หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 317 สีหน้าไม่สบายใจของเขา
บทที่ 317 สีหน้าไม่สบายใจของเขา
ในเวลานี้ ยังไม่สามารถคิดเล็กคิดน้อยใดๆ กับพวกเขาได้
หากว่าพวกเขาไม่มีคนนอกอยู่ด้วย บรรยากาศการพูดคุยกันนี้ ก็จะเป็นอะไรที่สามัคคีกลมเกลียวกันมาก
แต่สำหรับทางฝั่งของราชครูเทียนเวิง ดูเหมือนว่า พวกเขาจะทนดูต่อไปไม่ไหวมานานแล้ว พวกเขาแต่ละคนกำมือกำหมัดแน่น อยากจะพุ่งเข้ามาต่อยตีต่อสู้ให้ได้สามร้อยรอบ รู้ผลแพ้ชนะกันให้รู้แล้วรู้รอด
อันที่จริงแล้ว !
หลังจากติดตามราชครูใหญ่มาหลายปี ไม่เคยมีใครกล้าหยิ่งยโส อวดดีต่อหน้าพวกเขาเช่นนี้มาก่อน
ไม่รู้ว่าใบหน้าของราชครูใหญ่ ป่านนี้จะดำเป็นกันหม้อไหม้ไปแล้วหรือไม่หนอ?
อย่างไรก็ตาม ราชครูใหญ่ไม่เอ่ยคำใดออกมา พวกเขาก็ไม่กล้าโจมตี!
จึงทำได้เพียงแค่ถลึงตามอง จ้องเอาๆ จ้องจนพวกเขารู้สึกผิดกันไปเอง …..
แต่ในไม่ช้า พวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างก็เผชิญหน้ากันในที่สุด
ตาเฒ่าทั้งหลาย กัดฟันจ้องมองราชครูใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฝั่งราชครูใหญ่ก็มองดูพวกเขาที่มีสีหน้าไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่กลับไปเช่นกัน
“ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลยแม้แต่น้อย ที่แท้แล้วพวกเจ้าก็ยังไม่ตายนี่เอง ดีมาก! เจ้านายของพวกเจ้า เย่นโจกชิงล่ะ? ไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว? ยังอยากจะเป็นเต่าหดหัวต่อไปหรืออย่างไรกัน?”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น!
ในใจของหลานเยาเยาสั่นไหวน้อยๆ
เย่นโจกชิง?
อดีตเฉิงเสี้ยงของราชวงศ์เก่า เย่นโจกชิง? !
เขาไม่ได้ตายไปในเขาวงกตใต้ดิน ที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์เก่าไปแล้วหรอกหรือ?
นางเห็นโครงกระดูกร่างนั้นด้วยตาตัวเอง หรือว่าจะผิดตัวอย่างนั้นหรือ?
แต่ทว่า!
เมื่อนางเห็นปฏิกิริยาของบรรดาตาเฒ่าทั้งหลาย นางก็รู้สึกว่าเรื่องต่างๆ ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิดเป็นแน่
“เย่นโจกชิงคือใคร? พวกเราไม่รู้จักเขา”
“ใช่ ไม่รู้จัก แต่ดูเหมือนจะได้ยินว่าเขาตายแล้วนี่”
“เจ้าจะตามหาเขาเรอะ? นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆหรอกจะบอกให้! เอามีดเชือดคอตัวเองสักฉั๊วะ เจ้าก็ได้ไปยมโลกเพื่อเจอเขาแล้ว”
“ดูจากสภาพแล้ว เจ้าไม่น่าจะกล้าเชือดคอตัวเองหรอก! อย่างไรก็เลิกตามหาไปซะไป๊!”
………………….
ตาเฒ่าทั้งหลายเริ่มเข้าสู่บรรยากาศผลัดกัน ข้าพูดหนึ่งคำ เจ้าพูดอีกหนึ่งคำ หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดกันเซ็งแซ่เป็นนกกระจอกแตกรังไม่รู้จบ
ประสบความสำเร็จในการกวนประสาทราชครูเทียนเวิง ผู้ที่เจอฟ้าผ่าก็ยังไม่สะดุ้งสะเทือนได้จนเขาถึงกับต้องกำหมัดแน่น
“พอได้แล้ว!”
เสียงโกรธเกรี้ยวดังออกมา
ปิดปากบรรดาตาเฒ่าเคราขาวทั้งหลายได้สำเร็จ แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขากลัว แต่เพราะพวกเขาเหมือนจะสังเกตเห็นตัวเองแล้ว รู้สึกว่าพวกเขาช่างน่าหนวกหูอยู่ไม่น้อยทีเดียว …..
