หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 36:ไม่แต่งไม่ได้?
ตอนที่ 36:ไม่แต่งไม่ได้?
คำพูดนี้เอ่ยได้อย่างมีเหตุผลชัดเจนยิ่งนี่!
อย่างไรก็ตาม นับจากที่เขาฟังแล้วเข้าใจ นอกเสียจากหลานเยาเยา ผู้หญิงทุกคนที่เขาพูดล้วนถึงถูกปฏิเสธโดยท่านอ๋องทันที
ดูเหมือนว่ามีเพียงหลานเยาเยาเท่านั้นที่ท่านอ๋องมีข้อสงสัยเพิ่มเติม…
อีกทั้งเขาก็นึกถึงผู้หญิงคนอื่นไม่ออกแล้วในเวลานี้!
ในห้องหนังสือ ไม่มีเสียงใดๆดังออกมาอยู่ครู่ใหญ่ บรรยากาศภายในห้องคล้ายจะหนักหน่วงขึ้นมา พ่อบ้านเหมยก็ค่อยๆรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
ท่านอ๋องคงไม่ได้โกรธใช่หรือไม่?
หลังจากนั้นไม่นาน!
“เอี๊ยด……”
ประตูห้องเปิดขึ้นในเวลาถัดมา ใบหน้าสง่างามเย่อหยิ่งของเย่แจ๋หยิ่งปรากฏขึ้นที่ประตูพร้อมสายตาลึกลับ จากนั้นเขาก็กระแอมเบาๆและพูดอย่างเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงจะไม่แต่งงานกับนางไม่ได้แล้ว?”
“หา?”
อะไรคือไม่แต่งงานไม่ได้กัน?
เขาก็แค่เสนอความคิดเห็นเท่านั้น จะแต่งงานกับใครล้วนแล้วแต่เป็นท่านอ๋องตัดสินใจด้วยตนเองทั้งสิ้นไม่ใช่หรือ?
ผู้ใดกล้าไปบังคับเขากัน?
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้….งั้นก็เตรียมสินสอดเถอะ!”
เทียบกับการแต่งงานกับผู้หญิงที่รู้จักแต่วิธีเรียกร้องความสนใจจากผู้คนแล้ว การแต่งงานกับคนที่มีความสามารถอยู่บ้างเล็กน้อยยังคงจะเป็นฉากหน้าที่ดีกว่า
ต่อให้นางเป็นลูกสาวของหลานเฉินมู๋แล้วอย่างไร?
เดิมตนก็ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตาสักนิดอยู่แล้ว
“ขอรับ!”
มองเห็นท่านอ๋องปิดประตูลงอีกครั้ง พ่อบ้านเหมยที่กำลังฟังอย่างเหม่อลอยจึงค่อยได้สติกลับมา ก่อนจะยินดีจนคิ้วเต้นระริก
นี่แปลว่าท่านอ๋องเห็นด้วยแล้วใช่หรือไม่?
เห็นด้วยแล้วก็ดียิ่ง จวนอ๋องเย่จะมีพระชายาแล้ว
คิดถึงตรงนี้ พ่อบ้านเหมยก็รีบหมุนตัวกลับไปเพื่อเตรียมงานแต่งงานของเย่แจ๋หยิ่ง
การแต่งงานนี้จะต้องยิ่งใหญ่ จะต้องเป็นที่รู้กันทั่วใต้หล้า
–
จวนแม่ทัพ
หลานเยาเยากลับไปที่ลานในบ้านของนาง เดิมลานแห่งนี้เป็นลานของนางที่ถูกเผาไป หลานเฉินมู๋จึงจัดการที่พักใหม่ให้แก่เธอ
ลานบ้านกว้างขวางและงดงามอย่างยิ่ง เพียงแต่มันเป็นแค่บ้านที่งดงามเท่านั้น ที่เหลือก็ไม่มีอะไรอีกเลย แม้แต่แจกันเครื่องเคลือบและของตกแต่งที่มีค่าอื่นๆที่เคยมีก็ล้วนถูกขนย้ายไปจนหมด
จุ๊จุ๊!
