หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 342 วิธีการบังคับให้สารภาพที่ไม่ธรรมดา
บทที่ 342 วิธีการบังคับให้สารภาพที่ไม่ธรรมดา
คนที่พวกยิงจวนยายเมิ่งตามไล่ฆ่าก่อนหน้านี้ ก็คืออาฝูและโม่ซางของชาวหยินไห่ โม่เหลียงเฉินก็คงจะมาช่วยคนเช่นกัน คาดว่าคงถูกจื่อเฟิงชิงไปก่อนแล้วหนึ่งก้าว
สำหรับคำพูดที่ตรงไปตรงมาของนาง โม่เหลียงเฉินตกใจเล็กน้อย
แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแทะเสบียงที่อยู่ในมือย่างเงียบๆ
หลานเยาเยาก็ไม่นึกว่า ได้เห็นร่างสองสามคนที่อยู่ไม่ไกล ก็งอมุมปากขึ้น
“มีคนมา!”
โม่เหลียงเฉินทอดสายตาไปที่นาง เมื่อเห็นอาฝูและโม่ซางที่ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เขาก็ขมวดคิ้ว
จึงรีบเดินเข้าไปถาม
“บอกข้ามา ว่าฮัวหยู่อันอยู่ที่ไหน”
อาฝูและโม่ซางรู้จักกับโม่เหลียงเฉิน แต่เมื่อถามเขาเขากลับปิดปากนิ่งเงียบ สายตาที่มองเขาถึงกับมีความโกรธอยู่เล็กน้อย
หลานเยาเยาเห็นสีหน้าท่าทางในดวงตาของพวกเขา ในใจก็รู้สึกสงสัย แล้วก็เดินเข้าไป
“คุณหนู พาคนมาแล้ว” จื่อเฟิงประสานมือแสดงความเคารพ
“ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน ไปเถอะ!”
“คุณหนู นำกลับไปตำหนักไหม” แต่ในตำหนักมีคนของเรือแห่งความสิ้นหวัง หากถูกพบเข้า ไม่กล้านึกถึงผลที่ตามมาเลยว่าจะน่ากลัวแค่ไหน
“ปล่อยพวกเขาไป”
“ครับ!”
หลานเยาเยารู้ดีว่า หากฮัวหยู่อันตกอยู่ในอันตราย แม้ว่าอาฝูและโม่ซางจะไม่ชอบโม่เหลียงเฉิน ก็จะบอกเบาะแสของฮัวหยู่อัน ขอให้โม่เหลียงเฉินช่วยชีวิตคน
ในเมื่อพวกเขาเลือกที่จะไม่พูด
นั่นแสดงว่า คนไม่ได้เป็นอะไร
ในเมื่อคนไม่ได้เป็นอะไร นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร
สำหรับอาฝูและโม่ซาง นางเคยเจอกับพวกเขาครั้งหนึ่งเพราะฮัวหยู่อัน เลยได้ช่วยเขาอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าพวกเขาสวมเสื้อผ้าที่ดูไม่ดี ตอนนี้นางก็คงเก็บค่าช่วยชีวิตไปแล้ว
หลานเยาเยาหันกลับและเดินไปยังทิศทางที่ม้าสุดรักของนางจากไป นางเอามือไขว้หลัง และเดินไปทีละก้าวอย่างสบายๆ
แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดจู่ๆ หันกลับมา และพูดเตือนอาฝูและโม่ซาง “พวกเจ้ายังไม่ได้ขอบคุณข้าเลยนะ !”
จื่อเฟิง “……” คุณหนูอารมณ์เสียอีกครั้ง
นางตั้งใจเดินอย่างช้าๆ เพียงเพื่อรอคำขอบคุณ
ในใจอาฝูและโม่ซางย่อมรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว เพราะหลังจากได้เห็นโม่เหลียงเฉินที่สูญเสียฮัวหยู่อันไป ก็ลืมไปชั่วขณะ
เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าผู้มีพระคุณจะเป็นเทพธิดาที่มีชื่อเสียง และยังเป็นเทพธิดาที่เสนอตัวมาเองอีกด้วย
พวกเขารู้สึกละอายใจทันที
ทั้งสองรีบคุกเข่าลงบนพื้นทันที และก้มศีรษะแสดงความขอบคุณ “ข้าชื่อโม่ซาง ผู้นี้คืออาฝูภรรยาของข้า อยากจะขอบคุณเทพธิดาสำหรับพระคุณที่ได้ช่วยชีวิตไว้ หากเทพธิดาต้องการความช่วยเหลือใด บุกน้ำลุยไฟพวกข้าก็ยินดี ไม่ปฏิเสธ”
“ไม่ต้องถึงบุกน้ำลุยไฟหรอก เพียงจดจำข้าไว้ก็ได้แล้ว”
ไม่คิดเลยว่าพวกเขาแต่งงานกันแล้ว ช่างเถอะ ก็ไม่ทำให้คนอื่นลำบากใจแล้ว
พูดจบ ก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง
กลับไปยังตำหนักเทพธิดา
หลานเยาเยายังไม่ได้ลงจากม้า ก็เห็นป่ายเม่ยเซิงยืนอยู่ที่ประตู จ้องมองนางเหมือนกับคนที่ยืนรอจนกลายเป็นหิน ในดวงตานั้นคือการแสดงความรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพียงนางลงจากม้า เดิมทีไม่ได้คิดจะทักทายกับป่ายเม่ยเซิง แต่กลับพบว่าสีหน้าของเขานิ่งเฉย และลอยจากไปอย่างรวดเร็ว
เอ่อ……
เห็นผีหรือไง
วิ่งเร็วอะไรขนาดนั้น
เมื่อหลานเยาเยาเห็นเย่แจ๋หยิ่งในชุดคลุมสีดำ ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่เด็มไปด้วนดอกสีขาวที่อยู่ตรงลานด้านหน้า ก็รู้ได้ว่าทำไมป่ายเม่ยเซิงจึงวิ่งหนี
ดวงตาของหลานเยาเยาเปล่งประกายเล็กน้อย
ตอนนี้เย่แจ๋หยิ่งใช้กลยุทธ์แสร้งปฏิเสธที่อยู่ในสามสิบหกกลยุทธ์
ดังนั้น!
