หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 320 โดนวางอุบายหลอกอีกแล้ว
บทที่ 320 โดนวางอุบายหลอกอีกแล้ว
หลานเยาเยาปรายตามองมือตัวเองที่ถูกเขาจับเอาไว้ คิดจะชักมือกลับ ด้วยท่าทางที่ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก แต่กลับถูกเขาจับไว้แน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่อาการบาดเจ็บของเขา นางคงจะชักมือกลับมาอย่างสิ้นเยื่อใยไม่ให้ความหวังไปแล้ว
ช่างเถอะ!
ก็แค่จับมือเองไม่ใช่หรือ?
ไม่ถึงกับเส้นเอ็นบาดเจ็บ กระดูกเคลื่อนที่หรอกน่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย
“เยาเยา”
เย่แจ๋หยิ่งจ้องมองนาง ส่งเสียงเรียกอย่างสงบนิ่งประโยคหนึ่ง
เอิ่ม……
ทำไมจู่ๆถึงได้เรียกชื่อนางขึ้นมาล่ะนี่ ?
ทำไมไม่เรียกนางว่าเทพธิดาล่ะ? แบบนี้บรรยากาศมันก็จะยิ่ง กระอักกระอ่วนขึ้นเรื่อย ๆน่ะสิ !
เห็นนางไม่พูดอะไร ดวงตาก็ไม่ได้มองเขา เอาแต่มองบนล่างซ้ายขวาไปเรื่อย ริมฝีปากบางของเขาที่บัดนี้ขาวซีดเผือดสีจึงเปิดออกเล็กน้อย
“เยาเยา ข้าเจ็บที่ตรงนี้”
เขาชี้ไปที่หัวใจของตัวเอง ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำราวกับว่ามันเจ็บปวดอยู่จริงๆ
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น!
หลานเยาเยาย้ายสายตาไป จ้องมองที่ตำแหน่งหัวใจของเขาทันที จากนั้นจึงยื่นมืออีกข้างเข้าไปลองสำรวจในเสื้อคลุม ทาบลงบนตำแหน่งหัวใจ แล้วกดคลำตรวจสอบอาการ
“ ใช่ตรงนี้หรือไม่?”
“ ไม่ใช่ !”
ไม่ใช่?
นางขยับมือขึ้นไปด้านบนเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือความกังวลว่า: “แล้วตรงนี้ล่ะ”
“ ไม่ใช่ !”
“ แล้วตรงนี้ล่ะ” นางเคลื่อนย้ายมือไปยังตำแหน่งอื่น
“ นั่นก็ไม่ใช่”
ถ้าเช่นนั้นเป็นที่ตรงไหนกันแน่ล่ะ!?
หลานเยาเยาอดไม่ได้ ที่จะเริ่มสงสัยในความสามารถของตัวเองเสียแล้ว แม้ว่าเย่แจ๋หยิ่งจะได้รับบาดเจ็บภายในอย่างหนัก แต่หากพูดกันตามเหตุผลแล้ว อาการเจ็บปวดไม่น่าจะอยู่ตรงนี้นี่นา!
เมื่อนางลูบคลำสำรวจบริเวณหน้าอกของเขา ไปจนทั่วรอบหนึ่งแล้ว เย่แจ๋หยิ่งก็ยังคงตอบว่าไม่ใช่อยู่อย่างนั้น
นางถึงได้เริ่มสงสัยขึ้นมาในที่สุด
เอิ่ม……
คงไม่ใช่ว่ากำลังหลอกลวงนางอยู่หรอกนะ?
ดังนั้น นางจึงเงยหน้าขึ้นมองสำรวจดูสีหน้าของเขา จึงได้เห็นว่าเขาดูมีความสุขเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าจึงเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึนทันที
“ เย่แจ๋หยิ่ง เจ้าคนบัดซบนี่!”
เห็นได้ชัดแล้วว่าเขาแกล้งใช้แผนทำเป็นเจ็บตัว เพราะมีเป้าหมายอยากจะเอาเปรียบนางนี่เอง
นี่มันอันธพาลชัดๆ!
หลังจากที่หลานเยาเยา ชักมือที่แตะอยู่บนหน้าอกของเย่แจ๋หยิ่งออก ก็คิดจะชักมือที่ถูกเขาจับไว้จนแน่นข้างนั้นออกมาด้วย
แต่ทว่า!