ตอนนี้ เธอก็แค่หัวเราะออกมาเท่านั้น
หลังกลับมาจากจวนอ๋องเย่ หลานเยาเยาในตอนนี้ล้วนเหงื่อออกไปทั่วทั้งตัว แต่แทนที่จะกลับไปยังห้องนอนเธอนางกลับไปยังห้องข้างๆแทน
“จี๊ดๆ”
ประตูห้องถูกเปิดออก หลานเยาเยาเหลือบมองเข้าไปภายใน และไม่พบผู้ใดในห้องนั้นแม้กระทั่งเงา นางจึงเดินเข้าไปทันทีด้วยความสงสัย
ทันทีที่เข้ามาในห้อง ยังไม่ทันที่นางจะได้ปิดประตูลง ประตูก็ส่งเสียงดัง “ปึ้ง” และก็ถูกปิดลงโดยแรงที่มองไม่เห็น
ในเวลาต่อมา มีสายลมรุนแรงสายหนึ่งวาบผ่านมา หลานเยาเยาหลบตัวหลีกไปยังด้านข้าง และหลังจากที่มองเห็นถึงคนที่ทำร้ายเธอ ใบหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นมืดคล้ำ และพูดอย่างจนปัญญาอยู่บ้าง:
“ท่านนี่ช่างเป็นตาแก่เลอะเลือนเสียจริง ดวงตามองไม่เห็นแล้ว ยังทำให้คนเป็นกังวลได้อีก”
หากผู้ที่เข้ามาไม่ใช่เธอแต่เป็นคนอื่น ไม่แน่ว่าอาจถูกเขาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
นิ่งซื่อรู้แล้วหลังจากนั้นจะอยู่เฉยหรืออย่างไร?
ครั้งที่แล้วก็ถูกทุบตีอย่างรุนแรง แน่นอนว่าต้องคอยหาโอกาสกลับมาแก้แค้นอย่างแน่นอน
วันนี้เธอเห็นนิ่งซื่อกลับมาแล้ว
รอยช้ำไม่ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของเขาอีกต่อไป เห็นทีเขาคงจะดีขึ้นแล้วไม่น้อย
“เจ้าหนู ที่นี่คือที่ใด?” ชายชราผมขาวถามขึ้นด้วยความโกรธเล็กน้อย
ตั้งแต่ออกมาจากคุกมืด เขาก็สูญเสียความสามารถทางสายตาของเขาไป ซ้ำยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองออกมาจากป่าตั้งแต่เมื่อไหร่เนื่องจากเขาสลบไป ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินคำว่าจวนแม่ทัพคำนี้ที่นี่
ถึงแม้ว่าในทุกยุคทุกราชวงศ์จะมีจวนแม่ทัพมากมาย แต่พอได้ยินคำว่า “จวนแม่ทัพ”สามคำนี้ เขาก็นึกไปถึงจวนแม่ทัพของหลานเฉินมู๋ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หรือว่าเขาจะถูกหลานเฉินมู๋ปั่นหัวเข้าแล้ว?
นังหนูน้อยที่ช่วยชีวิตตนก็คือคนที่เขาเจตนาส่งมาทดสอบ?
“จวนแม่ทัพน่ะสิ! อย่าได้สงสัยไปเลย เป็นจวนแม่ทัพที่ท่านเกลียดเข้ากระดูกดำนั่นแหละ หรือก็คฤหาสน์หลานเฉินมู๋แถมข้าก็คือ หลานเยาเยา คุณหนูหกแห่งจวนที่ไม่มีผู้ใดประสงค์พบหน้ามากที่สุด”
เป็นยังไงล่ะ?
ตะลึงไปเลยล่ะสิ? ไม่คาดคิดสินะ? ”
เดิมนางคิดว่าชายชราผมขาวคงจะโมโหอย่างยิ่ง
จึงได้เอ่ยคำพูดไม่น่าฟังทั้งหมดออกมาให้หมด!
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขากลับสงบอย่างน่าประหลาดใจ แม้กระทั่งความโกรธเมื่อครู่นี้ยังถูกปกปิดลงไปอย่างเงียบๆ!
“ทำไมเจ้าถึงช่วยคนชราอย่างข้า?” เสียงของเขาอ่อนเบา ราวกับว่าเขากำลังทดสอบ และกำลังสงสัย
“ท่านคิดว่าข้าต้องการช่วยท่านหรือ? ก็แค่บังเอิญเจอศพในคุกลับ แล้วก็เจอท่านที่จะตายแหล่มิตายแหล่ก็เท่านั้น ในเมื่อไปถึงแล้ว ก็ไม่ควรกลับมามือเปล่านี่?
ดังนั้นก็เลยแบกเขาออกมาพร้อมกันเสียเลย อย่างไรเสียก็มีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย ทำไมถึงต้องไม่กระทำกัน?
แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น!
แต่อย่างไรซะ มันก็มันไม่สำคัญอีกต่อไป ในเมื่อคนก็ถูกช่วยออกมาแล้ว
“หึหึ นังหนูเจ้าช่างใจกล้านัก ไม่กลัวหรือไงว่าหากหลานเฉินมู๋รู้เข้าจะลงมือโหดเหี้ยมกับเจ้า?”
