หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 336 นางไม่ปกป้องใครจะมาปกป้อง?
บทที่ 336 นางไม่ปกป้องใครจะมาปกป้อง?
ทันใดนั้นก็มีลมเย็นพัดมาระลอกหนึ่ง ชุดคลุมของทุกคนที่อยู่ในสถานที่นั้นก็โดนพัดขึ้นมาไม่มากก็น้อย พริบตานั้นก็ปรากฏรัศมีที่แข็งกล้าขึ้นมา
ผู้บัญชาการทหารกับลูกน้องของเขานั้นโกรธจนตาแดงก่ำ ไหนเลยจะพบเห็นความผิดปกติ?
ยังคิดจะฆ่าจื่อซีอย่างโง่ๆอยู่ตลอด
ใครจะรู้…..
ด้ายเงินเส้นยาวๆเล็กๆได้มัดแขนข้างหนึ่งของผู้บัญชาการทหารไว้ทันที เมื่อเขาสังเกตได้ถึงความผิดปกติ ก็ได้ยินเสียงที่จริงจังดังกังวานขึ้นแว่วมา
“โยม ที่นี่เป็นที่ที่เงียบสงบร่มเย็น……”
“อ้า……”
เสียงร้องที่น่าสังเวชของผู้บัญชาการทหารดังขึ้น แขนข้างหนึ่งขาดกลิ้งตกที่พื้น ผู้บัญชาการทหารที่เสียแขนไปข้างหนึ่งอย่างกะทันหัน กุมบาดแผลที่มีเลือดพุงทะลักออกมาด้วยความเจ็บปวด ล้มไปกับพื้น
“อ้า……เจ็บเหลือเกิน มือของข้า มือของข้าล่ะ……”
ในเวลานี้!
ท่ามกลางสายตาที่หวาดผวาของบรรดาผู้คน หญิงสาวที่งดงามในชุดสีแดงเลือดปรากฏต่อหน้าบรรดาผู้คน
แววตาที่เย็นชามองไปที่ผู้บัญชาการทหารที่เจ็บปวดจะเป็นจะตายอยู่ที่พื้น
เมื่อเห็นว่าเป็นนางปรากฏกายขึ้น บรรดาผู้คนก็อยู่ในความอื้ออึง
“พวกเจ้าดู เป็นเทพธิดา เทพธิดาที่หายตัวไปกลับมาแล้ว”
“สวรรค์ แววตาของเทพธิดาชั่งน่ากลัวนัก ครั้งนี้ผู้บัญชาการทหารต้องตายเป็นแน่แล้ว”
“ใครบอกว่าไม่ใช่ล่ะ! คิดว่าเทพธิดาหายตัวไป ก็ใช้อำนาจรังแกคน ยังคิดจะลงมือฆ่าผู้ติดตามของเทพธิดาอีก ตอนนี้เป็นเช่นนี้น่าสมน้ำหน้าจริงๆ”
บรรดาผู้คนยังอยากแสดงความคิดเห็นกันต่างๆนานา เมื่อสายตาที่เย็นชาของหลานเยาเยากวาดมองไป ก็เงียบกริบทันที
หึ!
เมื่อครู่ทำไมไม่ออกมายืนว่าผู้บัญชาการทหารสักคำ?
ทันทีที่นางมา พวกเขาก็พูดกันจอแจขึ้นมา ล้วนเป็นพวกคนที่แสดงท่าทีตามสถานการณ์ ดีที่สุดอย่ารบกวนความเงียบสงบของนาง
ไม่เช่นนั้น นางก็จะไม่เกรงใจ
หลังจากที่สายตาหนึ่งหยุดยั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จ้อกแจ้กจอแจ หลานเยาเยาก็หันกลับมาอย่างเย็นชา
ไม่รอให้นางเปล่งคำพูด ก็ได้ยินเสียงคุกเข่าลงด้วยความรีบร้อน
เป็นเหล่าลูกน้องของผู้บัญชาการทหาร พวกเขาแต่ละคนคุกเข่าลงกับพื้นด้วยอาการสั่น จนแทบจะหมอบไปกับพื้นทั้งตัว
เสียงขอความเมตตาแต่ละเสียงที่เปล่งออกมาดังกว่าแต่ละดัง พวกเขายังเอาความผิดทั้งหมดโยนไปไว้ที่หัวของผู้บัญชาการทหารอีกด้วย
หลานเยาเยาฟังจนรำคาญใจ ขมวดคิ้ว กล่าวอย่างแผ่วเบา :
“หนวกหู!”
สองคำหลุดออกไป ทั่วทั้งสถานที่ก็เงียบในพริบตา
เทพธิดาโกรธแล้ว……
เทพธิดาโกรธขึ้นมาไม่ต่างไปจากอ๋องเย่สักเท่าไหร่ ชั่งน่ากลัวนัก!
ในเวลานี้!
หลานเยาเยาแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเย็นยะเยือกเสียงหนึ่ง ถึงจะหันไปมองเจ้าอาวาสที่ได้เดินออกมาจากกลุ่มคน ริมฝีปากที่สวยงามยกขึ้น กล่าวด้วยสีหน้าสงสัย :
“เจ้าอาวาสเมื่อครู่ท่านอยากจะพูดอะไร?”
เจ้าอาวาสมุมปากกระตุกเล็กน้อย แขนก็ตัดไปแล้ว ตอนนี้เพิ่งจะมาถามเขา เขายังจะสามารถพูดอะไรได้อีก?
ทำได้เพียงอย่างช่วยไม่ได้ :
“อมิตาภพุทธะ สถานที่นี้เป็นที่ที่เงียบสงบร่มเย็น ไม่เหมาะจะคร่าชีวิต ไม่เหมาะที่จะเห็นเลือด ขอให้โยมได้โปรดให้ความเงียบสงบร่มเย็นกับพระพุทธศาสนาด้วย”
“อ่อ~~~ต้องการความสงบร่มเย็นใช่ไหม? เช่นนั้นยังไม่ง่ายดายอีกหรือ?”
ในความไม่กระจ่างของเจ้าอาวาส
หลานเยาเยาก็หมุนตัวมาอยู่ข้างจื่อซี ใช้สายตามองจากตรงจุดที่ปากแผลที่ปริออกนิดหน่อยของเขาผ่านไป น้ำเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย แต่ยังคงกล่าวด้วยความเย็นชาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“เจ้าอาวาสพูดแล้ว ที่แห่งพระพุทธศาสนา ไม่เหมาะที่จะคร่าชีวิต ไม่เหมาะที่จะเห็นเลือด ยังต้องให้ความสงบร่มเย็นแก่พระพุทธศาสนา ก็ถูก โดยธรรมชาติสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งพระพุทธศาสนาก็ต้องสงบร่มเย็น”
ผู้บัญชาการทหารกับพวกลูกน้องของเขา เพื่อจะรอดพ้นภัยนี้ แต่ละคนมองไปทางเจ้าอาวาสอย่างซาบซึ้ง แต่เจ้าอาวาสกลับส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
ดูท่าทางของเทพธิดา ไหนเลยจะเป็นท่าทีที่จะไว้ชีวิตคน?
จื่อซีที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็คิดว่านางน่าจะปล่อยผู้บัญชาการทหารพวกเขาไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง!
วันนี้ราชครูและฮ่องเต้ก็ล้วนอยู่ที่วัด ไม่เหมาะที่จะทำเรื่องใหญ่
ในไม่ช้า เขาก็เห็นหลานเยาเยาหัวเราะอย่างเยือกเย็นอีกครั้ง มองดูแขนที่หลุดอยู่บนพื้น เปิดปากพูดอย่างช้าๆ
“ไม่เหมาะจะคร่าชีวิต?
แต่ใต้ต้นบุพเพมีคนตายมากมายขนาดนั้นไปแล้ว
ไม่เหมาะที่จะเห็นเลือด?
แต่ในหลายปีก่อน ที่นี่เลือดก็ไหลนองเป็นแม่น้ำมาแล้ว
พระพุทธศาสนาอยากได้ความสงบร่มเย็นใช่หรือไม่? ดีมาก มีวิธีอีกเยอะ”
พูดพลาง หลานเยาเยาที่เคยชินกับการยิ้มอย่างเยือกเย็น ริมฝีปากที่แดงนั้นก็ยกขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มที่มีเสน่ห์ทำให้ผู้คนหลงใหลปริขึ้นอีกครั้ง พร้อมกล่าวต่อ :
“ปิดปากของพวกเขาไว้ เช่นนี้พระพุทธศาสนาก็จะสงบร่มเย็นแล้ว”
เจ้าอาวาส : “……” วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งจริงๆ!
“ขอรับ!” สีหน้าท่าทางของจื่อซีขยับขึ้นทันที รีบทำมือเคารพจะไปรีบค้นหายาลูกกลอนที่กินแล้วพูดไม่ได้มา
ใครจะรู้ แขนกลับถูกหลานเยาเยาดึงไว้ ยังโดนกล่าวว่ายกหนึ่ง
“ไม่ได้บอกเจ้า เจ้าไปอะไรของเจ้า? บนตัวยังมีบาดแผลตั้งเยอะแยะ ขยับตัวเดินตามใจโดนปากแผลฉีกขาดจะทำเช่นไร? เจ้าอาวาสบอกแล้วว่าไม่เหมาะจะเห็นเลือด เจ้าไม่ได้ยินหรือ?”