“ ไม่พูด ก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่พบเย่นโจกชิง แต่ได้พบพวกเจ้าก็ไม่ต่างกัน
ทหารหน่วยกล้าตายทั้งสี่สิบคนของเฉิงเสี้ยงแห่งราชวงศ์เก่า เมื่อสิบกว่าปีที่ก่อนถูกข้าวางยาพิษตายไปสามสิบกว่าชีวิต ยังเหลือพวกเจ้าไม่กี่คนที่ยังเอ้อระเหยลอยนวลสินะ
ตอนนี้ส่งพวกเจ้าไปร่วมทางตายด้วยเสียเลย ก็ไม่เลวนักหรอก”
ในขณะที่พูดนั้นเอง
ราชครูเทียนเวิง ก็ใช้วิชาเหินบินตรงเข้ามาหาพวกเขา
เพียงพริบตาเดียว พวกเขาทั้งสิบก็ได้จัดตั้งค่ายกลกระบี่ เข้าเผชิญหน้ากับราชครูใหญ่
ในตอนแรก หลานเยาเยายังมีความกังวลอยู่บ้าง ตาเฒ่าเหล่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชครูใหญ่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า หลังจากสู้กันไปกว่าสิบกระบวนท่า เหล่าตาเฒ่ากลับไม่มีใครแรงตกล้มลง
จะเห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของพวกเขา ไม่อาจดูถูกได้เลยจริงๆ
ถึงแม้ว่าออกจะดูเป็น คนมากรังแกคนน้อยไปสักหน่อยก็เถอะ
แต่ถ้าพวกเขามีความสุข ก็ปล่อยไปตามนั้นแล้วกัน!
คนของฝ่ายราชครูใหญ่ ต้องตกตะลึงจนตาค้างไปนานแล้ว ในสายตาของพวกเขา ราชครูใหญ่คืออันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่มีใครเทียบเทียมได้มาเนิ่นนานแล้ว
ที่ผ่านมายังไม่เคยเห็นการต่อสู้ในสนามใด ที่สู้ได้สูสีเท่าเทียมกันเช่นนี้มาก่อน
อีกทั้งรูปแบบค่ายกลกระบี่ที่ใช้อยู่นี้ ยังเป็นรูปแบบที่พวกเขาไม่สามารถบุกเข้าไปได้ ทำได้แค่เพียงมองดูอยู่อีกด้านอย่างร้อนรน กระวนกระวายใจ
แต่ว่า!
เวลาเพียงไม่นาน สายตาทุกคู่ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาสนใจในตัวเทพธิดาแทนเสียแล้ว
ทำลายค่ายกลไม่ได้ แต่พวกเขายังสามารถใช้คนมากรังแกคนน้อยได้ รุมหมาหมู่คนคนเดียวได้นี่นา!
ดังนั้นแล้ว!
พวกเขาจ้องมองหลานเยาเยาเขม็ง ตั้งใจหาโอกาสลงมือโจมตี
หลานเยาเยาเพียงปรายตามองไปที่พวกเขาอย่างเฉยเมย มุมปากยกโค้งขึ้น “อยากสู้ แน่จริงก็เข้ามาสิ!”
“มาเจอกับข้าหน่อยเป็นไร”
คนที่พูด คือคนที่ถูกนางปั่นหัวเล่นมาก่อนหน้านี้ หรือก็คือเหลนชายของราชครูเทียนเวิง ผู้ซึ่งรีบร้อนโตเกินวัยไปหน่อยคนนั้นนั่นเอง
ไอ้หนูเอ๊ย! ขนยังขึ้นไม่ครบด้วยซ้ำ ! คิดอยากจะสู้กับนาง?
เอาสิ!
ให้เขาได้สัมผัสแบบซึ้งถึงทรวงสักหน่อย ว่าอะไรที่เรียกว่า รนหาที่
ชายคนนั้นเหินบินตรงเข้ามา ชิงลงมือขว้างอาวุธลับหลายชิ้นออกมาก่อน ถูกหลานเยาเยาสะบัดแขนปัดออกไปตรงๆ หลังจากปัดอาวุธลับเหล่านั้นแล้ว
เขาก็มาประชิดถึงตรงหน้านาง ตามมาด้วยใบมีดอันแหลมคมที่วาดออกไป พุ่งเป้าหมายจ่อเข้าที่คอของนาง
หลานเยาเยาโอบพิณจิ่วเซียวหวงเพ่ยไว้ในอ้อมแขน หลังจากเอนตัวหลบจนพ้น ก็หมุนตัวอย่างรวดเร็วรอบหนึ่งไปอยู่ข้างหลังชายคนนั้น นางคลายมือข้างหนึ่งจากกำปั้นแบออกเป็นฝ่ามือ เข็มเงินและใบไม้ก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นโดยพลัน
ด้วยการสะบัดมือเพียงครั้ง อาวุธลับที่อยู่ในมือก็ถูกขว้างออกไปทันที
ชายคนนั้นก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นกัน เขารีบหันกายกลับมา หลบหลีกการโจมตีของใบไม้ทันที
แต่กลับถูกเข็มเงินแทงเข้าเสียแล้ว
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เขาก็ร่วงตกลงจากต้นไม้ไป
ลูกน้องของราชครูใหญ่หูตาว่องไว รีบเหินทะยานออกไปรับเขาอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่า!