หลังจากเห็นสีหน้าดื้อรั้นที่ถึงตาย ก็ไม่ปล่อยมือของเขา นางพยายามจะชักมือกลับอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจชักกลับมาได้เสียที นางจึงคร้านจะชักมือกลับในที่สุด
เพราะกลัวว่ารออีกสักครู่ เกิดไปทำให้ปากแผลเขาฉีกคงจะไม่ดีแน่
หลังจากเงียบงันไปครู่ใหญ่
นางจึงเอ่ยถามอย่างเฉยชาว่า “ เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าข้าคือหลานเยาเยา? ”
“ตอนที่เจ้าเข้าไปสำรวจในพระราชวังคืนนั้น เจ้าเคยนำมุกเย่หมิงออกมาด้วย”
เอิ่ม……
หลานเยาเยามุมปากกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่
ที่แท้ก็รู้มาตั้งนานแล้วนี่เอง ก่อนที่นางจะตกลงมาที่นี่ นางยังคิดมาตลอดว่าเขาไม่น่าจะรู้ได้
ผลสุดท้ายแล้วเป็นตัวเองคิดไปเองว่า ข้านั้นยิ่งใหญ่ที่สุด ไปเสียได้!
“ ถ้าเช่นนั้น ที่เจ้าเข้ามาอยู่ในตำหนักเทพธิดา เจ้ามีแผนการอะไรกันแน่?”
ในเวลานี้เอง เย่แจ๋หยิ่งไม่พูดอะไรออกมาอีก แต่เบนสายตาออกไปมองที่อื่น
ตอนนี้เขาไม่อยากพูดอะไร ที่เป็นการโกหกหลอกลวงนาง
ทั้งยังไม่อยากพูดความจริง ที่จะไปกระตุ้นให้นางโกรธเคืองขึ้นมา
ดังนั้น !
เขาจึงทำได้เพียงเลือกที่จะเงียบไว้เท่านั้น
เห็นปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะว่า มีแผนการบางอย่างอยู่ไม่ผิดแน่แล้ว
เป็นผลให้หลานเยาเยายกนิ้วโป้งให้เขา แต่ในดวงตากลับมีประกายไฟเปลวเล็กๆ พวยพุ่งขึ้นมา
“ดีมาก! อย่างไรก็เป็นถึงอ๋องเย่ ทำการใดย่อมต้องยิ่งใหญ่ใจกว้าง ทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเองอยู่แล้วนี่นะ เรื่องรถม้านั่น ก็เป็นเรื่องที่เจตนาทำล่ะสิ ?”
ผู้ชายคนนี้ ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนอย่างที่คิดไว้จริงๆ
“ เยาเยา … ”
รู้ว่านางโกรธขึ้นมาแล้ว เย่แจ๋หยิ่งจึงรีบเอ่ยเรียกนางทันที “ข้าสามารถอธิบายได้นะ”
“ช่างมันเถอะ! มีอะไรต้องอธิบายกันอีกล่ะ ถึงอย่างไรเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ต่อให้อธิบายอะไรไปมันก็ไม่มีประโยชน์ มันทำให้เรื่องต่างๆ ย้อนกลับไปก่อนที่มันจะเกิดขึ้นได้อย่างนั้นหรือ ?
เจ้าปล่อยมือข้าก่อนจะดีกว่า ข้ายังมีเรื่องที่ต้องไปทำ ”
ในตอนนี้ มีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าที่ต้องไปทำ
การพูดถึงเรื่องในอดีต ก็มีแต่จะเพิ่มความยุ่งยากใจเสียเปล่าๆ
“เจ้ากำลังตามหาพิณกู่ฉินจื่อหลิงใช่หรือไม่?”
หลานเยาเยาไม่อยากเอ่ยถึง เช่นนั้นก็ไม่เอ่ยถึงแล้วกัน
“ใช่ เจ้ารู้หรือว่ามันอยู่ที่ไหน ?”
