจะยังสามารถพูดอย่างไรได้อีก
“ผ้าห่อสัมภาระของเจ้าอยู่ที่นี่ องครักษ์จะนำมาจากที่ไหนกัน”
เอื้อนเอ่ยออกไป!
เย่แจ๋หยิ่งโยนผ้าห่อสัมภาระไว้ในอ้อมแขนของนาง”
เมื่อเห็นว่าผ้าห่อสัมภาระนั้นเป็นของตนเองจริง ๆ ข้างในล้วนแต่เป็นของใช้ส่วนตัว แน่นอนว่าก็มีเสื้อผ้าอยู่หนึ่งถึงสองชุด
นึกไม่ถึงว่าเย่แจ๋หยิ่งจะไม่ได้ไปยืมมา และก็ไม่ได้ออกไปซื้อด้วย ก็เลยหยิบมาจากผ้าห่อสัมภาระของนางโดยตรง
คนนี้……
ยังคิดออกมาได้จริง ๆ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องมายุ่งกับเรื่องนี้แล้ว” จากนั้น นางก็ยกผ้าห่อสัมภาระของตนเองขึ้น และพูดกับเขาเบา ๆ
“ขอบคุณอ๋องเย่มาก”
เย่แจ๋หยิ่งไม่ได้พูดอะไร ดูจากท่าทีแล้วเหมือนว่าถูกทำให้โกรธอยู่ไม่น้อย
เพียงแค่เห็นเขาเดินเข้ามาใกล้นางไม่กี่ก้าว โน้มตัวลงเล็กน้อย แล้วบีบคางของนาง
“เจ้ามากลั่นแกล้งอะไรข้า”
“ก็พอ ๆกันนั่นแหละ”
เขาต้องการจะทดสอบนาง อย่างนั้นนางจึงกลั่นแกล้งเขา ทำไมจะไม่ได้ล่ะ
อารยชนย่อมไม่พูดปิดบัง นางเป็นกล้าทำก็กล้ารับ
เย่แจ๋หยิ่งจ้องเขม็งไปยังดวงตาของนาง ในรูม่านตามองลึกลงไปอย่างไม่หยุดหย่อน
แต่ในไม่ช้า
ใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆมีรอยยิ้มที่ลึกลับลอยขึ้นมา
“ได้! ต่อไปก็อย่ามาขอร้องข้า”
พูดจบ เขาก็ปล่อยคางของนาง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้
“หึ! ในพจนานุกรมของข้า ไม่มีคำว่าขอร้อง”
ขอร้องเขาหน่ะหรือ
เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ไม่นานนัก กลิ่นหอมที่ทำให้คนต้องน้ำลายไหลได้โชยมา……
หลานเยาเยาตกตะลึงจนตาค้าง เมื่อเห็นว่ามีองครักษ์ลับนับสิบคนเดินต่อแถวเข้ามา ต่างก็ยกอาหารที่กำลังกรุ่นอยู่ไว้ในมือ
กลิ่นนั่น……
มันทำให้นางถึงกับกลืนน้ำลาย
แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่โหดร้ายของตนเองที่เพิ่งจะพูดออกไป ก็มีความรู้สึกเหมือนอยากจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายในทันที
นางอยากจะออกไป ไปให้พ้นจากสถานที่ที่เป็นปัญหาแห่งนี้ นี่ก็เป็นความผิดของนาง
แต่!
ขานางขยับไม่ได้แล้ว!