พริบตาที่คนกำลังจะร่วงสู่มือที่ยื่นไปรับอยู่แล้วนั้นเอง ด้ายสีเงินเส้นยาวบอบบางเส้นหนึ่ง ก็พุ่งเข้าไปพันโอบรอบเอวของคนคนนั้นทันที
ต่อจากนั้น ฉากที่ค่อนข้างจะทำร้ายจิตใจก็ปรากฏขึ้นให้เห็นแก่สายตา
หลานเยาเยาใช้ร่างของคนคนนั้นเป็นอาวุธโดยตรง ใช้เหวี่ยงโจมตีลูกน้องของราชครูใหญ่ไปมา ลูกน้องเหล่านั้นต่างก็กลัวว่า จะทำร้ายเจ้านายน้อยๆๆๆ ของพวกเขาจนได้รับบาดเจ็บ จึงไม่กล้าใช้อาวุธ
นอกจากบรรดาลูกน้องที่พยายามจะชิงตัว เจ้านายน้อยๆๆๆกลับมาแล้ว ยังมีบางส่วนที่เหินบินเข้ามาลอบโจมตีนาง และบางส่วนก็หลบหลีกเปิดทาง
ในขณะที่คนกลุ่มนั้นกำลังจะเหินบินขึ้นมายังต้นบุพเพนั่นเอง
หลานเยาเยากระตุกด้ายสีเงินอย่างแรง ดึงเอาร่างเหลนชายของราชครูใหญ่เข้ามา ขว้างเข้าไปกวาดบรรดาคนที่จะลอบสังหารนางกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง
ในเวลานั้นเอง
“ ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ…… ”
อาวุธลับที่คมกริบหาใดเปรียบสามชิ้น พลันพุ่งออกมาจากกลางอากาศ เล็งเป้าหมายไปยังจุดตายของนางโดยตรง
ทำไมยังมีคนที่ลอบซุ่มโจมตีหลงเหลืออยู่ ?
ในเวลานั้นนางโอบพิณไว้ในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างยึดจับด้ายสีเงินอยู่ หากต้องการหลบหลีกอาวุธลับ นางจำเป็นต้องปล่อยมือข้างใดข้างหนึ่งออก
ด้วยเหตุนั้น!
นางตัดสินใจอย่างฉับพลัน ตั้งพิณในมือลงบนต้นบุพเพ ตรงตำแหน่งที่กิ่งไม้กิ่งหนึ่งเคยถูกคนตัดไปก่อนหน้านี้
ด้านบนนั้น ถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่สีเขียวครึ้ม ทั้งยังมีเศษใบไม้สีเหลืองเหี่ยวเฉาสุมแน่นจนเต็ม
ต่อจากนั้น จึงสะกิดปลายนิ้วเท้าเบาๆ เหินกายบินขึ้นไปเหยียบบนพิณจิ่วเซียวหวงเพ่ย
อย่างไรก็ตาม!
สิ่งที่ทำให้หลานเยาเยาคาดไม่ถึงก็คือ นางเพิ่งหลบอาวุธลับสามชิ้นนั่นพ้นไปหมาดๆ กลับมีอาวุธลับอีกสามชิ้นโจมตีเข้ามาอีก ทั้งยังพุ่งเข้ามาถึงตรงหน้านางเรียบร้อยแล้วด้วย
เชี่ยแล้ว!
ใครกันที่แอบลอบโจมตีคอยขว้างอาวุธลับเข้ามา?
ทำไมถึงดูเหมือนเข้าใจ รู้กระจ่างเกี่ยวกับทุกกระบวนท่า ทุกการเคลื่อนไหวของนางขนาดนี้ ?
ดูเหมือนว่าวันนี้อาจต้องเลือดตกยางออก ได้แผลบ้างสักหน่อยแล้วสินะ
ในตอนนั้นเอง เงาร่างสีดำร่างหนึ่งพลันวูบปรากฏขึ้น เพียงชั่วพริบตา ก็เคลื่อนเข้ามาตรงหน้าของนาง ด้วยการสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียว ก็ปัดอาวุธลับทั้งสามชิ้นนั่นกระเด็นออกไป
ได้เห็นชายที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของนาง สวมเสื้อคลุมสีดำขอบไหมขลิบทอง ใบหน้าห่อคลุมไว้ด้วยผ้าสีดำ ส่งสายตาจ้องมองนางอย่างเป็นห่วง
“ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
เสียงด้านทื่อเป็นแม่เหล็กดังขึ้น เจือความตึงเครียดอยู่ในที
“ ไม่เป็นไร!”