จากความเข้าใจของเขาที่มีต่อ หลานเฉินมู๋ อย่าว่าแต่เขาลงมือต่อให้เป็นคนที่เขารักเขาก็ไม่มีทางปราณีแน่
“กลัว? แน่นอนว่ากลัวน่ะสิ ดังนั้นท่านจึงต้องเชื่อฟังอยู่ดีๆ อย่าได้ทำอะไรมั่วซั่วขึ้นมา หากเกิดเรื่องขึ้น แน่นอนว่าตัวข้าจะต้องวิ่งหนีไปก่อน ไม่สนใจท่านแน่”
แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนประเภทที่ชอบทิ้งผู้อื่นไว้เบื้องหลัง แต่สาเหตุที่นางพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้ชายชราผมขาวผู้นี้เชื่อฟัง!
ขณะที่กำลังเอ่ยพูด ด้านนอกก็มีเสียงดังขึ้นมาเบาๆ หลานเยาเยาขมวดคิ้วทันที!
ผู้ใดจะมาในเวลานี้กัน?
ดังนั้นเธอจึงรีบวิ่งไปที่หน้าต่างและเปิดมันออกเพื่อส่องดู
เป็นหลานเฉินมู๋!
ยิ่งไปกว่านั้นด้านหลังเขามีเจ้าหน้าที่ทางการหลายคนติดตามมา ทุกคนล้วนสวมเสื้อทางการ และเดินมายังลานบ้านของนางด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว หนึ่งในนั้นยังมีที่คนของศาลตัดสินมาด้วย
หืม?
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ถ้าหากเป็นนิ่งซื่อที่ก่อเรื่องขึ้นอีกครั้ง หลานเฉินมู๋คงไม่จำเป็นต้องเจ้าหน้าที่ทางการมาหานางขนาดนี้หรอกมั้ง?
อีกอย่างนางยังไม่เห็นนิ่งซื่อเลยแม้แต่เงา
หาก หลานเฉินมู๋ค้นพบร่องรอยของชายชราผมขาวเข้าแล้ว ยิ่งไม่มีทางที่เขาจะนำตัวเจ้าหน้าที่มา ในเมื่อเขาอุตส่าห์ซ่อนตัวชายชราผมขาวเอาไว้อย่างลึกลับมานานตั้งหลายปี
เช่นนั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เมื่อเห็นว่า หลานเฉินมู๋u กำลังจะก้าวเข้ามาในลาน หลานเยาเยารีบปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว แล้วกระซิบบอกกับชายชราผมขาว:
“ให้ดีท่านควรซ่อนตัวอยู่บนคานด้านบนซะ ไม่เช่นนั้นท่านก็จงรับความเสี่ยงเอาเอง”
พูดจบ นางก็กระโดดออกจากหน้าต่างด้านหลังอย่างรวดเร็ว แล้วกลับไปยังห้องนอนของตน และหยิบงานปักที่เธอเตรียมไว้มาเย็บต่อ
“ตึง… ”
ประตูห้องถูกฝีเท้าของคนเตะเข้ามาอย่างรุนแรงจนแผงประตูยังสั่นเทา
สถานการณ์แบบนี้ …
หลังจากนัยน์ตาของหลานเยาเยาหรี่ลงอย่างไม่ทันมีใครได้สังเกตเห็น ในห้องก็เต็มไปด้วยกลุ่มคนที่หลั่งไหลเข้ามา นอกเหนือจากท่าทีโกรธเกรี้ยวของหลานเฉินมู๋แล้ว คนอื่นที่เหลือล้วนแต่มาเพื่อดูละครฉากสนุก
“ท่านพ่อ?”
หลานเฉินมู๋วางงานปักลงแล้วยืนขึ้น ก่อนจะมองไปที่หลานเฉินมู๋อย่าง งงงวย
ผู้ใดจะคาดคิด …
ยังไม่ทันเอ่ยอะไร หลานเฉินมู๋ก็ลงมือตบลงมาอย่างรุนแรง
“เพี๊ยะ……”
หลังจากเสียงชัดหนักหน่วงดังขึ้น หลานเฉินมู๋มองมือของเขาด้วยความตะลึง ที่เขาลงมือตีลงไปกลับเป็นแขนของหลานเยาเยา ไม่ใช่ที่ใบหน้าของนาง คิ้วของเขาจึงขมวดขึ้นมาอย่างหนัก
เขาลงมืออย่างรุนแรง แต่หลานเยาเยามีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วถึงเพียงนี้
“ท่านพ่อ ท่านตีข้าด้วยเหตุใดเจ้าคะ?”
มารดามันเถอะ!
หลานเฉินมู๋ไปกินรังแตนมาจากที่ไหนกัน? ถึงได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้
แน่นอนว่าแม้กระทั่งกำลังภายในเขาก็หยิบขึ้นมาใช้ มิเช่นนั้นแขนของเธอคงไม่ชาเช่นนี้แน่?
ถ้าหากมันกระทบลงบนใบหน้าของเธอ อย่างน้อยๆนางคงเอ่ยพูดไม่ได้ไปอีกครึ่งชั่วยามแน่นอนหากรุนแรงก็อาจส่งผลกระทบกระเทือนไปถึงสมอง
“เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกว่าทำไม …