นางจึงยึดอกขึ้น และเดินไปหาเย่แจ๋หยิ่งอย่างสงบนิ่ง นางได้เห็นความนุ่มนวลในดวงตาของเย่แจ๋หยิ่ง
ดังนั้นเมื่อเดินมาถึงด้านหน้าของเขา ไม่ได้พูดอะไรและก้าวผ่านเขาไป โดยไม่แม้แต่จะมองเขา
หลานเยาเยารู้สึกว่าท่าทีในตอนนี้ของนาง ต้องการสง่างามเท่าไหร่ก็สง่างามเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่า แขนจะถูกมือใหญ่มือหนึ่งจับเอาไว้
หลานเยาเยาหยุดฝีเท้าลง หันศีรษะไปมองมือใหญ่ที่จับแขนของนางเอาไว้ จากนั้นก็มองไปยังเย่แจ๋หยิ่ง
“อ๋องเย่หมายความว่าอย่างไร” อ๋องเทพสงครามผู้สง่างามมาลากฉุดทำอะไรแบบนี้ในตำหนักข้า”
เย่แจ๋หยิ่งมองนางอย่างแปลกๆ มุมปากที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มได้พูดออกไป
“อาหารเตรียมพร้อมแล้ว เทพธิดาร่วมรับประทานอาหารพร้อมกันได้หรือไม่”
“ที่ไหนหรือ”
ดวงตาของหลานเยาเยาเปล่งประกายขึ้นในทันที ท่าทีของนางก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“ในห้องบรรทมของข้า”
“รีบไปเถอะรีบไปเถอะ”
เมื่อได้พบกับของกิน เรื่องการต้อนรับหรือปฏิเสธอะไรก็ล้วนลืมไปหมด จูงเย่แจ๋หยิ่งให้รีบไปอย่างรวดเร็ว
ในห้องบรรทมชั่วคราวของเย่แจ๋หยิ่ง
หลานเยาเยาก็นั่งลงบนเก้าอี้ สายตาได้จ้องตรงไปยังอาหารอร่อยที่อยู่บนโต๊ะ กลืนน้ำลายไม่หยุด
ไม่ง่ายเลยที่จะรอจนกระทั่งเย่แจ๋หยิ่งจะนั่งลง หลานเยาเยาก็อดใจไม่ไหวที่จะกินเข้าไป
หากว่าเป็นในอดีต
หลานเยาเยารับประทานอาหารราวกับสายลมที่กระโชก วันนี้กลับยากที่จะเห็นการกินอย่างสง่างาม
เย่แจ๋หยิ่งอดไม่ได้ที่จะมองไปหลายครั้ง
“ไม่อร่อยหรือ” เขาถาม
“เวลาทานข้าวไม่พูดจา เวลานอนไม่พูดคุย” หลังจากหลานเยาเยาพูดประโยคดังกล่าว ก็ยังคงกินอย่างสุภาพเรียบร้อย
หลังจากกินจนอิ่มท้องแล้ว หลานเยาเยาก็วางตะเกียบลง
นางเหลือบไปมองเย่แจ๋หยิ่ง ก็พบว่าเขายังกินอะไรไปไม่มากเลย ทันทีที่นางวางชามลง เขาก็วางลงเช่นกัน
“ขอบคุณมาก!” หลานเยาเยาพูดขอบคุณอย่างเกรงใจ จากนั้นลุกขึ้นและจากไป โดยไม่เปิดโอกาสให้เย่แจ๋หยิ่งได้พูดเลยแม้แต่น้อย
หลังจากกลับถึงห้องบรรทม หลานเยาเยาก็ไปอาบน้ำอย่างสบายใจ จากนั้นก็ยังไม่หยุดที่จะไปดูบรรดาตาแก่ที่ได้รับบาดเจ็บ
นางให้พวกเขากินยา และยังเป็นยาที่ระบบเปิดออกมาใหม่ แต่บรรดาตาแก่ก็ไม่ได้กินมัน
และยังพูดอย่างจงเกลียดจงชังว่านางนิสัยไม่ดี และยังรู้ว่ามั่วอยู่กับผู้ชาย กลับมาแล้วก็ไม่มาพบกับพวกเขาก่อน
หลานเยาเยา “……”