หลานเยาเยามองค้อนเขาแวบหนึ่ง ก็พูดเพิ่มอีกประโยค “พักอยู่ข้างๆให้สบายใจ”
“……อ่อ!” จื่อซีที่ถูกต่อว่า อบอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเสียงพูดของหลานเยาเยาสิ้นสุด
“ซ่าซ่า” สองเสียง เงาคนเหาะลงมาจากบนหลังคา จื่อเฟิงที่ใส่หน้ากากสุดเท่มาถึงด้านหน้าของผู้บัญชาการทหารพวกเขา
สักคำก็ไม่ได้พูด ก็กลายเป็นเงาเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในกลางกลุ่มคนเหล่านั้น
หลังจากที่วนไปหนึ่งรอบ ก็กลับมาที่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ผู้บัญชาการทหารกับลูกน้องนั้นถูกกดจุดใบ้ไม่สามารถพูดได้แล้ว
จากนั้นจื่อเฟิงก็ยกมือเคารพต่อหลานเยาเยา
“คุณหนู!”
“ทุกคนสามร้อยแส้ เป็นตายไม่ว่า” หลานเยาเยาเอ่ยปาก
“ขอรับ!”
จื่อเฟิงรับคำสั่งไปหยิบแส้หนังเล็ก……เอ่อไม่ถูก เป็นไปหยิบแส้ที่เรียวยาว
แส้ยาวมาก ครั้งหนึ่งสามารถเฆี่ยนตีได้ห้าคน ทั้งหมดมีสิบกว่าคน ให้พวกเขาเรียงแถวสามแถว
อย่ามองว่าปกติจื่อเฟิงเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูดจาคนหนึ่ง ลงมือขึ้นมา จะไม่มีความปรานีแม้สักนิดเลย
ดังนั้น!
ทันทีที่หนึ่งแส้ลงไป ก็เป็นบาดแผลที่เลือดอาบเป็นทางยาว คนที่โดนเฆี่ยนตีไม่สามารถเปล่งเสียงได้ แต่สีหน้าล้วนซีดเผือดแล้ว
จากนั้นก็เป็น “เพี้ยะเพี้ยะเพี้ยะ” เสียงเฆี่ยนตี ยังเฆี่ยนตีได้ไม่กี่ครั้ง ร่างกายของแต่ละคนก็หนังเปิดเนื้อปริขึ้นมาแล้ว
เสียงเฆี่ยนตียังคงมีต่อไป แต่ละเสียงตกเข้าไปในหูของบรรดาผู้คน ฟังจนพวกเขาแต่ละคนตื่นกลัวสุดขีด
ยังดีที่แส้ไม่ได้ตกไปบนร่างกายของพวกเขา!
พวกคุณหนูบางคนที่ไม่เคยเปิดหูเปิดตามาก่อน ตกใจจนแทบจะหมดสติไป
หลังจากที่แส้ตีเสร็จแล้ว ฮ่องเต้ที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนก็เพิ่งจะพาองครักษ์ของพระราชวังมาถึงอย่างช้าๆ หลังจากที่เห็นเทพธิดาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้สักน้อย ก็เหมือนกับว่าโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ยิ้มได้สดใสขึ้น
“เทพธิดา ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ไม่กี่วันนี้ข้าร้อนใจดังถูกไฟเผามาทุกวัน อธิษฐานต่อสวรรค์ทุกคืนหวังว่าท่านจะปลอดภัยกลับมา
เป็นดังคาด สวรรค์ยังเห็นใจข้า ท่านกลับมาแล้ว ใจที่มีความเป็นห่วงดวงนี้ของข้าในที่สุดก็สามารถวางใจได้แล้ว”
ฮ่องเต้ไม่ได้สนใจกลุ่มคนที่ล้อมรอบอยู่แม้สักนิด พุ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อนเป็นที่สุด
“ข้าดูหน่อย เป็นเช่นไรบ้าง? ไม่บาดเจ็บใช่หรือไม่?”
สายตาของเขามองอยู่ที่ร่างของหลานเยาเยาอยู่ตลอด ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้หันไปมองยังองครักษ์วังหลวงที่โดนแส้เฆี่ยนตีเกือบตายสักแวบเดียว
เห็นดังนั้น!
หลานเยาเยาก็เอาแขนเสื้อลงเล็กน้อย พูดด้วยเสียงที่เย็นชา
“ลำบากฮ่องเต้เป็นห่วง ข้าไม่เป็นไรเพคะ”
จากนั้นก็เดินสองสามก้าว มาถึงข้างหน้าผู้บัญชาการทหารที่น่าสังเวชจนแทบจะทนดูไม่ได้ ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เผยรอยยิ้มที่เคลือบด้วยกระหายเลือด พูดอย่างเย็นชา
“คนของข้า ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่มดตัวเล็กๆที่ไม่มีค่า ก็ต้องได้รับความคุ้มครองจากข้า
กล้าทำเขาบาดเจ็บสักนิด รังแกเขาสักหน่อย ต่อให้เขาเป็นพระเจ้า ก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
แม้รู้ว่าผู้บัญชาการทหารเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ แม้ตอนนี้ฮ่องเต้จะยืนอยู่ตรงนี้ นางก็ไม่ไว้หน้าฮ่องเต้แม้แต่น้อย
นางควรเดือดดาล นางควรทะนงตัว
คนของนาง นางไม่ปกป้องใครจะมาปกป้อง?