ยังจะปิดหน้าไปเพื่อ!?
เพียงได้ยินเสียงที่ไพเราะอย่างพิเศษจนเป็นเอกลักษณ์นั่น รูปร่างสูงเพรียว กลิ่นหอมเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ไม่ต้องเดาก็รู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร
เย่แจ๋หยิ่งเห็นๆ!
นางเก็บด้ายเงินเข้ามา กำลังคิดอยู่ว่าจะยิ้มโปรยเสน่ห์ไปให้เย่แจ๋หยิ่งเสียหน่อย
ได้ยินเพียงเสียงดัง “คลิก” ขึ้นมา คล้ายว่ากลไกเครื่องจักรกลบางอย่างถูกเปิดออก
“ ครืน ….นนนน…. ”
รอบด้านทั้งสี่ทิศเริ่มสั่นสะเทือน ใต้ฝ่าเท้าพลันทรุดถล่ม จมลงสู่เบื้องล่างทันที
เห็นเพียงร่องบากรูปร่างประหลาด ตรงกลางลำต้นที่เคยถูกคนตัด เป็นร่องบากรูปทรงอ้มที่นางวางพิณจิ่วเซียวหวงเพ่ยลงไปเมื่อครู่นี้ ทั้งยังสอดลงในตำแหน่งร่องบากนั้นได้อย่างพอดิบพอดีไม่มีขาดเกินอีกด้วย…..
แท้ที่จริงแล้ว พิณคันนี้คือกุญแจดอกหนึ่ง
มันเปิดกลไกสลักที่ปิดอยู่ของต้นบุพเพ …
ต้นบุพเพเก่าแก่สองต้นค่อยๆแยกออกจากกัน ที่ใต้ต้นไม้มีทางเข้าที่ดูแล้ว ลึกราวกับไร้ก้นบึ้งอยู่ช่องหนึ่ง
อาวุธลับที่ซ่อนอยู่นับไม่ถ้วนถูกยิงออกไปจากต้นบุพเพในทุกทิศทาง
ร่างหลานเยาเยาจึงดิ่งร่วงตกลงไปตรงๆทั้งอย่างนั้น
ในชั่วเวลาที่นางตกลงไปยังทางเข้าต้นบุพเพนั้นเอง ลำต้นของต้นบุพเพ ก็ปิดลงอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว ราวกับว่าทางเข้านี้เปิดออกมา เพื่อจะกลืนนางเข้าไปเพียงคนเดียวเท่านั้น
หลังจากที่ต้นบุพเพปิดลง
นางตกลงไปในความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของนางก็ยิ่งร่วงหล่นลงไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
การร่วงหล่นลงมาด้วยความเร็วขนาดนี้ รอจนนางตกไปถึงพื้นล่างเมื่อไหร่ นางคงต้องถูกแรงกระแทกอันรุนแรงอัดใส่จนตายอย่างแน่นอน
ทันใดนั้น!
“ เยาเยา เยาเยา เยาเยา…. ”
เสียงทื่อด้านคล้ายแม่เหล็กที่ร้อนรนกลับดังขึ้น ร้องเรียกชื่อนางไม่หยุด
เป็นเย่แจ๋หยิ่งนั่นเอง
เขากำลังร้องเรียกชื่อของนางอยู่
ที่แท้เขารู้มาตลอด ด้วยเหตุนี้ถึงได้ใจกล้าหน้าด้าน ทำตัวไร้ยางอายถึงเพียงนั้น …..
“ เยาเยา…… ”
หลังจากตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง หลานเยาเยา จึงเอ่ยตอบกลับไปเสียงหนึ่งด้วยอารมณ์อันซับซ้อน
“ เจ้า ….. ทำไมเจ้าถึงได้ตกลงมาด้วยล่ะนี่?”
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาสามารถหนีได้ทันแท้ๆ เพราะเหตุใดเขาถึงได้ลงมากับนางด้วยล่ะ ?
ทันทีที่สิ้นเสียง วินาทีถัดมา นางก็ตกอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น เสียงหัวใจที่เต้นรุนแรงบ้าคลั่งของเขา ก็ค่อยๆสงบนิ่งเป็นปกติลงมาได้
เขาโอบกอดนางเอาไว้จนแน่น ราวกับว่ากำลังโอบกอดสมบัติล้ำค่า ที่ครั้งหนึ่งตัวเองได้ทำหายไปอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ขอเพียงเจ้าไม่เป็นไร ก็ดีที่สุดแล้ว”