ในท้ายที่สุดหลังจากที่ให้พวกเขาทั้งหมดกินยาอย่างยากลำบาก หลานเยาเยาก็มองไปยังสีของท้องฟ้า ท้องฟ้าก็มืดมิดแล้ว
นางรีบออกไปอีกครั้ง
ในค่ำคืนของเมืองหลวง แม้ว่าโคมไฟทั้งหมดจะไม่ได้ดับลง นอกจากเสียงของสุนัขที่ดังออกมาเป็นครั้งคราวแล้ว ทุกอย่างก็ค่อนข้างเงียบ
ตำหนักองค์ชายสี่
เงาดำที่สง่างามและป่าเถื่อน ได้ทะลุกำแพง หลบหลีกองครักษ์ที่ลาดตระเวน เหาะขึ้นไปบนหลังคาตรงไปยังห้องบรรทมชั่วคราวขององค์ชายสี่
เงาดำเลื่อนสลักประตูที่ลงกลอนไว้ด้านในอย่างช้าๆ ขณะที่ประตูเปิดออก เขาก็คว้าจับกลอนประตูที่กำลังตกลงพื้นไว้อย่างแนบเนียน
จากนั้นฝีเท้าก็ช้าลงอีกครั้ง และเดินไปที่เตียงในห้องชั้นใน
เมื่อเห็นผ้านวมที่อยู่บนเตียงนูนสูงขึ้น เงาดำก็ยกมือทั้งสองข้างที่ถือมืดไว้เหนือศีรษะ ตั้งแต่เริ่มเดินเข้าไปตำหนักองค์ชายสี่ เขาก็กระทำทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เรียกได้ว่าเป็นนักฆ่าชั้นยอด
แต่……
เมื่อเขายกมีดขึ้นเหนือศีรษะ เตรียมพร้อมที่จะลงมือฆ่า
แสงเทียนก็สว่างขึ้นทันที
ภายในห้องมีคนอยู่ยี่สิบกว่าคน แต่ละคนล้วนแต่กอดอก และจ้องมองเขาอย่างไม่เป็นมิตร
“……”
ทำไมคนเยอะขนาดนี้
นักฆ่าเงาดำได้ตกตะลึงขึ้น
จากนั้นเขาก็มาอย่างทันที และถูกจับอย่างหมดอาลัยตายอยาก
คิดจะกัดยาพิษฆ่าตัวตายที่ซ่อนเอาไว้ในปากก็ทำไม่สำเร็จ เพราะร่างกายได้ถูกสกัดจุดไว้แล้ว ไม่สามารถขยับได้
เมื่อนักฆ่าเงาดำได้ถูกนำตัวออกจากห้อง จึงพบว่า มีองครักษ์จำนวนมากมายถือคบเพลิงยืนเรียงเป็นแถวอยู่ด้านนอก มายืนล้อมรอบที่นี่อยู่อย่างมากมาย
การที่เขาต้องเข้าไปในตำหนักองค์ชายสี่ ก็ถูกกำหนดให้ไม่อาจหลบหนีได้
อีกทั้งองค์ชายรัชทายาทและเทพธิดาก็ยืนอยู่ด้านหน้าสุด
“บอกมา ว่าใครเป็นคนส่งเจ้ามาที่นี่” เย่หลีเฉินจ้องไปยังนักฆ่าอย่างโกรธเกรี้ยว
นักฆ่ามิได้ไหวติง
หลานเยาเยาก้าวไปข้างหน้า และพูดเบาๆ
“เขาเป็นนักฆ่า ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ซักไซ้อย่างธรรมดาก็เปล่าประโยชน์สำหรับเขา”
เมื่อเห็นความหยิ่งยโสของนักฆ่า ที่มีท่าทีดูเหมือนอย่างมากก็แค่ตาย
หลานเยาเยากล่าวต่อ
“ต้องใช้วิธีการใหม่ในการบังคับให้สารภาพ ขั้นแรกให้คนใช้วิธีการตัดมือเฉือนหนัง จากนั้นโรยเกลือทั้งเอาไว้ครึ่งชั่วโมง
หลังจากหมักทิ้งไว้ ก็ใส่ลงไปในกระทะน้ำมันและพลิกไปมา ผัดจนเริ่มเหลือ หลังจากนั้นก็ใส่ลงไปในน้ำของพริกเคี่ยวด้วยแรง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็เอาขึ้นจากหม้อ”