เมื่อเห็นท่าทางเหมือนจะรู้ของเย่แจ๋หยิ่ง ดังนั้นดวงตาของนาง จึงสว่างวาบขึ้นมาในทันที
“ตอนที่พิณกู่ฉินจื่อหลิงตกลงมา มันลื่นไถลไปทางนั้น”
พิณกู่ฉินจื่อหลิง ตกลงมาก่อนหน้าพวกเขาหนึ่งก้าว ก่อนที่เขาจะถูกแขวนห้อยค้างอยู่บนเสาน้ำแข็ง เขาเห็นทิศทางที่พิณกู่ฉินจื่อหลิง ร่วงตกลงไปบนพื้นผิวน้ำแข็งแล้วลื่นไถลออกไปพอดี
หลังจากชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง เขาก็ปล่อยมือของหลานเยาเยา
เมื่อมองไปตามทิศทางที่เขาชี้ไป เพียงไม่นาน ก็เห็นหลานเยาเยาโอบกอดพิณเดินกลับมาด้วยท่าทางมีความสุข
“คุณภาพของพิณคันนี้ดีจริงๆเลยนะนี่ พวกเราตกลงมาจากความสูงขนาดนั้น ยังได้รับบาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป
แต่พิณคันนี้กลับไม่เป็นอะไรชนิดที่ว่า สมบูรณ์เหมือนเดิมทุกประการ นี่มันเป็นของวิเศษชัดๆ ”
“ ไม่เสียหายตรงไหนก็ดีแล้วล่ะ!”
เย่แจ๋หยิ่งมองดูนางที่สวมเสื้อผ้าบางๆ สีหน้าของนางตอนนี้ ถูกความหนาวเย็นทำให้เปลี่ยนเป็นสีม่วงไปแล้ว แต่นางก็ไม่พูดอะไรสักคำ
จึงอดเผยสีหน้าที่แฝงความหดหู่ใจไม่ได้
“ ขึ้นมาสิ”
“ไม่ต้องหรอก ข้ายังสามารถเอาเตียงกับผ้าห่มออกมาได้อีกเยอะ”
หลังจากที่เย่แจ๋หยิ่งเอ่ยเตือนขึ้นมา หลานเยาเยาจึงค่อยพบว่า ทั้งมือและเท้าของนางเย็นเฉียบจนแทบจะหมดความรู้สึกไปแล้ว
หลังจากพูดจบ ก็ตั้งใจว่าจะนำเตียงอีกหลัง ออกมาจากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ใครจะรู้ว่า…..
เสียงทุ้มทื่อเหมือนแม่เหล็กดังลอยมาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“ร่างกายข้าอุ่นยิ่งนัก สามารถอุ่นเท้าให้เจ้าได้”
เวลานั้นเอง
หลานเยาเยานิ่งชะงักไปชั่วขณะ
มันก็จริงอยู่
จะนำเตียงออกมาอีกหลัง จะห่มผ้าห่มให้หนาแค่ไหน ในสถานการณ์ที่มือและเท้าเย็นเป็นน้ำแข็งเช่นนี้ หากนอนคนเดียว ก็ยากที่จะอุ่นขึ้นมาได้โดยเร็ว
ไม่สู้คนสองคน แลกความอบอุ่นให้กันและกันทั้งสองฝ่าย
ด้วยวิธีนี้ทั้งสองคนต่างก็ล้วนอบอุ่น ทั้งยังสามารถ สังเกตสถานการณ์ของเย่แจ๋หยิ่งได้ทุกที่ทุกเวลาอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ !
นางก็ไม่เสแสร้งทำตัวสูงส่งใดๆให้เสียเวลา
เพียงนำเอาอาหารและผลไม้บางส่วน ออกมาจากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
โชคดีที่นางเป็นนักชิมอันดับต้น ๆ จึงมีอาหารอร่อยๆ มากมายที่เก็บสะสมไว้ใน พื้นที่ว่างเปล่าของระบบ ภายใต้สถานการณ์ปกติ อาหารที่นางเก็บสะสมไว้เหล่านี้ สามารถทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้นานเจ็ดหรือแปดวันเลยทีเดียว
แต่ถ้ากินอย่างประหยัดหน่อย ก็สามารถอยู่ได้เป็นสิบกว่าวันอย่างไม่มีปัญหา
เพียงไม่นาน
หลานเยาเยาก็ถอดรองเท้า แล้วขึ้นเตียงนอน
พวกเขาแต่ละคนนอนบนหัวเตียงคนละด้าน โดยมีอาหารอยู่ตรงกลาง กินไปพลางก็คุยกันไปพลางว่าจะหาทางออกไปได้อย่างไร
ขณะที่พูดคุยกันนั้น หลานเยาเยาก็รู้สึกว่าเท้าทั้งคู่ของนาง ถูกห่อพันด้วยฝ่ามืออุ่น ๆ สองข้าง จึงปรายตามองเย่แจ๋หยิ่ง
“เจ้าได้รับบาดเจ็บภายในค่อนข้างหนัก ไม่ควรโดนความเย็น มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายอย่างมาก”
“ ไม่สำคัญเท่ากับเจ้า ”
ขณะที่พูด
เย่แจ๋หยิ่งก็เอาผ้าเก็บความร้อน และเสื้อคลุมมาพันรอบเท้าของนาง แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง กลับพบว่าเท้าของนางยังคงเย็นเฉียบอยู่
หรือจะถูกความหนาวเย็นแช่แข็งจนมีปัญหาแล้ว?
เท้ายังเย็นมากถึงขนาดนี้ มือกับลำตัวก็ไม่น่าจะมีอาการดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่แล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง!
เขามองหลานเยาเยา ที่กึ่งๆนั่งอยู่ ริมฝีปากบางเปิดออกเล็กน้อย
“เยาเยา เจ้านั่งแบบนี้ไม่เพียงแต่ร่างกายของเจ้าจะไม่อบอุ่น แม้แต่เท้าของข้า ก็จะพลอยถูกอากาศเย็นไปด้วย”
“เจ้าหดๆเท้าของเจ้าไปก่อนแล้วกัน รอข้ากินของพวกนี้หมด ข้าก็จะนอนลงไปแล้ว”
อาหารที่นางนำออกมามีไม่มากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะเติมกระเพาะพวกเขาสองคนจนเต็มได้ สาเหตุอาจเป็นเพราะเย่แจ๋หยิ่งได้รับกลูโคส จึงไม่ได้กินอะไรมากนัก
ดังนั้น อาหารเหล่านี้ไม่ควรกินทิ้งกินขว้าง! นางต้องกินให้หมด
ใครจะรู้ว่า…..
“ที่เท้ามีบาดแผลอยู่หลายแห่ง ไม่เหมาะจะงอเท้า เจ้ามาทางนี้เถอะ”
หลานเยาเยาคิดไปคิดมาก็ถูกอยู่
ไปเบียดตรงหัวมุมนั้นกับเย่แจ๋หยิ่ง น่าจะอุ่นกว่าหน่อยจริงๆนั่นล่ะ อย่างนี้เท้าของเย่แจ๋หยิ่งก็ไม่ต้องถูกลมเย็นเพราะการนั่งของนาง อีกทั้งยังสามารถกินอาหารต่อได้
หลังจากที่นางพยักหน้า
จึงลงจากเตียงไป ดึงเข็มที่ให้น้ำเกลือซึ่งใกล้จะหมดพอดีออกมาเก็บให้เรียบร้อย
หลังจากกลับขึ้นไปบนเตียงนอนอีกครั้ง เย่แจ๋หยิ่งก็ใช้เท้าอันอบอุ่นของเขา คลุมทับบนเท้าของนาง จากนั้นจึงกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน
เป็นเพราะความหนาวเย็น นางจึงค่อนข้างจะชื่นชม ต่อพฤติกรรมที่เย่แจ๋หยิ่งทำต่อนางไม่น้อย
อาหารที่เหลือถูกจัดการจนหมดในเวลาไม่นาน
เย่แจ๋หยิ่งจึงพานางเอนตัวลงนอน
อาจเป็นเพราะที่นี่มีน้ำแข็งอยู่ทุกทิศทาง บวกกับก่อนหน้านี้ นางเดินสำรวจไปตามช่องทางเหล่านั้นเพื่อทางออกเป็นเวลานานมาก จนทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาได้ยากยิ่งนัก
ในขณะที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเย่แจ๋หยิ่ง นางก็ยังคงตัวสั่นสะท้าน
ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ เย่แจ๋หยิ่งจึงเริ่มถอดเสื้อผ้าบนร่างตัวเองออก…….